นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 601 ความวุ่นวายภายใน เป็นแรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลัง
เผ่าเสวียนเซียวกง
ในมืออีกข้างของปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีพลันกำหมากดำเอาไว้ พร้อมกับมืออีกข้างที่กำหมากสีขาวเอาไว้ด้วยเช่นกัน พลางนั่งเล่นหมากล้อมอยู่กับตนเอง เมื่อได้ยินฝีเท้าเบา ๆ ที่เดินเข้ามา เขาจึงค่อย ๆ วางหมากสีขาวลงไปบนกระดานอย่างแผ่วเบา
ผู้นำเผ่าเสวียนเซียวกงหาได้เอ่ยอันใดไม่ ผู้นำเผ่านั่งอยู่ด้านข้าง พร้อมทั้งนั่งรอปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีอย่างใจจดใจจ่อ
ผู้นำเผ่าเสวียนเซียวกง สกุลเซวียนนามหลี ในปีนี้อายุอานามก็สี่สิบกว่าปีแล้ว ทว่ารูปลักษณ์ภายนอกกลับดูเหมือนเพียงสามสิบต้น ๆ เท่านั้น เซวียนเฟยเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของเขา เขาทั้งรักและหลงบุตรีราวกับฮูหยินตนเองยิ่งนัก ทั้งยังหวงนางและปกป้องบุตรีของตนราวกับไข่มุกอันล้ำค่าก็ไม่ปาน เมื่อได้ข่าวว่าเซวียนเฟยได้รับบาดเจ็บนั้น วินาทีแรกเขาสั่งให้สายลับของเขา ไปเชิญตัวปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีมาในทันที
ในใต้หล้า มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำให้ท่านผู้นำเผ่าเสวียนเซียวกงให้ความเคารพนับถือได้ ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ท่านผู้นำเผ่าเสวียนเซียวกงไม่มีทางเลือกอันใดมาก ในยามนี้เขาได้แต่หวังว่าชายตรงหน้า จะสามารถช่วยรักษาใบหน้าบุตรีของตนเองให้กลับมาสวยงามดังเดิมได้ก็พอ
หลังจากผ่านไปได้ครึ่งชั่วยาม ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีจึงได้วางหมากในมือของตนเองลง พร้อมกับชัยชนะที่วางไว้แล้วบนกระดานหมาก หมากดำที่ดูอ่อนแอในคราแรกกลับคว้าชัยไปได้ในภายหลัง ท่านผู้นำเผ่าเสวียนเซียวกงจึงเปิดปากถามขึ้นมาว่า “ท่านปรมาจารย์ ท่านคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนั้นกัน?”
“มิต้องคิดพิจารณาอันใด ข้าจะไม่ทำเรื่องเช่นนั้น” ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีจึงค่อย ๆ หยิบชาหอมที่อยู่ข้างตัว ยกขึ้นมาจิบด้วยท่าทีสบายอารมณ์ ทว่าก็แฝงไปด้วยความระมัดระวังตัวเช่นกัน มีเพียงคิ้วของเขาที่ย่นลง เพื่อสื่อถึงความไม่สบายใจของตนเองออกมา
หากถูกผู้อื่นมาจำกัดสิทธิเสรีภาพของตนเองเช่นนี้ เป็นใครก็ไม่อาจมีความสุขได้หรอก
“ท่านปรมาจารย์ เรื่องนี้ ข้าขอให้ท่านออกแรงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในคราหน้า ชนเผ่าเสวียนเซียวกงย่อมไม่ปฏิบัติตนต่อท่านอย่างเลวร้ายแน่นอน หากว่าท่านปรมาจารย์ต้องการยาหรือสมุนไพรชนิดใดขอเพียงแค่เอ่ยปากบอกก็พอ” เซวียนหลีเอ่ยให้คำสัญญาด้วยท่าทีใจกว้าง ถ้วยชาที่อยู่ในมือ เขาหาได้ดื่มมันลงไปไม่ ไอน้ำสีขาวขุ่นที่ลอยขึ้นมานั้น บดบังสายตาของเขาที่ลอบมองมา ทำให้ผู้อื่นคาดเดาสิ่งที่อยู่ภายในใจของเขาได้ยากเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านผู้นำ ข้าอเองก็ได้ส่งจดหมายไปอย่างที่ท่านผู้นำต้องการแล้ว เช่นนี้ก็ควรปล่อยข้าออกไปเสียที ท่านยังมิพอใจอีกหรือ?”
“เขาทำลายใบหน้าของเสี่ยวเฟยเช่นนั้น นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องได้รับผลของการกระทำของตนเองอยู่แล้ว” คำว่า “เขา”นั้น มิต้องเดาก็พอจะรู้ว่า เขาผู้นั้นย่อมต้องเป็นเสด็จอาเก้า
“ใบหน้าของคุณหนูใหญ่นั้น ข้ามั่นใจถึงสิบส่วนว่า สามารถรักษาใบหน้าของนางให้กลับมาเป็นดังเดิมได้ เหตุใดท่านผู้นำเผ่ายังคงดื้อรั้นเช่นนี้” ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีได้แต่ถอนหายใจออกมา
เขาไปทำกรรมอันใดไว้กัน แต่เดิมก็คอยรักษาผู้คนภายในหุบเขามาตลอดอยู่แล้ว เมื่อวิ่งออกมาเช่นนี้ ยังต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับการต่อสู้ขององค์รัชทายาทแคว้นซีหลิงอีก และยังต้องมาเกี่ยวพันะหว่างความแค้นของชนเผ่าเสวียนเซียวกงกับเสด็จอาเก้าอีกด้วย
“แม้ว่าใบหน้าของเสี่ยวเฟยจะดีขึ้นแล้วอย่างไร แต่มันก็ไม่อาจลบล้างอาการบาดเจ็บที่นางได้รับไปได้ เสด็จอาเก้าแห่งตงหลิง ข้าย่อมไม่ปล่อยไปแน่ สตรีผู้นั้น ข้าก็จะไม่ปล่อยนางไปด้วยเช่นกัน
บุตรีของข้า แม้ไม่มีบรรดาศักดิ์เป็นองค์หญิง แต่ก็มีศักดิ์ศรีมากกว่าองค์หญิงเหล่านั้น บุตรีของข้าที่เฝ้ารักและทะนุถนอมมากับมือเช่นนี้ พวกเขาอยากจะตีก็สามารถตีนางได้หรือ หากมิให้บทเรียนกลับไปบ้าง เช่นนั้นทั่วแคว้นแดนทั้งเก้าจะไม่คิดว่า เผ่าเสวียนเซียวกงเป็นเผ่าเล็ก ๆ กระจอก ๆ งั้นหรือ” เมื่อเซวียนหลีกล่าวออกมาเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าไม่มีสิ่งได้เปลี่ยนแปลงความคิดที่เขาจะแก้แค้นให้กับบุตรีของตนเองไปได้อย่างแน่นอน
เฮ้อ ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี มิรู้ว่าคนเองควรจะพูดอะไรออกมา เขาและเสด็จอาเก้า พร้อมทั้งเฟิ่งชิงเฉิน ต่างก็เคยพบหน้าค่าตากันมาก่อน อีกทั้งยังรู้จักนิสัยพวกเขาเป็นอย่างดี หากว่าเซวียนเฟยมิได้ทำสิ่งใดเกินกว่าเหตุ ทั้งสองคนหาได้คิดสนใจเซวียนเฟยไม่ อีกทั้งยังไม่คิดที่จะมาสร้างปัญหาให้อีกด้วย
“ท่านผู้นำ คุณชายรองคงบอกกับท่านแล้วกระมัง ว่าสตรีนามว่าเฟิ่งชิงเฉินนั้น มีความคล้ายกับหลิงหยวนมากนัก”
“ใช่แล้วอย่างไรกัน ใต้หล้ามีผู้คนหน้าตาคล้ายกันมากมายนัก ทว่า นางกับเสี่ยวเฟยย่อมไม่มีทางเหมือนกันอย่างแน่นอน เสี่ยวเฟยของข้า ย่อมมีเพียงหนึ่งเดียว ข้าย่อมไม่มีทางยินยอมให้มีสตรีที่คล้ายกับเสี่ยวเฟยอยู่ร่วมโลกได้อย่างแน่นอน ทำไมหรือ? หรือว่าท่านปรมาจารย์ก็รู้จักนางเช่นนั้นหรือ?” เซวียนหลีมิได้คิดจริงจังกับรูปลักษณ์ของเฟิ่งชิงเฉินมากเท่าใดนัก
ฮูหยินของเขา ตั้งแต่ตบแต่งอยู่ร่วมกันมา นางหาได้เคยก้าวออกจากเผ่าเสวียนเซียวกงไม่ เกรงว่ารูปลักษณ์ที่เหมือนกัน คงจะเป็นความบังเอิญเสียมากกว่า
“ข้ากับนางเคยพบกันครั้งหนึ่ง” ภายใต้สีหน้าที่เย็นชาทว่าภายในกลับร้อนรุ่ม เป็นจรรยาบรรณ์ของแพทย์ที่พึงมี เขารู้ดีว่าตนเองหาได้เป็นหมอที่ดีไม่ แต่นั่นมิได้หมายความว่าเขาจะชอบคนประเภทเดียวกันกับตนเองเช่นกัน
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ในเมื่อท่านปรมาจารย์ไม่วี่แววว่าจะช่วยเหลือข้า เช่นนั้นข้าก็จะไม่บังคับฝืนใจ เช่นนั้นท่านปรมาจารย์ก็คิดเสียว่าข้ามิเคยเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาเลยเถิด” เซวียนหลีพูดเป็นเชิงคำขู่ พร้อมทั้งหันกายจากไปในทันที
ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีได้แต่ถอนหายใจอย่างไร้เรี่ยวแรง ดูเหมือนว่า หากเซวียนเฟยมิได้ทำลายเฟิ่งชิงเฉินนั้น เขาย่อมมิยอมรามืออย่างแน่นอน เขาจึงอดมิได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า “ท่านผู้นำ เรื่องเช่นนี้ ท่านควรจะจัดการอย่างระมัดระวังเสียหน่อยเถิด จากความคิดของข้าแล้ว ภายใต้โลกใบนี้ มิมีผู้ใดที่จะมีหน้าตาคล้ายกันด้วยความบังเอิญเป็นแน่ ท่านรอได้พบนางจริง ๆ เสียก่อน แล้วค่อยตัดสินใจลงมือก็ยังมิสายเกินไป ข้ากล่าวเช่นนี้ ก็เพื่อป้องกันมิให้ท่านต้องเสียใจในภายหลัง”
“ข้าย่อมมิคิดเสียใจอย่างแน่นอน หากท่านปรมาจารย์มิว่าอะไร เช่นนั้นท่านก็พักอยู่ในชนเผ่าเสวียนเซียวกงไปเสียระยะหนึ่งเถิด” คำพูดนี้ เปลี่ยนเป็นคำสั่งกักขังท่านปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีไปในทันที หากเรื่องยังไม่ยอมจบ ท่านปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีก็อย่าได้หวังที่จะออกจากชนเผ่าเสวียนเซียวกงไปเลย
เฟิ่งชิงเฉิน เขาจะต้องทำลายนางแน่ เขาย่อมไม่ยอมให้สตรีที่ทำร้ายบุตรีของตนเองมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ โดยเฉพาะคุณชายใหญ่ของตระกูลหวังที่บุตรีของตนชื่นชอบแล้ว เช่นนั้นเขาก็จะไว้ชีวิตคุณชายผู้นี้เอาไว้
เซวียนหลีหาได้กลับไปมองไม่ พร้อมทั้งเดินจ้ำอ้าวออกไปในทันที
สิ่งที่เขาตัดสินใจลงไปแล้ว ผู้ใดก็ไม่อาจมาเปลี่ยนแปลงมันไปได้
สีหน้าของปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีมืดครึ้มไปในทันที พร้อมกับจับจ้องไปที่กระดานหมากที่อยู่ตรงหน้า
นี่มันเรื่องอันใดกันแน่!
ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีในยามนี้ รู้สึกเสียใจยิ่งนัก พร้อมทั้งส่งจดหมายกลับไปให้เสด็จอาเก้าในทันที หากว่าเสด็จอาเก้ากลับไปเมื่อใด ย่อมต้องเกิดเหตุวิวาทกลับจักรพรรดิแห่งตงหลิงเป็นแน่ หากว่าทั้งสองฝ่ายมาบาดหมางใจกันเช่นนี้ นั่นมิใช่เป็นโอกาสอันดี ที่ชนเผ่าเสวียนเซียวกงจะลอบเข้าไปแทรกกลางได้งั้นหรือ?
ปวดหัวยิ่งนัก!
พอแล้ว เรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ เขาไม่อาจเข้าไปยุ่งวุ่นวายมากได้ ในยามนี้ เพียงแค่หาทางรักษาใบหน้าให้เซวียนเฟยก็พอแล้ว มิเช่นนั้นท่านผู้นำเผ่าเสวียนเซียวกงที่โปรดปรานบุตรีของตนแทบจะเป็นบ้านั้น อาจจะมาฆ่าเขาเป็นแน่
ถึงแม้ว่าฐานะของเขาจะไม่แย่นัก แต่ทว่า เขาหาได้มีอำนาจเทียบเท่ากับท่านผู้นำเผ่าเสวียนเซียวกงไม่
ในยามนี้ท่านปรมาจารย์ตกตะลึง ทั้งยังรู้สึกกลัวความป่าเถื่อน พร้อมทั้งรู้สึกกลัวตายเป็นอย่างมาก หากว่ากันตามจริงแล้ว ก็มีเพียงเหตุการณ์ในยามนี้เท่านั้น เขาตกตะลึงในความป่าเถื่อนของท่านผู้นำเผ่าเสวียนเซียวกง ทว่าเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินเล่า?
ในสายตาของปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีนั้น เขารู้สึกว่าทั้งเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินอาจจะต้องเผชิญหน้ากับความตาย หากว่าเผ่าเสวียนเซียวกงต่อกรกับพวกเขาเมื่อใด ก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ว่า ผู้ใดจะแพ้หรือชนะเช่นกัน
ฮ่าฮ่าฮ่า จู่ ๆ ท่านปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีก็อารมณ์ดีขึ้นมา
เขาจะไปเดือดร้อนทำไมกัน ก็แค่นั่งชมงิ้วก็พอแล้วมิใช่หรือ ถึงอย่างไรแรงอาฆาตของพวกเขาก็หาได้ทำร้ายตนเองไม่
หลังจากที่เสด็จอาเก้าได้รับข้อความจากปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีนั้น ก็อดมิได้ที่จะอยากทรมานหวังจิ่นหลิงยิ่งนัก พร้อมทั้งส่งจดหมายไปแจ้งให้ตระกูลหวัง ให้รีบมารับหวังจิ่นหลิงกลับไปในทันที โดยเฉพาะฝู่หลิน เสด็จอาเก้ามิอยากจะคิดถึงเขาด้วยซ้ำ พร้อมกับสั่งให้คนนำฝู่หลินไปขังเอาไว้ที่คอกม้าในทันที บุรุษอันตรายเช่นฝู่หลินนั้น เก็บไว้ข้างตัวย่อมปลอดภัยมากที่สุด
หลังจากสั่งให้กองทัพถอยทัพแล้วนั้น เสด็จอาเก้าจึงพาเฟิ่งชิงเฉินและกองทัพที่คุมตัวฝู่หลินเดินหน้ากลับไปที่เมืองหลวงโดยเร็ว
ผ่านไปได้สิบวัน ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีจึงตอบกลับมาว่า บาดแผลทั่วร่างที่เฟิ่งชิงเฉินได้รับบาดเจ็บนั้น ภายในสิบวันนี้ต้องได้รับบัวหิมะพลันปีสกัดออกมาเป็นยาเพื่อทาไปที่บาดแผลของนาง มีความเป็นไปได้ถึงเจ็ดส่วนว่า มันจะไม่มีทางทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้อย่างแน่นอน
หากนับเวลาจากการส่งจดหมายมาหานั้น นี่ก็ผ่านไปแล้วเป็นเวลาห้าวัน นั่นหมายความว่ายังเหลือเวลาอีกเพียงห้าวันในการรักษาเท่านั้น
บัวหิมะพันปี ถ้าหากเป็นแต่ก่อนละก็ การจะใช้เวลาในการตามหาบัวหิมะพันปีภายในห้าวันนั้น มันย่อมไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย แต่ในยามนี้เล่า?
ในมือของจักรพรรดิมีอยู่หนึ่งดอกพอดี!
นี่เป็นความบังเอิญ หรือเป็นความบังเอิญที่มีคนจงใจสร้างขึ้นมากันแน่?
ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีเจาะจงเป็นพิเศษว่า ต้องใช้บัวหิมะพันปีเท่านั้นถึงจะได้ผล เสด็จอาเก้ามิคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ เนื่องจาก ตั้งแต่ที่เซวียนเฟยได้รับบาดเจ็บก็กินเวลาไปครึ่งเดือนแล้ว เส้นทางของเขาในยามนี้จึงค่อนข้างเชื่องช้าไปมาก นอกจากคิดถึงเรื่องบาดแผลของเฟิ่งชิงเฉิน รวมไปถึงคิดหาวิธีเพิ่มบาดแผลให้กับหวังจิ่นหลิงแล้วนั้น ในยามนี้ก็เหลือแต่เพียงรอคอยการตอบโต้ของเผ่าเสวียนเซียวกงเท่านั้น
สุดท้าย เมื่อระยะเวลาผ่านไปได้ครึ่งเดือน ทางฝั่งของชนเผ่าเสวียนเซียวกงนั้น ทำตัวราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พร้อมทั้งไม่มีการเคลื่อนไหวอันใดออกมาอีก ความสงบเช่นนี้ ทำให้เสด็จอาเก้ารู้สึกมิค่อยวางใจเป็นอย่างยิ่ง
การส่งจดหมายไปหาปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี ก็นับว่าเป็นการลองเชิงอย่างนึงเช่นกัน อาการบาดเจ็บของเซวียนเฟยนั้น เกรงว่าจะมีเพียงปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีกระมังที่สามารถรักษานางได้
แม้เสด็จอาเก้าจะรู้ดีว่า บัวหิมะพันปีเป็นเพียงกับดัก ทว่า เสด็จอาเก้าก็กระโดดลงไปในกับดักอย่างไม่คิดลังเลเลยเช่นกัน เขาเชื่อในคำพูดของปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี เนื่องจากว่าปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีและเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนจำพวกเดียวกัน ทั้งยังดื้อรั้นเอาตัวเองเป็นหนึ่งเหมือนกันอีกด้วย พวกเขาย่อมมิยอมให้ชื่อเสียงและทักษะการแพทย์ของตนเอง ต้องมามัวหมองเป็นแน่
บัวหิมะพันปี หากเขาต้องการ เขาย่อมต้องได้มันมา
มีคนต้องการเห็นเขาและเสด็จพี่ขัดแย้งกันใช่หรือไม่? เช่นนั้นเขาก็จะทำให้ดู เขาก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งจนกว่าอีกฝ่ายจะตายกันไปข้างนึงเลยทีเดียว แต่ทว่า หากต้องการจะดูงิ้วดี ๆ เช่นนี้ พวกมันก็สมควรที่จะต้องจ่ายค่าตอบแทนกลับมาด้วยเช่นกัน!
สายตาของเสด็จอาเก้าพลันแผ่ไอสังหารขึ้นมาครู่หนึ่ง ทั่วร่างของเฟิ่งชิงเฉินจึงรู้สึกหนาวสั่นยิ่งนัก นางอดมิได้ที่จะดึงอาภรณ์ของตนเองเข้ามาประชิดตัวให้มากขึ้นในทันที
หากนางทายไม่ผิดไปละก็ จะต้องมีคนถึงคราวเคราะห์อย่างแน่นอน นางออกจากเมืองหลวงมาได้หนึ่งเดือนเช่นนี้ เกรงว่าภายในเมืองหลวงย่อมต้องมีเรื่องน่าสนุกรอนางอยู่เป็นแน่!