นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 593 ความแค้น ข้าจะรอที่เมืองหลวง
“ซี๊ด……” เฟิ่งชิงเฉินส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ ฝีเท้าของนางช้าลงเล็กน้อย นางต้องการจะเอ่ยให้เสด็จอาเก้ารอนาง แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้กล่าวออกมา นางได้แต่กัดฟันแล้วเดินตามไป
ร่างของเสด็จอาเก้าชะงักลงเล็กน้อย แม้เขามิได้หันหลังกลับมาดู แต่เมื่อจินตนาการถึงสภาพของเฟิ่งชิงเฉิน ก็ได้ชะลอความเร็วลง เพื่อให้เฟิ่งชิงเฉินเดินตามทาง
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อาจทำใจจืดใจดำต่อเฟิ่งชิงเฉินได้ เฟิ่งชิงเฉินเป็นเหมือนหัวใจของเขา เสด็จอาถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เขากำลังคิดว่าจะสั่งให้คนไปหาเกี้ยวมารับนางดีหรือไม่ จะได้ไม่ทำให้บาดแผลของเฟิ่งชิงเฉินต้องเจ็บกว่าเดิม
ความคิดนี้เพิ่งจะแวบเข้ามาในหัว ก็ได้ยินเสียงลมจากด้านหลังดังขึ้น จากนั้นสิ่งที่ตามมาก็คือรังสีอำมหิตอาฆาต
แย่แล้ว เหตุการณ์พลิกผัน!
เขามีเวลาครุ่นคิดไม่มาก เสด็จอาเก้ารีบหันหลังกลับไปอย่างรวดเร็วแล้วเอื้อมมือไปโอบเอาเฟิ่งชิงเฉินมากอดไว้ในอ้อมอก “ระวัง!”
“พลั่ก!” เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางอากาศ จากนั้นก็พบว่าใบไม้สีเขียวพุ่งเข้าไปทางทหารที่อยู่ตรงหน้าของเซวียนเฟยด้วยความรวดเร็ว
“ฉึบ……” ใบไม้สีเขียวชอุ่ม ปักเข้าให้ที่คอของทหารผู้นั้น ก่อนที่เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมา ดวงตาทั้งคู่ของทหารคนนั้นเบิกกว้าง ดูเหมือนเขายากที่จะเชื่อว่าตนกำลังจะตายด้วยการกิ่งของต้นไม้เพียงก้านเดียว “ตุ้บ!” ดาบในมือร่วงหล่นลงสู่พื้น จากนั้นร่างของเขาก็เอนไปทางเซวียนเฟย
หากว่าเป็นเวลาปกติทั่วไปแล้วนั้น เซวียนเฟยคงจะตกใจเสียจนร้องตะโกนออกมาเสียงดัง แต่บัดนี้นางตกใจเสียจนแทบเสียสติ จึงไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน
เสด็จอาเก้าพบว่าเหตุการณ์มีความพลิกผัน วินาทีที่เขากำลังปกป้องเฟิ่งชิงเฉินอยู่นั้นก็ได้เอื้อมมือไปหยิบปิ่นปักผมของนางดึงออกมา แล้วปาออกไปที่ลำคอของเซวียนเฟย เพราะเขาไม่อยากจะให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น
น่าเสียดายเหลือเกิน จิตใจของเสด็จอาเก้ากำลังปกป้องเฟิ่งชิงเฉินอยู่ จึงทำให้พลาดช่วงเวลาดีๆ ไป……
“ปึก……” ปิ่นนั้นถูกชายคนหนึ่งหักมันออกเป็นสองท่อนแล้วร่วงหล่นลงสู่พื้น “กล้าแตะต้องคนจากเผ่าเสวียนเซียวกงของข้า ใจกล้ายิ่งนัก!”
ชายหนุ่มในชุดเสวียนกวาดตามองมายังเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินอย่างโหดเหี้ยม โดยไม่เห็นทั้งสองคนในสายตา จากนั้นหันหลังไปผลักทหารข้างกายของเซวียนเฟยด้วยความหงุดหงิดจนล้มลงไปทีละคน เขาไม่สนใจทหารที่รายล้อมตนอยู่ แต่กลับคว้าเซวียนเฟยเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
“เสี่ยวเฟย เสี่ยวเฟย! เหตุใดเจ้าจึงเป็นเยี่ยงนี้ ไอ้สารเลว พวกเจ้ากล้าทำร้ายเสี่ยวเฟยของข้า ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไร?” ชายหนุ่มชุดเสวียนโมโหตะโกนออกมา เขาโอบกอดเซวียนเฟยไว้ด้วยความระมัดระวัง มืออันใหญ่น่าสัมผัสลูบไล้ไปที่ศีรษะของเซวียนเฟย มีอยู่หลายครั้งที่เขาอยากจะเอื้อมมือไปสัมผัสกับใบหน้าของเซวียนเฟยแต่ก็ไม่กล้า สายตาเต็มไปด้วยความโมโหและปวดใจ
ดวงตาคู่นั้นอันแดงเรื่อดูเหมือนมีน้ำตาหลบซ่อนเอาไว้ หลังทหารที่เสด็จอาเก้าต้องการจะใช้โอกาสนี้ในการโจมตี กลับถูกชายชุดเสวียนพบเข้าเสียก่อน ใบไม้หนึ่งกองพุ่งออกมาจากแขนเสื้อของชายชุดเสวียน “ฉับๆๆ……!” ทหารที่อยู่ข้างกายพากันล้มลงระเนระนาด
สามารถใช้ใบไม้ในการทำร้ายคนอื่นได้ ช่างเป็นทักษะที่ยอดเยี่ยมเหลือเกิน เฟิ่งชิงเฉินอดไม่ได้ที่จะยอมรับว่าชายหนุ่มผู้นี้ ที่สามารถใช้ใบไม้ในการทำร้ายผู้อื่นได้นั้น เปรียบเทียบกับนางแล้วตัวนางช่างไร้ประโยชน์เหลือเกิน
เหล่าทหารไม่สนใจต่อสภาพบาดแผล พวกเขาต้องการจะพุ่งตรงเข้าไปอีกครั้ง แต่เสด็จอาเก้ากลับยกมือขึ้นเป็นความหมายว่าอย่าทำการบุ่มบ่าม เขาไม่ต้องการจัดทำ ในสิ่งที่สูญเสียโดยเปล่าประโยชน์
ทหารเหล่านั้นจึงไม่ขยับเขยื้อน ชายชุดเสวียนก็ไม่ได้ตั้งใจจะโจมตีต่อ เขาเพียงต้องการโอบเซวียนเฟยไว้ในอ้อมแขนแล้วกล่าวด้วยใบหน้าอันปวดใจว่า “เสี่ยวเฟย อย่าได้กลัว อย่าได้กลัวไป พี่รองมาแล้ว ไม่มีใครกล้าทำลายเจ้าอีก พี่รองอยู่นี่!”
“พี่รอง?” เมื่อครู่นางกำลังสติหลุดลอย บัดนี้เมื่อได้ยินน้ำเสียงของชายชุดเสวียน นางจึงได้สติกลับคืนมา ขนตาเรียวงอนกะพริบเล็กน้อยก่อนจะลืมตาขึ้นเบิกกว้างดุจดั่งกวางน้อย
แววตาของเซวียนเฟยดูคลุมเครือ น้ำตาร่วงหล่นลงมาจากดวงตาคู่นั้นแล้วมองไปทางคนผู้นี้ จากนั้นนางก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง “พี่รอง พี่รอง เหตุใดท่านซึ่งมาเอาป่านนี้ เหตุใดกัน……พี่รอง พวกเขาทำร้ายเสี่ยวเฟย ท่านช่วยข้าพวกเขาแทนข้าได้หรือไม่ อ้อไม่สิ……จงจับเป็นพวกเขา ข้าจะหั่นพวกเขาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยให้งูกิน!” บัดนี้เซวียนเฟยมีที่พึ่งแล้ว นางจึงทำใจกล้าขึ้นมา
“พี่รอง ใบหน้าของข้าเจ็บปวดเหลือเกิน ผู้ชายคนนั้นเขาทำให้ใบหน้าของข้าต้องเสียโฉม และก็ผู้หญิงคนนี้นางทำให้ขาทั้งสองข้างของข้าต้องสูญเสีย พี่รอง พี่จะต้องช่วยข้าแก้แค้น จะต้องช่วยข้าแก้แค้นให้ได้” เซวียนเฟยร้องไห้ออกมา ทำให้น้ำเสียงของนางดูตะกุกตะกัก ประกอบกับร่างกายที่เจ็บปวดไปทั้งร่าง น้ำเสียงนั้นเมื่อดังเข้าไปในหูจึงได้ดูแสบหูยิ่งนัก
“เจ็บจัง พี่รอง ข้าเจ็บ เสี่ยวเฟยเจ็บยิ่งนัก เจ็บเหลือเกิน……”
“ไม่เจ็บ ไม่เจ็บ พี่รองอยู่นี่แล้ว เสี่ยวเฟย เป็นความผิดของพี่รองแท้ๆ ที่พี่มาสายเกินไป แต่เสี่ยวเฟยไม่ต้องกังวลใจพี่รองจะล้างแค้นให้เจ้าแน่ ผู้ที่ทำให้เจ้าต้องได้รับบาดเจ็บ พี่รองจะไม่ปล่อยมันไว้แม้แต่คนเดียว!” ชายชุดเสวียนสัมผัสไปที่ลำคอด้านหลังของเซวียนเฟยด้วยความทะนุถนอมอ่อนโยน จากนั้นเมื่อเซวียนเฟยเริ่มผ่อนคลายเขาก็ใช้โอกาสนี้ในการทุบไปที่ท้ายทอยของนางจนทำให้สลบ ก่อนหน้าที่จะสลบนั้นเซวียนเฟยยังร้องขึ้นว่านางเจ็บ
เฟิ่งชิงเฉินถูกเสด็จอาเก้ากอดไว้ในอ้อมออก เมื่อเห็นชายชุดเสวียนที่รูปร่างกำยำแต่ข้างในช่างอ่อนโยน มองไปยังใบหน้าของเขา ที่เผยถึงความปวดใจและทะนุถนอม ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ เฟิ่งชิงเฉินจึงรู้สึกอิจฉาเซวียนเฟยเหลือเกิน
นางก็อยากมีพี่ชายเช่นนี้บ้าง พี่ที่รักและทะนุถนอมนางโดยไม่มีเงื่อนไขใด คอยดูแลเอาใจใส่นางหลังจากที่นางก่อเรื่องขึ้นแล้ว แม้จะดุด่านางออกมาแต่ก็ช่วยนางในการจัดการเรื่องราวเหล่านี้ที่นางก่อ
การที่เซวียนเฟยทำตัวเย่อหยิ่งก็ไม่ใช่ว่าจะไร้เหตุผล เนื่องจากนางมีบิดาที่ยิ่งใหญ่ และมีพี่ชายผู้มากความสามารถ พวกเขาล้วนดูแลทะนุถนอมนางอย่างไร้เงื่อนไขโดยไม่ถามถึงเหตุผล
“จงละสายตาของเจ้ากลับมาเสีย!” แววตาของเฟิ่งชิงเฉินที่มองไปยังชายชุดเสวียนดูอบอุ่นเร่าร้อนเหลือเกิน ในที่สุดเสด็จอาเก้าก็ไม่อาจจะทนไหว เขากอดเฟิ่งชิงเฉินแน่นขึ้นกว่าเดิม
เฟิ่งชิงเฉินรีบละสายตากลับมาเหมือนตนกำลังกระทำผิดแล้วรีบอธิบายว่า “มีพี่ชายดียิ่งนัก”
“ดีอะไรกัน พี่ชายล้วนเป็นคนที่ต้องการชีวิตเจ้า!” เสด็จอาเก้ากล่าวอย่างไม่ไยดี เขาไม่พอใจยิ่งนักที่เฟิ่งชิงเฉินมองไปยังชายชุดเสวียนเมื่อสักครู่
นี่คือความแตกต่างระหว่างเฟิ่งชิงเฉินและเสด็จอาเก้า พวกเขาทั้งสองเป็นเด็กที่ขาดแคลนความรัก แต่สำหรับความรักของญาตินั้นกลับแตกต่างกันเล็กน้อย
เสด็จอาเก้าเกิดในตระกูลราชวงศ์ เขารู้สึกเฉยชาแล้วกับความไร้ความรู้สึก เขาละทิ้งความหวังความรอคอย และรู้ตั้งแต่แรกเริ่มว่าไม่ควรจะไปขวนขวายหาความรักของญาติ ผู้คนที่มีความข้องเกี่ยวกับเข้าในสายเลือด หากไม่ได้ต้องการฆ่าเขา ก็ล้วนต้องการใช้เขา
ส่วนเฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่เช่นนั้น นางยังคงคาดหวัง คาดหวังว่าจะมีผู้ที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกับนางมาคอยดูแลทะนุถนอมนาง คอยเป็นห่วงเป็นใยนาง ทำให้นางสัมผัสได้ถึงคำว่าบ้าน
ได้ยินประโยคนั้นของเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินจึงได้รีบอธิบายว่า “นั่นคือเหตุการณ์ในราชวงศ์ หากเป็นชาวบ้านธรรมดาไม่ใช่เช่นนั้น”
เฟิ่งชิงเฉินเชื่อมั่นว่าหากบิดาของนางยังอยู่ หากว่านางมีพี่ชายน้องชายน้องสาว ต่อให้มีทรัพย์สมบัติมากมายเพียงใดนางก็จะไม่ไปแย่งชิงกับบรรดาน้องๆ
“หึๆ นั่นเป็นเพราะพวกเขายังมองไม่ออกก็เท่านั้น หากได้รับการดึงดูดยั่วยุ แม้แต่ญาติแท้ๆ ของเจ้าก็สามารถแทงเจ้าที่หลังได้” เสด็จพี่ของเขาหากไม่ใช่เพราะเหยียบย่ำไปบนกองเลือดของน้องๆ จะขึ้นไปอยู่บนตำแหน่งนั้นได้อย่างไร
“หาใช่ทุกคนที่ชื่นชอบอำนาจ” อย่างน้อยนางก็รู้สึกว่าครอบครัวของคนธรรมดา เปรียบเทียบกับราชวงศ์แล้วนั้น พวกเขาจะแกร่งแย่งกันเพื่อนำอาณาจักรมาทำไม ไร้ประโยชน์
“ก็จริง คนบางคนไม่ชอบอำนาจ แต่การที่เขาไม่ชื่นชอบในอำนาจไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ชื่นชอบการแก่งแย่ง สิ่งที่เรียกว่าไม่อาจทำตามอำเภอใจได้นั้นเจ้าเข้าใจหรือไม่ บางคนที่เกิดมาในตำแหน่งนั้น ใช่ว่าเพียงไม่อยากแก่งแย่งก็สามารถทำตามอำเภอใจได้ หากว่าในบางครั้งเขาละทิ้งที่จะแก่งแย่งก็อาจต้องพบกับความตาย หากต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป ก็จำเป็นที่จะต้องเข้าแก่งแย่ง จะต้องขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดให้ได้ เนื่องจากไม่มีใครเชื่อว่าเจ้าจะไม่ต่อสู้แก่งแย่ง” เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินกล่าวเรื่องไม่เป็นเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาโดยไม่สนใจผู้คนรอบข้างไม่เห็นชายชุดเสวียนและเซวียนเฟยอยู่ในสายตา
เดิมทีชายชุดเสวียนที่โอบกอดนางเอาไว้ได้แต่มองดูทั้งสองคนเหมือนดูตัวตลก และรู้สึกว่าชายหนุ่มหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี่ช่างโง่เขลาเหลือเกิน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เขาจึงได้พบว่าคนที่โง่เขลากลับเป็นเขาเอง อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้เห็นเขาในสายตาเสียด้วยซ้ำ ที่สำคัญก็คือหากเขายังอยู่ที่นี่ต่อไปเรื่อยๆ เซวียนเฟยก็จะได้รับอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ
เจ้าเล่ห์!
ชายหนุ่มหญิงสาวคู่นี้เลือกใช้คำพูดในการดึงดูดความสนใจของเขา ชายชุดเสวียนโมโหยิ่งนัก แต่เมื่อเขาเพิ่งจะหยิบดาบออกมาเพียงเล็กน้อย มือธนูไม่จำเป็นต้องได้รับคำสั่งจากเสด็จอาเก้า คันธนูคันนั้นก็ได้ถูกหยิบลูกดอกขึ้นมาเตรียม มุ่งเป้าหมายไปทางเขา……