นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 602 เมืองหลวง ข้าเฟิ่งชิงเฉินกลับมาแล้ว
มีเสด็จอาเก้าอยู่ข้างกายเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นคืนเดือนดับ เฟิ่งชิงเฉินก็มิรู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งเรื่องราวในระหว่างทาง เฟิ่งชิงเฉินหาได้จำเป็นต้องไปสนใจไม่ นางเพียงแต่ตั้งใจฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของตนเองก็เพียงพอแล้ว หากว่านางเบื่อหน่ายเมื่อใด ก็หันไปดูตำราการแพทย์ที่เสด็จอาเก้าสรรหามาให้นางแทน
เสด็จอาเก้าผู้นี้ เป็นคนที่รู้จักเอาใจใส่คนหนึ่งเลยเช่นกัน เขาสามารถทำให้คนหนึ่งได้รับความโปรดปรานมากมายเสียจนแทบเทียมฟ้า ทั้งยังสามารถทำให้คนเหล่านั้นถูกหลงใหลเสียจน เกือบหลงลืมตัวตนของตนเองไปได้ด้วยช่นเดียวกัน
หากจะพูดว่านางไม่ซาบซึ้งใจนั้น ก็นับว่าเป็นเรื่องโกหก แต่ทว่า เฟิ่งชิงเฉินหาได้หลงใหลไปกับความโปรดปรานที่เสด็จอาเก้ามอบให้นางไม่ อีกทั้งนางยังมิคิดว่า เสด็จอาเก้าจะหลงใหลนางเสียจน ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวในราชสำนักหรือเรื่องราวในเมืองหลวงได้ด้วยเช่นกัน
ตำราแพทย์ในมือของนางนั้น ผ่านไปได้ครึ่งวันก็ยังมิถูกพลิกไปที่หน้าใดเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าสายตาของเฟิ่งชิงเฉินจะจับจ้องไปที่หน้าตำรา แต่ทว่าจิตใจของนางกลับลอยฟุ้งซ่านไปไกลเสียแล้ว
นางรู้ดีว่า เสด็จอาเก้ามิใช่ผู้ที่จะหลงใหลในตัวตนของผู้ใด แล้วลืมภารกิจหน้าที่ที่ตนต้องรับผิดชอบไปได้ ไม่ผิดที่เสด็จอาเก้าจริงใจและหลงรักนาง แต่ทว่าเสด็จอาเก้าก็มีจุดประสงค์อื่นในการเข้าหานางด้วยเช่นกัน เสด็จอาเก้าเชี่ยวชาญในด้านการเข้าหาผู้อื่นพร้อมทั้งใช้ประโยชน์ผู้อื่นได้ชำนาญการยิ่งนัก
หากเป็นแต่ก่อน นางมิค่อยกล้ามั่นใจในเรื่องนี้มากนัก แต่ทว่า เมื่อนางเห็นคำว่าบัวหิมะพันปีขึ้นมานั้น มันก็ทำให้เฟิ่งชิงเฉินอดคิดมิได้
เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า เสด็จอาเก้าต้องการต่อกรกับเผ่าเสวียนเซียวกง การที่เสด็จอาเก้าทำลายใบหน้าของเซวียนเฟยนั้น ย่อมหมายความว่าเสด็จอาเก้ามีแผนมารองรับในการกระทำของตนเองแล้ว
รูปลักษณ์ของนางและเซวียนเฟยที่ดูคล้ายคลึงกันนั้น เกรงว่าจะเป็นอาวุธอีกชนิดหนึ่งของเสด็จอาเก้าเช่นกัน มิเช่นนั้นเสด็จอาเก้าคงมิทำลายใบหน้าของเซวียนเฟยให้มากเรื่อง การปลิดชีพเซวียนเฟยย่อมง่ายดายกว่าอยู่แล้ว
เสด็จอาเก้าและท่านผู้นำเสวียนเซียวกงได้ทำการปะทะกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งการประมือกันในรอบแรกก็ได้ถูกเริ่มขึ้นไปแล้วเช่นกัน สนามรบย่อมต้องเป็นที่เมืองหลวงของตงหลิง เมื่อรู้ว่าสนามรบของที่พวกเขาทั้งสองเลือกไว้ คือเมืองหลวงของตงหลิงนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็อดที่จะรู้สึกผ่อนคลายออกมาไม่ได้
สนามรบของนาง เป็นนางที่ได้เปรียบทั้งขึ้นทั้งร่องเช่นนี้ เผ่าเสวียนเซียวกงก็ปล่อยม้าดีเข้ามาเถอะ!
เมื่อเสด็จอาเก้าเห็นเฟิ่งชิงเฉินที่นั่งอยู่ตรงหน้าของตน ตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิดของตนเองเช่นนั้น เขาก็รู้สึกพอใจยิ่งนัก
สตรีที่เขาถูกใจ ย่อมไม่วันหลงลืมตัวตนเพียงเพราะความโปรดปรานเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้เป็นอันขาด อีกทั้งยังไม่มีความคิดเป็นของตัวเองด้วยเช่นกัน เฟิ่งชิงเฉินที่เป็นเช่นนี้นับว่าดียิ่งนัก ประหยัดเวลาที่เขาต้องจัดการปัญหาไปมากเลยทีเดียว
เขารู้ดีว่าเรื่องเช่นนี้ หากเขาไม่พูดออกมา เฟิ่งชิงเฉินก็สามารถเข้าใจได้ อีกทั้งนางยังให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีด้วย นั่นหมายความว่าพวกเขาเป็นคนจำพวกเดียวกัน
ผ่านไปได้สามวัน เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินก็กลับมาทันหิมะแรกของตงหลิงในทันที ยามที่กลับมาถึงเมืองหลวงนั้น องค์รัชทายาทก็ได้มีการนำกำลังพลมารอต้อนรับที่หน้าประตูเมืองแล้ว
ในยามนี้ ทางด้านหน้าประตูเมืองจึงมีความคุ้มกันอย่างหนาแน่นยิ่งนัก เพื่อกีดกันไม่ให้ราษฎรเข้าออกหน้าประตูเมือง ทั้งสองข้างทางของถนนใหญ่ในตัวเมืองนั้น ต่างก็เต็มไปด้วยองครักษ์มากมายที่ถือดาบ ยืนเรียงแถวหน้ากระดานคอยคุ้มกันด้วยท่าทีองอาจยิ่งนัก
เมื่อรู้ว่าเสด็จอาเก้าออกไปปราบโจรกลับมา พร้อมกับของรางวัลมากมายนั้น ไม่ว่าจะคิดเห็นเช่นไร ก็เป็นเสด็จอาเก้าที่ได้รับชัยกลับมา ทั้งยังได้รับแรงสนับสนุนและกำลังใจมากมายเช่นนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับศึกเช่นไร เขาย่อมผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน
องค์รัชทายาทที่สวมใส่ชุดราชพิธี พร้อมทั้งใส่เสื้อคลุมหนังจิ้งจอกสีขาวเพื่อป้องกันลมหนาวนั้น ยืนอยู่หน้าประตูเมืองหาได้เป็นจุดสนใจไม่
เป็นดั่งที่เฟิ่งชิงเฉินเคยพูดไว้ นี่คือเป้าล่อ หากว่ามีมือสังหารลอบเข้ามานั้น แม้ปิดตาพวกเขาก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่าเป้าหมายของตนอยู่ที่ใด
เมื่อรถม้าของเสด็จอาเก้าหยุดเคลื่อนไหวไปได้ไม่นาน องค์รัชทายาทก็สั่งให้กลุ่มข้าราชบริพารพร้อมทั้งขุนนางน้อยใหญ่คุกเข่า พร้อมกล่าวต้อนรับเสด็จอาเก้าว่า “ยินดีต้อนรับเสด็จอากลับสู่เมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
“ยินดีต้อนรับเสด็จอาเก้ากลับสู่เมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ!” นอกจากองครักษ์ที่ยืนอยู่ทั้งสองข้างทางและองค์รัชทายาทนั้น ทุกคนที่เหลือจึงต้องนั่งคุกเข่าทั้งหมด เพื่อรั้งรอเสด็จอาเก้าลงจากรถม้า
แม้ว่าหิมะจะโปรยปรายลงมาก็ตาม ทว่า อาภรณ์ของเสด็จอาเก้าที่เข้ารูป รวมไปถึงเนื้อผ้าสีดำที่ปลิวไปตามแรงลมนั้น กลับขับให้เสด็จอาเก้าดูสง่างามและเคร่งขรึมยิ่งนัก
เมื่อเสด็จอาเก้าเดินลงมาจากรถม้านั้น หาได้ส่งสัญญาณให้ทุกคนลุกขึ้นยืนไม่ พลันหันหลังกลับไปพยุงเฟิ่งชิงเฉินให้เดินลงมาจการถม้าแทน
หนึ่งเดือนก่อนหน้านั้น จู่ ๆ เฟิ่งชิงเฉินก็หายตัวไปจากเมืองหลวงอย่างไร้ร่องรอย ภายหลังได้ไม่นานเสด็จอาเก้าก็ออกจากเมืองหลวงตามไปติด ๆ เพื่อไปจัดการโจรที่เมืองอี้สุ่ย หากจะพูดว่าพวกเขามิได้เกี่ยวข้องกันนั้น ย่อมไม่มีผู้ใดเชื่อถือ
ทว่า เกิดเรื่องอันใดขึ้นนั้น ย่อมไม่มีผู้ใดล่วงรู้ รู้แต่เพียงว่าทั้งเสด็จอาเก้าและองค์จักรพรรดิร่วมด้วยช่วยกันเก็บกวาดวังหลังอย่างสะอาดเอี่ยม พร้อมทั้งค่อย ๆ แงะตะปูตัวใหญ่ที่ถูกตอกเอาไว้ในที่ต่าง ๆ ออกมาจนหมด
มิได้มีเพียงแต่เรื่องนี้ ในระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา มีคนมากมายอีกนับไม่ถ้วนที่ตายด้วยน้ำมือขององครักษ์ของซู่ชินอ๋องพร้อมกับลูกน้องมากฝีมือของปู้จิงหยุนก็มีมากมายเช่นกัน คนเหล่านี้ล้วนแต่มีความสามารถที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
อาจกล่าวได้ว่า การหายตัวไปของเฟิ่งชิงเฉินนั้น ทำให้อำนาจหลัก ๆ ภายในตระกูลขุนนางใหญ่โตทั้งหลายต่างได้รับความเสียหายไปเป็นจำนวนมากเลยทีเดียว ทว่า บัญชีแค้นนี้หาได้มีผู้ใดกล้าไปเก็บกับจักรพรรดิและเสด็จอาเก้าไม่ ดังนั้นผลกรรมจึงต้องมาตกอยู่ที่เฟิ่งชิงเฉินแทน
การกลับมาในเมืองหลวงของเฟิ่งชิงเฉินในครานี้ หลายสิ่งหลายอย่างภายในเมืองหลวงถูกเปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก นับตั้งแต่นางออกจากเมืองหลวงไปเป็นเวลาหนึ่งเดือน การต่อสู้ในครานี้ หาได้เป็นเพราะเสด็จอาเก้าต้องการไม่ เพียงแต่ว่า เสด็จอาเก้าเพียงเป็นตัวแทนการกลับมาครั้งยิ่งใหญ่ของเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้นเอง เสด็จอาเก้าต้องการให้เฟิ่งชิงเฉินกลับมาถึงเมืองหลวงอย่างโดดเด่น ก็เพื่อให้คนเหล่านั้นรู้ว่า เฟิ่งชิงเฉินหาใช่ลูกพลับนิ่มให้คนพวกนั้นได้ทำสิ่งใดได้อย่างใจอย่างไม่
ถึงแม้ว่า ในความเป็นจริงเฟิ่งชิงเฉินจะโดดเด่นเป็นทุนเดิมก็ตาม อย่างน้อย ๆ ก็หลังจากนี้เป็นต้นไป ย่อมมีสตรีเป็นจำนวนมากที่นึกอิจฉานางยิ่งนัก
เฟิ่งชิงเฉินค่อย ๆ คล้องแขนเข้ากับแขนของเสด็จอาเก้า ยามที่นางลงมาจากรถม้านั้น นางก็ตกเป็นเป้าสายตาจากทุกคนในทันที
ชุดกระโปรงสีแดงชาด พร้อมด้วยปิ่นปักผมรูปหงส์เพลิงสีสดใส แม้แต่เสื้อคลุมลมของนางก็เป็นอาภรณ์สีเดียวกัน ทั่วร่างของเฟิ่งชิงเฉินในยามนี้คล้ายกับลูกไฟก็ไม่ปาน ดูสูงศักดิ์ สง่าผ่าเผย ราวกับดอกโบตั๋นที่เบ่งบานท่ามกลางหิมะสีขาวที่โปรยปรายลงมา จนทำให้หิมะที่อยู่ในรอบด้านดูหม่นหมองไปในทันใด
การแต่งองค์ทรงเครื่องนี้ ทั่วแคว้น เห็นจะมีเพียงเฟิ่งชิงเฉินเพียงผู้เดียวกระมัง ที่สามารถแต่งตัวได้ดูงดงามถึงเพียงนี้ได้ วินาทีที่นางเดินลงมาจากรถม้านั้น เสื้อคลุมกันลมพลันปลิวไสวไปมาในทันที คล้ายกับปีกหงส์เพลิงที่กำลังโบยบินยิ่งนัก ทั้งยังดูเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ราวกับจะเป็นการประกาศก้องให้โลกรู้ว่า นางเฟิ่งชิงเฉินกลับมาแล้ว อีกทั้งยังเป็นการกลับมาที่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่งมากกว่าเดิมอีกด้วย
หลังจากที่เสด็จอาเก้าเห็นเฟิ่งชิงเฉินเดินลงมาแล้วนั้น พระองค์ก็ออกคำสั่งอย่างเย็นชา ให้ทุกคนลุกขึ้นยืนได้ พร้อมทั้งปล่อยมือเฟิ่งชิงเฉินด้วยเช่นกัน เพื่อให้นางได้เดินเคียงคู่กับเขา
อาภรณ์สีดำคู่กับสีแดง ทั้งรูปร่างที่สูงและเตี้ย ในใต้หล้าคงไม่มีผู้ใดเหมาะสมไปมากกว่าพวกเขาอีกแล้วกระมัง พวกเขาเมินเฉยต่อสายตาผู้คนที่มองมามากมาย พร้อมเดินก้าวขาออกไปด้วยท่วงท่าที่สง่างามและมั่นคง พลันฝากรอยเท้าเอาไว้บนหิมะเป็นทางยาวด้วยเช่นกัน
วิธีการของเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉิน เป็นการบอกกล่าวกับผู้คนโดยไร้เสียงว่า แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะหายตัวไปเพียงหนึ่งเดือน ตำแหน่งของเฟิ่งชิงเฉินที่อยู่ภายในใจของเสด็จอาเก้าก็ยังคงไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เฟิ่งชิงเฉินอย่างไรก็คือเฟิ่งชิงเฉิน ไม่ว่าก่อนหน้านั้นจะเป็นเช่นไร ในยามนี้นางก็ยังคงเป็นเฟิ่งชิงเแินคนเดิม
ภายในโรงน้ำชานั้น หนานหลิงจิ่นฝานพร้อมด้วยสตรีสวมใส่ชุดอาภรณ์สีฟ้า กำลังยืนอยู่ริมหน้าต่าง พร้อมกับดึงความสนใจกลับมา เมื่อเห็นเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินต่างแยกย้ายกันขึ้นไปนั่งบนเกี้ยวแล้ว
“ซูโหยว นางก็คือศัตรูของเจ้า พี่สาวของเจ้าทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังยิ่งนัก เจ้าอย่าได้ทำให้ข้ารู้ผิดหวังไปด้วยเล่า เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้ามิเกรงใจ ข้าสามารถให้นามแก่เจ้าได้ ข้าก็สามารถทำลายเจ้าได้เช่นกัน” หนานหลิงจิ่นฝานต่อสู้กับหนานหลิงจิ่นสิงมานานหลายเดือน ในที่สุดเขาก็สามารถกดหนานหลิงจิ่นสิงให้กลับไปอยู่ใต้เท้าตนเองได้อีกครั้ง ในยามนี้หนานหลิงจิ่นฝานจึงรู้สึกดียิ่งนัก ฉะนั้นแล้ว เขาจึงหวนกลับมาที่ตงหลิงอีกครั้งหนึ่ง
การมาตงหลิงในครานี้นั้น ก็เพื่อส่งคนจากตระกูลซูมาประลองการขี่ม้าและยิงเกาทัณฑ์การประลองของสตรีนั่นเอง
หลังจากที่ซูหว่านได้รับบาดเจ็บนั้น เสด็จอาเก้าก็มีพระราชโองการออกมาให้ทำการหยุดการประลองไปชั่วคราว อีกทั้งยังป่าวประกาศไปทางตระกูลซูด้วยว่า เพื่อป้องกันไม่ให้ตระกูลซูกล่าวหาว่าตงหลิงรังแกคนนั้น เปิ่นหวางจะให้โอกาสพวกเจ้าส่งสตรีนางอื่นมาทำการประลองแทน
บรรดาสตรีในตระกูลซูทั้งหลายนั้น ล้วนแต่มีหน้าตาเลื่องชื่อและมารยามากมายนับร้อย สตรีที่อยู่ในอันดับที่แปดมีนามว่าซูโหยว
นอกจากบุตรีของฮูหยินเอกในตระกูลซูแล้ว สตรีนางอื่นในตระกูลซูล้วนแต่มีอันดับเลขหาได้มีนามเป็นของตนเองไม่ พวกนางล้วนแต่เป็นเครื่องมือของคนในตระกูลซูทั้งหมด แต่ทว่า บุตรีของฮูหยินเอกจะมีราคามากกว่า ฉะนั้นและพวกนางจึงได้รับสั่งสอนที่ดี ส่วนสตรีนางอื่นจะได้รับการปฏิบัติตัวที่เป็นรองลงมา
ซูโหยวจึงนับได้ว่าเป็นสตรีที่โดดเด่นมากที่สุดในราว ๆ บรรดาสตรีทั้งสิบกว่าคน แม้ว่าความรู้ความสามารถอาจจะมิได้เป็นเลิศเท่าซูหว่าน ทว่า การวางแผนรับมือหรือเล่นกับจิตใจของคนนั้น มิใช่เรื่องที่ซูหว่านจะเทียบเคียงนางได้
ซูโหยวมีความสง่างามทั้งยังดูน่าเอ็นดูยิ่งนัก ใบหน้าที่ดูยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา เสมือนกับเป็นสตรีที่อ่อนต่อโลกยิ่งนัก ทั้งอ่อนแอไร้เดียงสา จึงทำให้ผู้คนลดการป้องกันต่อนางได้ง่ายด้วยเช่นกัน ฉะนั้นแล้วหนานหลิงจิ่นฝานจึงเลือกนางอย่างไม่คิดลังเลเลยทีเดียว
สตรีที่มีความสามารถ ด้วยรูปลักษณ์หน้าตาที่ดูอ่อนหวานเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ก็สามารถใช้กลเกมของมารยาสตรีได้เช่นกัน ซูหว่านที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีเช่นนั้น ก็เพื่อจะได้หยิบนางมาใช้การได้เช่นนี้
ซูโหยวก็นับว่าเป็นสตรีที่รู้ความเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินหนานหลิงจิ่นฝานเอ่ยขึ้นมาเช่นนั้น นางก็โค้งกายคำนับพร้อมกล่าวออกมาว่า “ฝ่าบาทวางใจได้เพคะ โหยวเอ๋อร์จะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวังอย่างแน่นอนเพคะ”
ความสามารถที่โดดเด่นออกมาจากเหล่าบุตรีของอนุภรรยา เมื่อเทียบกับซูหว่านที่ถูกเลี้ยงดูด้วยความเอาอกเอาใจนั้น ซูโหยวย่อมเข้าใจความจริงในการเอาตัวรอดของโลกใบนี้มากกว่า ทั้งยังรู้วิธีที่จะต่อกรและเอาชนะสตรีที่แข็งแกร่งเช่นเฟิ่งชิงเฉินไปได้เช่นกัน