นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 587 ออกจากหุบเขา ความน่านับถือของบุรุษเพศ
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 587 ออกจากหุบเขา ความน่านับถือของบุรุษเพศ
ความวิตกกังวลในจิตใจพลันมลายหายไปเพราะคำพูดกระเซ้าเย้าแหย่ของเฟิ่งชิงเฉิน ทำให้หวังจิ่นหลิงพอจะยิ้มได้บ้าง ถึงแม้เขาจะอยากอธิบายบางอย่าง แต่เฟิ่งชิงเฉินก็พูดถูก เขาจึงเถียงไม่ออก หญิงสาวชุดม่วงติดตามเขามาเพราะรูปร่างหน้าตาเขานั่นเอง
เขามีรูปโฉมและบุคลิกที่ดึงดูดใจผู้คนทั่วโลก แต่ไม่อาจดึงดูดใจหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า เขาสามารถทำให้หญิงสาวคนอื่นๆคลั่งไคล้และลุ่มหลง แต่ไม่อาจทำให้หญิงสาวตรงหน้าหวั่นไหวได้เลยแม้แต่น้อย
อยู่ใกล้เขาขนาดนี้ แต่นางก็ยังคงนิ่งเฉยไม่รู้สึกอะไรเลย เขาไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือว่าเสียใจดี เสียใจที่ผู้หญิงตรงหน้าซื่อบื้อเกินไป นางมองเขาเป็นเพียงสหายคนสนิทจริงๆหรือ หรือว่าเขาควรจะดีใจ เนื่องจากนางไว้วางใจเขาและสนิทสนมกับเขามาก
แววตาที่กำลังยิ้มแย้มของหวังจิ่นหลิงแฝงไปด้วยความเศร้า แต่ก่อนที่เฟิ่งชิงเฉินจะทันได้สังเกตก็เลือนหายไปหมดแล้ว เขายิ้มและชวนเปลี่ยนเรื่องคุย “ชิงเฉิน ข้าไม่แน่ใจว่าคนของเผ่าเสวียนเซียวกงจะยังรออยู่ด้านนอกหรือเปล่า หากพวกเราออกไปอาจได้รับอันตราย”
นอกจากการยื้อเวลาที่จะได้อยู่กับเฟิ่งชิงเฉินต่อ เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว
“ถึงมีอันตรายพวกเราก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ ไม่ว่าคนของเผ่าเสวียนเซียวกงจะยังรออยู่ด้านนอกหรือไม่ พวกเราก็ต้องออกไปจากที่นี่ หากยังอยู่ที่นี่ต่อไปก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น ตอนข้ามาที่หุบเขาก็ไม่เห็นมีคนอยู่ข้างนอก ข้าว่าพวกนั้นคงกำลังรอท่า รอพวกเราออกไปจากหุบเขา ในเมื่อพวกนั้นรอเราอยู่ เราก็ต้องออกไปด้วยสภาพร่างกายที่แข็งแรง หากนานวันเข้า……พวกเราคงหิวแย่ เมื่อถึงตอนนั้นแล้วแม้แต่แรงวิ่งก็คงจะไม่มี แล้วจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปต่อกรกับพวกนั้นล่ะ”
ยิ่งอยู่ในหุบเขามากเท่าไร ความสามารถของพวกเขาก็จะลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ อีกอย่าง ชายหญิงอยู่กันตามลำพังในหุบเขาเช่นนี้ นานวันเข้าอาจเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้นมาได้ เพื่อไม่ให้มิตรภาพของทั้งคู่สั่นคลอน เฟิ่งชิงเฉินจึงมุ่งมั่นที่จะออกไปจากที่นี่ให้ได้ ไม่ว่าข้างนอกจะอันตรายเพียงใดก็ตาม
“ได้สิ เช่นนั้นพวกเราก็ออกไปกันเถอะ คงต้องลำบากเจ้าอีกแล้วนะ” เขาเคยก้าวผ่านความโชกโชนมาหลายอย่าง แต่ทว่าในตอนนี้ แค่เพียงเดินออกจากหุบเขาเล็กๆนี่ก็ยังทำไม่ได้ นี่ถือเป็นความเจ็บปวดอันยิ่งใหญ่ของการเกิดมาในร่างชายชาตรี หากไม่ใช่เพราะผู้หญิงตรงหน้าคือเฟิ่งชิงเฉิน เขาคงไม่อาจทำใจยอมรับได้
“จิ่นหลิง ข้าไม่ชอบฟังอะไรเช่นนี้เลย อย่าพูดว่าทำให้ข้าลำบากอะไรนั่นได้ไหม แม้ว่าเราสองคนจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติ แต่ในใจของข้า ท่านก็ไม่ต่างจากครอบครัวของข้านะ ระหว่างเราไม่มีคำว่ารบกวนหรือขอบคุณ หากข้าได้รับอันตราย ท่านก็ต้องช่วยข้าเช่นเดียวกัน จริงไหม? ท่านทำเพื่อข้ามามากกว่านี้อีก”
“ใช่ เมื่อเฟิ่งชิงเฉินต้องการความช่วยเหลือจากหวังจิ่นหลิง หวังจิ่นหลิงก็จะปรากฏตัวขึ้นในทันที” หวังจิ่นหลิงยืนยันคำมั่น แน่นอนว่า เมื่อเฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องการความช่วยเหลือจากหวังจิ่นหลิง หวังจิ่นหลิงก็จะไม่มาให้เห็น
เขาทำเพื่อเฟิ่งชิงเฉินได้ทุกอย่าง เขาชอบให้เฟิ่งชิงเฉินพึ่งพาเขา ต้องการความช่วยเหลือจากเขา แต่เขาไม่ต้องการให้ตนเองพึ่งพาเฟิ่งชิงเฉิน ผู้ที่แข็งแกร่งย่อมไม่เคยชินกับการพึ่งพาอาศัยผู้อื่น แม้จะเป็นคนที่เขาไว้วางใจก็ตาม
แม้ว่าหวังจิ่นหลิงจะไม่ใช่ยอดฝีมือในเชิงการต่อสู้ แต่เรื่องความแข็งแกร่ง หวังจิ่นหลิงก็ไม่เป็นรองใคร สถานการณ์ในตอนนี้ช่างทำร้ายความรู้สึกหวังจิ่นหลิงเหลือเกิน ความรู้สึกของผู้ที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งแถมยังมีร่างเป็นชายชาตรีเสียด้วย
แต่……ความปรารถนาของคนเราไม่สามารถนำมาเปลี่ยนแปลงความจริงได้
ในเมื่อจะออกไปจากที่นี่แล้ว ก็ต้องจัดการเรื่องในหุบเขาให้เรียบร้อย เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากย้อนกลับมาที่นี่อีก การที่ต้องร่วงลงมาจากด้านบนซึ่งมีความสูงเป็นร้อยเมตร ถึงไม่ตายก็อยู่ใกล้ความตาย นางจะไม่ยอมให้ตัวเองอดตายอยู่ที่นี่เด็ดขาด
เฟิ่งชิงเฉินจัดการหาสถานที่เหมาะๆเพื่อฝังศพคนคุ้มกันผู้ภักดี ก่อนจะเตรียมตัวปีนขึ้นไปจากหุบเขา และสภาพหวังจิ่นหลิงในตอนนี้ แม้แต่เดินก็ยังยากลำบาก ดังนั้น การที่จะออกไปจากหุบเขาแห่งนี้ได้ ก็มีทางเดียวคือต้องให้เฟิ่งชิงเฉินแบกเขาเท่านั้น
เป็นผู้ชายแท้ๆแต่กลับต้องพึ่งพาผู้หญิงตัวเล็กๆ แม้เฟิ่งชิงเฉินจะอธิบายให้เขาสบายใจหลายครั้งแล้ว แต่ในใจของเขาก็อดวิตกไม่ได้เลยจริงๆ แต่หวังจิ่นหลิงเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมายึดมั่นถือมั่น เขาจึงยอมขี่หลังเฟิ่งชิงเฉินแล้วให้นางพาเขาออกไป
แบกคนๆหนึ่งไว้บนหลัง แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ยังทำอะไรได้รวดเร็ว ไม่ใช่เพราะนางมีกำลังวังชาดี แต่เป็นเพราะหวังจิ่นหลิงผอมจนน่าเป็นห่วง เขาตัวเบายิ่งกว่าเฟิ่งชิงเฉินเสียอีก
เฟิ่งชิงเฉินแบกหวังจิ่นหลิงมาถึงจุดที่นางลงมาจากด้านบน นางกระตุกเชือกที่ผูกกับด้านบนจนแน่ใจว่าเชือกแข็งแรงดี หลังจากนั้นก็ใช้เชือกนิรภัยมาผูกรอบๆตัวเองและหวังจิ่นหลิง
“จิ่นหลิง พวกเราจะขึ้นไปแล้วนะ ท่านระวังดีๆล่ะ” เฟิ่งชิงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กำเชือกแน่น และเริ่มปีนขึ้นไปด้านบน
ต่อให้หวังจิ่นหลิงจะตัวเบามาก แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ยังคงขาสั่น แค่ปีนคนเดียวก็เหนื่อยพอแรงแล้ว นี่นางยังต้องแบกคนๆหนึ่งเอาไว้บนหลังอีก
แต่ละก้าวจึงหนักหน่วงยิ่งนัก แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ยอมผ่อนแรง นางกลัวว่าหากนางผ่อนแรงแล้วจะไม่มีแรงฮึดปีนขึ้นไปอีกครั้ง
“ชิงเฉิน ข้าขอโทษนะ เห็นเจ้าลำบากเช่นนี้แล้ว ข้ายิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่เอาไหน” หวังจิ่นหลิงที่อยู่บนหลังเฟิ่งชิงเฉิน เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินเหงื่อท่วมตัว แววตาของเขาก็ยิ่งเศร้าสลด
แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา และไม่ทำอะไรทั้งนั้น นี่คงเป็นการช่วยเฟิ่งชิงเฉินที่ดีที่สุดในตอนนี้
เมื่อปีนขึ้นมาได้สิบกว่าเมตร เฟิ่งชิงเฉินก็เริ่มรู้สึกหมดแรง หากตอนลงมานางไม่คล้องห่วงเกาะเอาไว้ ป่านนี้นางคงปีนต่อไม่ได้แล้ว
“เห็นทีข้าคงประเมินเรี่ยวแรงตัวเองสูงเกินไป” นางเป็นหมอที่ยอดเยี่ยม ไม่ใช่ทหารที่เก่งกาจ ต่อให้เป็นยุคปัจจุบัน นางก็เป็นเพียงแค่หมอทหารที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานเท่านั้น
ในสนามรบมีแพทย์หญิงมากมาย แต่การติดตามเหล่าทหารแทบไม่มีผู้หญิงเลย ในร้อยคนอาจจะมีสัก 1 คน และผู้หญิงคนนี้ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอกหรือกำลังวังชาก็ล้วนต้องพอสู้ผู้ชายได้
ไม่ใช่ว่าผู้หญิงไม่อยากไปทำงานที่เสี่ยงอันตราย แต่เป็นเพราะพละกำลังของผู้หญิงไม่อาจสู้ผู้ชายได้ การที่ต้องแบกกล่องเครื่องมือแพทย์อันหนักอึ้ง ผู้หญิงหลายๆคนคงวิ่งได้ไม่เร็วนัก และคงทำงานได้ไม่นาน ยิ่งตอนเผชิญอันตรายแล้วล่ะก็ พวกผู้หญิงก็จะเป็นภาระเพื่อนร่วมงานเสียเปล่า
ในภพชาติก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะได้เป็นหมอทหารที่ผ่านเกณฑ์ นอกจากทักษะทางด้านการแพทย์แล้ว เรื่องการทหารและพละกำลังของนางเองก็ไม่เลว นางทำได้ดีพอๆกับทหารใหม่ มิฉะนั้นองค์กรของนางก็คงไม่รับนางเป็นกรณีพิเศษ
เพราะองค์กรของนางมีแต่ผู้ชาย พวกเขาไม่ชอบแพทย์หญิง เพราะมองว่าแพทย์หญิงคือภาระ ถึงแม้ว่าแพทย์หญิงคนนี้จะไม่จู้จี้จุกจิก หรือจะใจกว้างสักเพียงใด ก็ทำให้พวกเขาไม่สบายใจอยู่ดี
การไปออกศึกในป่าลึก เรื่องคุณภาพชีวิตคงไม่ต้องพูดถึง หมอที่ติดตามไปด้วยจะต้องกินนอนร่วมกับเหล่าทหาร ดีหน่อยก็มีมุ้งกางให้ ยามที่เหนื่อยล้ามากๆทุกคนสามารถหลับบนพื้นได้เลย ไม่มีใครมามัวคัดสรรอะไรหรอก ประเดี๋ยวได้สิ้นชีพก่อนพอดี
ด้วยเหตุนี้ ตลอดเวลาที่เฟิ่งชิงเฉินดูแลหวังจิ่นหลิง นางจึงไม่ยึดติดกับคำว่าชายหญิง ในช่วงเวลาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเช่นนี้ ไม่มีแบ่งแยกผู้ชายหรือผู้หญิง แต่ผู้หญิงจะเสียเปรียบที่สุด เพราะนอกจากจะเสี่ยงชีวิตแล้ว ยังอาจถูกผู้คนครหาอีกด้วย
แต่เมื่อมีหน้าที่ให้ต้องรับผิดชอบ เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่สนใจคำว่าชายหญิงแล้ว มีเพียงคำว่ามิตรหรือศัตรูเท่านั้น หากเป็นศัตรูก็ต้องฆ่าทิ้งเสีย หากเป็นพวกเดียวกันก็ต้องประคับประคองกัน ต้องร่วมกันฝ่าฟันเพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไป!