นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 606 พวกเรากำลังลงมือ
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 606 พวกเรากำลังลงมือ
ชุยห้าวถิงเหมือนจะรู้ล่วงหน้าว่าเฟิ่งชิงเฉินจะมาหา เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเอ่ยปาก “คุณชายชุย ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่าน เรื่องอาการป่วยของท่าน” ชุยห้าวถิงจึงยกมือขึ้นมาส่งสัญญาณให้คนอื่นๆออกไป
“แม่นางเฟิ่ง ตอนนี้ไม่มีคนอื่นแล้ว เจ้าว่ามาได้เลย” นิ้วทั้งสิบของชุยห้าวถิงขาวซีดจนมองเห็นเส้นเลือด เขาท่าทางอ่อนแรงจนเหมือนจะต้านลมไม่ไหว อาการเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าการรักษาตัวตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา ไม่ได้ทำให้เขาแข็งแรงขึ้นเลย
เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าอาการป่วยของชุยห้าวถิงจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปนานๆไม่ได้ นางจึงตัดสินใจพูดอย่างตรงไปตรงมา “คุณชายชุย อาการป่วยของท่านจะรอช้าไม่ได้แล้ว แผนการรักษาโดยละเอียดครั้งก่อนข้าเคยบอกท่านแล้ว ข้าว่าตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา ท่านน่าจะตัดสินใจได้แล้วนะ”
ชุยห้าวถิงกำถ้วยน้ำชาแน่น แม้ว่าทุกอย่างดูเหมือนจะดีขึ้น แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาเฟิ่งชิงเฉินไปได้ เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจออกมา
แม้ว่าเรื่องของชุยห้าวถิงจะไม่รุนแรงนัก แต่นางกังวลว่าหลังจากผ่านไปแล้ว 1 เดือน ชุยห้าวถิงจะไม่ยอมรับการผ่าตัด นางเคยอธิบายเรื่องความเสี่ยงจากการผ่าตัดให้เขาฟังแล้ว เพื่อที่ว่าหากการผ่าตัดไม่สำเร็จ นางจะได้ไม่ถูกตระกูลชุยโกรธเคือง
เฟิ่งชิงเฉินยกถ้วยน้ำชาตรงหน้าขึ้นมาดื่ม เมื่อมีน้ำชาอุ่นๆลงท้อง เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกใจเย็นขึ้น
นึกไม่ถึงว่า ชุยห้าวถิงที่นิ่งเงียบไปนาน เขาไม่เพียงแต่ไม่ตอบคำถามเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้น แต่กลับชวนนางคุยเรื่องสัพเพเหระ “แม่นางเฟิ่ง ชานี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
คราวนี้คนที่นิ่งเงียบกลับกลายมาเป็นเฟิ่งชิงเฉิน นางถือถ้วยน้ำชาไว้ตำแหน่งเดิมไม่ขยับ พลางเงยหน้ามาสบตาชุยห้าวถิงด้วยแววตาเศร้าสลด
เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้วแล้ววางถ้วยน้ำชาลง “คุณชายชุย ในเมื่อท่านยังตัดสินใจไม่ได้ เช่นนั้นข้าไม่รบกวนท่านแล้ว 3 วัน ข้าจะให้เวลาท่านอีก 3 วัน ภายใน 3 วันนี้หากยังไม่ได้รับคำตอบจากท่าน ข้าจะถือว่าท่านล้มเลิกการรักษา”
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินพูดจบก็เดินออกไปโดยไม่หันมามองอีก การก้าวเดินของนางเงียบสงบ แต่มีเพียงนางคนเดียวที่รู้ดีว่าภายในใจนางกำลังรุ่มร้อนถึงขีดสุด
ก่อนหน้านี้ก็คุยกันดีแล้ว หากไม่ใช่เพราะหวังจิ่นหลิง ชุยห้าวถิงก็คงกำลังรักษาตัว ไม่นึกเลยว่าหลังจากผ่านไปแล้ว 1 เดือน ท่าทีของชุยห้าวถิงจะเปลี่ยนแปลงได้มากถึงเพียงนี้
ส่วนคนที่ทำให้ชุยห้าวถิงเปลี่ยนไป เฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องเดาให้ยาก หลังจากที่ชุยห้าวถิงมาตงหลิง คนที่เขาไปมาหาสู่ด้วยก็มีไม่กี่คน นอกจากหยุนเซียวแล้วก็มีคุณชายหยวนซีที่ช่วงนี้มาหาเขาบ่อยๆ
คนที่คอยเป่าหูชุยห้าวถิง เห็นทีจะต้องเป็นคุณชายหยวนซีแน่นอน
“เจ้าบ้านั่น ทำแผนของข้าพังหมดเลย” เมื่อเดินออกมาถึงประตูใหญ่ เฟิ่งชิงเฉินก็อดกลั้นไว้ไม่ไหว จึงเตะก้อนหินข้างเท้าของตัวเองไปไกลโด่ง จนหินก้อนนั้นไปปะทะกับกำแพง
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินไปแล้ว หยวนจี๋ คนคุ้มกันคนสนิทของชุยห้าวถิงก็ปรากฏตัวขึ้น “เรียนคุณชาย คุณชายสามได้กลับไปยังจวนตระกูลชุยแล้ว นายท่านมีคำสั่งว่าภายใน 3 เดือนนี้ให้คุณชายสามส่งมอบกิจการทั้งหมดที่ตนเองถือครองอยู่กลับคืนไปขอรับ”
คุณชายสามแห่งตระกูลชุยคือผู้ที่ส่งคนไปลอบฆ่าเฟิ่งชิงเฉิน ทำให้เฟิ่งชิงเฉินบาดเจ็บที่ลำคอ ชุยห้าวถิงได้เปิดเผยเรื่องนี้ให้เฟิ่งชิงเฉินพอทราบแล้วเล็กน้อย หลังจากนั้นคุณชายสามก็ถูกขับไล่ออกไปจากเมืองหลวงตงหลิง ตอนนี้กำลังถูกคนในตระกูลทำโทษ
“เฟิ่งชิงเฉินช่างเก่งกาจจริงๆ ไม่รู้ว่าฝีมือการรักษาของนางจะเก่งกาจเหมือนความปราดเปรื่องของนางหรือเปล่า” ชุยห้าวถิงไม่ได้สนใจปัญหาภายในตระกูลเลย เขากำลังจดจ่ออยู่กับเรื่องความอยู่รอดของตนเอง
“คุณชาย?” หยวนจี๋เงยหน้า แม้ว่าเขาจะพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ไม่อาจปิดบังความกังวลในใจได้
“หยวนจี๋ เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร? ข้าควรรับการรักษาดีหรือไม่” ชุยห้าวถิงหลับตาลง
ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา ชุยห้าวถิงต้องครุ่นคิดหลายเรื่อง คุณชายหยวนซีพูดถูก เรื่องนี้เขาไม่สมควรเสี่ยง แต่หยุนเซียวก็พูดถูกเช่นกัน หากไม่ลองเสี่ยงดูก็มีแต่ตายกับตายอย่างเดียว ตอนนี้ก็เหมือนเป็นการยืดเวลาตายออกไปชั่วคราวเท่านั้นเอง
เรื่องแบบนี้จะให้บ่าวเช่นเขาออกความเห็นได้อย่างไร หากพลั้งพลาดขึ้นมา ตระกูลชุยไม่ปล่อยเขาไว้แน่ หยวนจี๋จึงได้แต่ก้มหน้าและตอบกลับไปว่า “ไม่ว่าคุณชายจะตัดสินใจเช่นไร ข้าน้อยก็เชื่อมั่นในตัวของคุณชายเสมอ”
“ช่างเถอะ ออกไปได้แล้ว ข้าจะไตร่ตรองของข้าเอง” ชุยห้าวถิงถอนหายใจ
หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินกลับมาจากการเยี่ยมชุยห้าวถิงแล้วก็ยังพอมีแรงอยู่ นางไม่อยากโยนความกดดันทั้งหมดไว้ที่ชุยห้าวถิง นางจัดการกับสภาพอารมณ์แล้วเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะเดินทางต่อไปที่จวนหนิงกั๋วกง
อาการบาดเจ็บก็เพิ่งจะหายดี แถมยังเพิ่งได้กลับมาเมืองหลวง นี่นางจะออกไปตะลอนอีกแล้ว ความลำบากครั้งนี้ นางรู้ดีว่าเป็นการทำเพื่อเรื่องฮ่องเต้กับเสด็จอาเก้า นางจึงจำเป็นต้องลงทุนลงแรง มิฉะนั้นเสด็จอาเก้าก็จะไม่สามารถหันมาใส่ใจเรื่องการรับมือกับเผ่าเสวียนเซียวกง และนางก็จะเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้เช่นกัน
เนื่องจากเฟิ่งชิงเฉินเคยช่วยเหลือซื่อจื่อฮูหยินและลูกชายทั้งสองของนางไว้ ด้วยเหตุนี้เฟิ่งชิงเฉินจึงถือเป็นแขกคนสำคัญของจวนหนิงกั๋วกง โดยซื่อจื่อฮูหยินออกมารับรองเฟิ่งชิงเฉินด้วยตัวเอง
“แม่นางเฟิ่ง ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะ” หลังผ่านไปราวๆครึ่งปี สีหน้าของซื่อจื่อฮูหยินก็ดูดีขึ้นมาก แถมนางยังพูดคุยกับเฟิ่งชิงเฉินดีกว่าเมื่อครั้งก่อน
ต้องยอมรับว่าเฟิ่งชิงเฉินที่ตกเป็นเป้าสายตาใครต่อใครในอดีต มาวันนี้นางเป็นคนที่เสด็จอาเก้าให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ใครต่อใครจึงพากันเกรงใจเฟิ่งชิงเฉิน เว้นเสียแต่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นศัตรูของเสด็จอาเก้า
“ซื่อจื่อฮูหยินเกรงใจเกินไปแล้ว ชิงเฉินมาที่นี่เพื่อมาส่งบัตรเชิญน่ะค่ะ” การกระทำบางอย่าง หากเปิดเผยเจตจํานงมากไป จวนหนิงกั๋วกงต้องปฏิเสธแน่ ปล่อยให้เรื่องราวค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า หากเล่นงานฮ่องเต้ไม่ได้ อย่ามาเรียกนางว่าเป็นคนแซ่เฟิ่ง
“บัตรเชิญ? แม่นางเฟิ่งจะเชิญพวกเราไปชมหิมะ หรือว่าชมดอกไม้ล่ะ” เมื่อใกล้จะสิ้นปี คนตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงก็มีงานเลี้ยงไม่ขาดช่วง เหล่าฮูหยินและคุณหนูทั้งหลายต่างออกงานสังคมเป็นว่าเล่น เพื่อสานสัมพันธ์กับผู้คนและสร้างผลประโยชน์ให้ผู้เป็นสามี
เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในแต่ละปีเหล่าขุนนางจะมีการเลื่อนขั้น ผู้เป็นฮูหยินจะมัวอยู่นิ่งๆไม่ได้
หากเป็นก่อนหน้านี้ ซื่อจื่อฮูหยินคงไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องนี้ แต่เรื่องราวระหว่างเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินเริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ การที่ซื่อจื่อฮูหยินเอ่ยถามไปเช่นนั้นก็เพราะต้องการทราบว่าเฟิ่งชิงเฉินมาเชิญนางในฐานะนายหญิงของจวนอ๋องเก้าใช่หรือไม่
หลังจากที่มีการก่อตั้งจวนอ๋องเก้าขึ้นมา ก็ไม่เคยมีการเชื้อเชิญผู้ใดไปที่นั่น หากผู้ใดได้รับบัตรเชิญจากจวนอ๋องเก้า ก็เท่ากับว่าได้รับบัตรเชิญให้ไปงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่
เฟิ่งชิงเฉินอมยิ้ม นางล่วงรู้ความคิดของซื่อจื่อฮูหยินแล้ว ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าความเปิดเผยของซื่อจื่อฮูหยินแห่งจวนหนิงกั๋วกงช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก
รอยยิ้มของเฟิ่งชิงเฉินทำเอาซื่อจื่อฮูหยินทำตัวไม่ถูก จึงรีบเปิดบัตรเชิญเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึก เมื่อนางเปิดบัตรเชิญดูแล้วจึงเพิ่งเข้าใจว่าเรื่องไม่ได้เป็นดังเช่นที่นางคิด นางจึงหน้าแดงเล็กน้อย “แม่นางเฟิ่ง ข้าต้องขออภัยจริงๆ แม่นางเฟิ่งวางใจเถิด ข้าจะไปร่วมงานแน่นอน”
เฟิ่งชิงเฉินใช้เรื่องที่นางจะย้ายกลับจวนเฟิ่งเป็นเหตุผลในการมาเยือนจวนหนิงกั๋วกง เพื่อหาทางเข้าใกล้ซื่อจื่อฮูหยินโดยการมอบบัตรเชิญไปให้
นี่เป็นข้ออ้างเดียวและข้ออ้างที่ดีที่สุดที่เฟิ่งชิงเฉินพอจะนึกออก จวนเฟิ่งถูกไฟไหม้ทั้งหลัง จนถึงตอนนี้ก็ยังหาตัวคนร้ายไม่พบ ตอนนี้จวนเฟิ่งสร้างใหม่เสร็จแล้ว และนางกำลังจะย้ายกลับไป แน่นอนว่าย่อมต้องบอกกล่าวให้ใครต่อใครได้รับรู้ ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการป่าวประกาศให้ผู้ลงมือก่อเหตุได้รู้ว่า จวนเฟิ่งจะเป็นของคนที่ชื่อเฟิ่งชิงเฉินตลอดไป เหตุการณ์เพลิงไหม้ในครานี้ จะยิ่งทำให้จวนเฟิ่งแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
“ชิงเฉินขอขอบคุณซื่อจื่อฮูหยินมากนะคะ” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวขอบคุณจากใจจริง ด้วยสถานะของจวนหนิงกั๋วกง เพียงส่งมามาที่วางตัวดีหน่อยเป็นตัวแทนไปร่วมงานก็ถือเป็นการให้เกียรติเจ้าภาพแล้ว แต่นี่ซื่อจื่อฮูหยินจะไปเยือนด้วยตัวเอง ถือเป็นการให้เกียรติเฟิ่งชิงเฉินอย่างมาก
เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ เฟิ่งชิงเฉินจึงอาสาตรวจชีพจรเพื่อวินิจฉัยสภาพร่างกายให้ซื่อจื่อฮูหยิน ซึ่งซื่อจื่อฮูหยินก็ตอบรับด้วยความยินดียิ่ง
ช่วงนี้สุขภาพของนางไม่ค่อยสดชื่นนัก แต่ถ้าหากจะให้หมอมาช่วยดูอาการด้านนี้บ่อยๆก็คงจะไม่ดี ไม่ใช่ว่านางไม่เคยนึกถึงเฟิ่งชิงเฉิน แต่เป็นเพราะว่าที่ผ่านมาเฟิ่งชิงเฉินงานยุ่ง แถมสถานะของเฟิ่งชิงเฉินในตอนนี้ก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว จะให้นางกล้าไปรบกวนเฟิ่งชิงเฉินให้มาตรวจร่างกายนางได้อย่างไร
คนทั้งสองเดินเข้ามาในห้อง เฟิ่งชิงเฉินเปิดกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะขึ้นมา ไม่ใช่ว่านางไม่อยากตรวจชีพจร แต่ผู้หญิงหลังคลอดที่ไม่กล้าตามหมอมาช่วยดูอาการต้องพบหมอนรีเวช ซึ่งโรคทางนรีเวชมักไม่ใช้วิธีตรวจชีพจร แต่อาศัยการตรวจสอบใต้ร่มผ้า
นางไม่กล้าให้ซื่อจื่อฮูหยินถอดเสื้อผ้าออกจนหมดให้นางดู นางจึงต้องใช้กระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะเข้ามาช่วย แล้วเสริมด้วยการถามไถ่อาการ
อาการทางนรีเวชของซื่อจื่อฮูหยินรุนแรงเหมือนที่เฟิ่งชิงเฉินคาดการณ์ไว้ เฟิ่งชิงเฉินหันไปมองกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ แล้วซักไซ้อาการของนางต่อ
เป็นไปตามการคาดการณ์ของเฟิ่งชิงเฉิน อวัยวะส่วนล่างของซื่อจื่อฮูหยินระคายเคือง มีน้ำเหลืองและสิ่งแปลกปลอม หลังรอบเดือนหมดก็ยังมีคราบสกปรกอยู่หลายวัน ร่างกายไม่สดชื่น จุดซ่อนเร้นมีกลิ่นรุนแรง เวลาร่วมรักก็มักจะปวดอวัยวะสำคัญอยู่เสมอ
ซื่อจื่อฮูหยินไม่เหมือนฮูหยินคนอื่นๆที่จัดหานางเล็กๆมาให้กับสามี หนิงกั๋วกงซื่อจื่อจึงมีฮูหยินเพียงคนเดียว และไม่เคยไปหลับนอนกับพวกสาวใช้เลย
ด้วยเหตุนี้ความทุกข์ทรมานจึงมาตกที่ท่านซื่อจื่อ ที่ทุกวันจะต้องสวมกอดภรรยาแสนสวยแต่ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก ซื่อจื่อฮูหยินก็เจ็บปวดตามร่างกาย กลิ่นแปลกปลอมที่ออกมาจากเรือนร่างต่อให้วางกำยานไว้ในห้องมากแค่ไหนก็แทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย แล้วนางจะกล้าให้ท่านซื่อจื่อเข้าใกล้นางได้อย่างไร นางกลัวว่าเขาจะรังเกียจนางยิ่งนัก การมาเยือนของเฟิ่งชิงเฉินในวันนี้จึงเปรียบเสมือนแสงสว่างอันเรืองรอง
“ฮูหยินคะ ท่านต้องหลีกเลี่ยงการใช้กำยานหน่อยนะคะ แล้วก็พวกชุดชั้นในที่แนบเนื้อ ขอให้หาแบบโปร่งๆมาสวมใส่จะดีมาก กำยานไม่ดีต่อร่างกาย เดี๋ยวข้าจะจัดยาให้ท่าน ท่านช่วยส่งคนตามไปรับยาที่จวนข้าด้วยนะคะ ใช้ยานี้ล้างเพียงไม่กี่วันก็จะดีขึ้นค่ะ” จากนั้นเฟิ่งชิงเฉินก็จดข้อควรปฏิบัติและสิ่งที่ควรรับประทานให้มากหน่อย
“ล้าง?” ซื่อจื่อฮูหยินทำสีหน้าสงสัย ยาไม่ได้เอาไว้ทานหรอกหรือ?
“กับโรคพวกนี้ทานยายิ่งน้อยยิ่งดีค่ะ ยาที่ข้าเตรียมให้ฮูหยินเป็นยาเอาไว้ชำระล้าง ให้ฮูหยินลองใช้ไปก่อน หากยังไม่เห็นผลเดี๋ยวข้าจะจัดยาตัวใหม่ให้ หากฮูหยินไม่ดูแลร่างกายก็อาจจะตั้งครรภ์ลำบาก เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้ท่านทานยาที่ช่วยเรื่องการตั้งครรภ์ ผลลัพธ์ก็อาจจะไม่ดีเท่าที่ควรนะคะ” เฟิ่งชิงเฉินเปิดเผยจุดประสงค์ของการมาเยือนในวันนี้ได้อย่างแนบเนียน
นางมียาที่ช่วยเรื่องการตั้งครรภ์อยู่ในมือ นางไม่เชื่อหรอกว่ายาชนิดนี้จะดึงดูดความสนใจจากผู้หญิงไม่ได้
ก็ฮ่องเต้ยังใช้แม่ของเสด็จอาเก้ามาข่มขู่เสด็จอาเก้าเลยนี่นา เช่นนั้นนางก็จะใช้ผู้หญิงมาทำให้ฮ่องเต้ต้องคลุ้มคลั่ง
ซื่อจื่อฮูหยินดวงตาเป็นประกาย นางรีบลุกขึ้นมากุมมือเฟิ่งชิงเฉิน “แม่นางเฟิ่ง นี่เจ้าหมายความว่ามีวิธีที่จะช่วยให้ตั้งครรภ์เร็วขึ้นใช่หรือไม่?”
หากมีหนทางเป็นไปได้ หญิงสาวที่จวนหนิงกั๋วกงเคยส่งเข้าวังไปก่อนหน้านี้ก็จะสามารถตั้งครรภ์ก่อนคนอื่นๆได้สินะ ไม่แน่ว่าจวนหนิงกั๋วกงของพวกเขาอาจจะได้เป็นดองกับเหล่าองค์ชายก็เป็นได้……