นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 615 สารเลว เราจะเห็นดีกัน
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 615 สารเลว เราจะเห็นดีกัน
เรื่องเร่งด่วน?
ประชาชนในราชวงศ์ตงหลิงใช้ชีวิตอย่างสงบสุข นอกเสียจากสงครามเล็กน้อยที่เขตชายแดนแล้วไม่มีเหตุการณ์ทางทหารใดฉุกเฉิน ไม่จำเป็นต้องมีรายงานเร่งด่วนเช่นนี้เกิดขึ้น
จู่ๆ ในเวลานี้ก็มีรายงานเร่งด่วนเข้ามา คาดว่าคงจะเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน ขันทีใหญ่ไม่กล้าละเลยและไม่สนใจกับการจัดการผู้ที่อยู่ในตำหนักนั้น เขารีบวิ่งเข้าไปแล้วรับรายงานด่วนจากมือของขันทีผู้น้อย เมื่อเปิดอ่านดูสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เขารีบหันหลังกลับไปทางองค์จักรพรรดิโดยไม่กล่าวสิ่งใดออกมา
ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเรื่องนี้ทำให้สาธารณชนแตกตื่นและโมโหเพียงใด แต่เรื่องนี้ในฐานะคนสนิทขององค์จักรพรรดิเขารู้ดีว่าสถานการณ์เหล่านี้หมายถึงองค์จักรพรรดิกำลังพบกับสิ่งใด
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ มีรายงานด่วน!” ขันทีดูรีบเร่งดุจดั่งบิดาของเขาเสียชีวิตอย่างไร มือทั้งสองข้างถือรายงานแล้วล้มลุกคลุกคลานมาอยู่ตรงหน้าขององค์จักรพรรดิ
“เหตุใดจึงรีบร้อนตื่นตระหนกเช่นนั้น นำมันมาให้ข้าอ่าน” องค์จักรพรรดิตำหนิออกมา แม้ว่าใบหน้าของเขาจะไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ทว่าหูของเขาขยับเขยื้อนเล็กน้อย
ในเวลานี้ มีรายงานด่วนแปดร้อยลี้จะเป็นเรื่องใด? หรือที่หนานหลิงจะเกิดการต่อสู้ขึ้นอีกแล้ว ก็ไม่น่าใช่ เนื่องจากที่หนานหลิงไม่มีหนานหลิงจิ่นฝานผู้ชื่นชอบการทำสงครามอยู่ที่นั่น ราชวงศ์หนานหลิงคงไม่กล้าพอที่จะส่งทหารมาต่อสู้
“เชิญฝ่าบาททรงอ่านดูพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีผู้นั้นรีบลุกขึ้นจากพื้นแล้วกางรายงานออก สีหน้าขององค์จักรพรรดิมืดมนลงทันใด สีหน้าของเขาดูโมโหยิ่งกว่าตอนที่รู้เรื่องเฟิ่งชิงเฉินสวมใส่ปิ่นเฟิ่งอันที่จักรพรรดิองค์ก่อนประทานให้เสียอีก
ให้ตายสิ!
เขาปานซาน หลีซาน เซียวน คุนซาน ซงซานระเบิดอะไรกัน? สวรรค์เบื้องบนไม่พึงพอใจงั้นหรือ ก็เพียงแค่เรื่องที่เสแสร้งแกล้งทำขึ้น มิน่าเล่า เช้าวันนี้ที่ข้าจับเจ้าเข้าคุก แต่เจ้ากลับไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย นั่นเป็นเพราะเจ้าได้วางแผนเอาไว้แล้วนี่เอง น้องเก้าของข้า วิธีจัดการของเจ้าดียิ่งนัก กลยุทธ์มากมายเหลือเกิน ข้าอยากรู้เสียจริงว่าเจ้าทำได้อย่างไร!”
“ตุ้บ!” องค์จักรพรรดิต่อยหมัดลงไปที่โต๊ะ ทำให้อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะสั่นคลอน เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากมือของเขาเป็นทาง ขันทีตกใจเสียจนไม่กล้าหายใจ เกรงว่าองค์จักรพรรดิจะโมโหและสั่งประหารชีวิตตน
“ตงหลิงจิ่ว เจ้าโหดเหี้ยมโหด เหี้ยมยิ่งนัก! ข้าไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน และจะไม่ยินยอมเพียงเท่านี้เราจะได้เห็นดีกัน”
“โครม……” รายงานด่วนที่ใช้แผ่นไม้เป็นปก ถูกองค์จักรพรรดิทุบจนแตกสลาย บัดนี้ขันทีใหญ่ดุจดังใบไม้ในสายลมที่แกว่งไปมา ในที่สุดเขาก็ไม่อาจทรงตัวได้ “ฝ่าบาท ใจเย็นๆ ทรงสงบลงก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“สงบงั้นหรือ? จะให้ข้าสงบลงได้อย่างไร รังแกกันเกินไปแล้ว ตงหลิงจิ่วและมารดาของเขารังแกข้าเกินไปแล้ว อย่าลืมไปว่าข้าจึงจะเป็นจักรพรรดิ ข้าเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!”
“เขากล้าได้อย่างไร กล้าได้อย่างไร……”
หลังจากที่องค์จักรพรรดิกล่าวจบก็เอนกายลงไปบนเก้าอี้มังกร ใบหน้าหมดเรี่ยวหมดแรง เขาดูชราลงไปนับสิบปี ไม่มีความเย่อหยิ่งและยิ่งใหญ่ดุจดาบอันแหลมคมอันกระตือรือร้นเหมือนเมื่อตอนกลางวัน
สิ่งที่เกิดขึ้นกับภูเขาเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้คนสั่นคลอนอีกทั้งยังทำลายสถานที่ซึ่งเขาจะใช้สอยในอีกร้อยปีข้างหน้าจนสิ้น จะให้องค์จักรพรรดิยอมรับเรื่องนี้ได้อย่างไร
หากว่าเป็นเพียงภูเขาลูกหนึ่งเขายังคงพอจะปลอบใจตนเองว่าเป็นเรื่องบังเอิญได้ แต่ภูเขาเหล่านี้ระเบิดขึ้นพร้อมกันในเวลาเดียว จะให้เขากล่าวว่าเป็นเรื่องบังเอิญได้อีกหรือ เห็นได้ชัดว่าเป็นการยั่วยุจากตงหลิงจิ่ว
ขันทีใหญ่ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมา เขาคุกเข่าลงบนพื้นไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เขาใช้เวลาวิ่งไปมาอยู่ถึงสองชั่วโมง ขาของขันทีรู้สึกชาจนแทบไม่มีความรู้สึก เขาไม่อาจทรงตัวได้อีกต่อไป จึงทรุดตัวลงนั่งที่พื้นรอให้องค์จักรพรรดิระงับความโกรธลง
ภายในห้องโถงช่างมืดมิด หากไม่มีคำสั่งจากองค์จักรพรรดิ นางในทั้งหลายก็ไม่กล้าถือตะเกียงเดินตรงเข้ามาจุด ท่ามกลางความมืดนั้นไม่มีผู้ใดมองเห็นใบหน้าขององค์จักรพรรดิ แต่ลมหายใจอันเหนื่อยหอบของเขา เดาได้ว่าองค์จักรพรรดิกำลังโกรธยิ่งนัก
ในขณะที่ขันทีคิดว่าองค์จักรพรรดิจะนั่งอยู่เช่นนั้นตลอดไป เขาเองจึงตั้งใจว่าจะอยู่เป็นเพื่อนองค์จักรพรรดิที่นี่ ในที่สุดองค์จักรพรรดิก็ได้เอ่ยปากกล่าวว่า “จงส่งคนไปตรวจสอบดู เหตุใดภูเขาเหล่านี้จึงระเบิดในเวลาใกล้เคียงกันได้ และส่งคนไปจับตามองที่จวนเจิ้นกั๋วกง”
จากน้ำเสียงนั้นฟังไม่ออกถึงความแปลกผิดปกติไปแต่อย่างใด ดูเหมือนว่าผู้ที่เพิ่งเสียสติเมื่อครู่ไม่ใช่เขา ในที่สุดองค์จักรพรรดิก็ฟื้นคืนจิตวิญญาณของเขาขึ้น
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” ขันทีลุกขึ้นด้วยท่าทางโอนเอน ก่อนจะก้าวขาออกไปด้วยความระมัดระวังแม้ขายังหนักอึ้ง ความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเขาพยายามพยุงตัวเองเดินออกไปข้างนอก เมื่อเดินออกไปจากพระราชวังแล้วในที่สุดเขาก็ไม่อาจอดทนได้และ ทรุดเข่าลงไปที่พื้น
ขันทีผู้น้อยคนหนึ่งเห็นดังนั้นจึงได้รีบเข้าไปพยุงเอาไว้ ต้องการที่จะช่วยเขานวดขาสักหน่อย แต่กลับถูกปฏิเสธ ขันทีใหญ่ได้รับการพยุงจากขันทีผู้น้อยและเดินทางไปทำตามคำสั่งขององค์จักรพรรดิอย่างเด็ดขาด
ที่จวนเจิ้นกั๋วกงนั้น เนื่องจากความล้มเหลวของหลีเสี่ยงจึงทำให้ถูกองค์จักรพรรดิรังเกียจ ประกอบกับก่อนหน้าถูกตี๋ตงหมิงค้นพบเรื่องของทหารที่สิ้นใจ จึงทำให้ลำบากยิ่งกว่าเดิม ช่วงนี้คนจากจวนเจิ้นกั๋วกงจึงได้แต่เก็บหางของตนเอาไว้ บัดนี้มองดูพวกเขาคาดว่าจะโชคร้ายอีกแล้ว
ในเวลาเดียวกันภูเขาทั้งห้าก็ระเบิดขึ้น อีกทั้งสร้างภาพลวงตานี้ขึ้นมา องค์จักรพรรดิคิดไม่ถึงจริงๆ ว่านอกจากระเบิดเทียนเหล่ยแล้วยังมีสิ่งใดที่สามารถทำได้อีก
หากเป็นระเบิดเทียนเหล่ยล่ะก็ ใครบอกเขาได้ว่าระเบิดในมือของเสด็จอาเก้าได้มาจากที่ใด
“น้องเก้า เจ้าแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ยิ่งนัก ข้าไม่อาจวางใจได้เลย หากไม่กำจัดเจ้าไปเสียแล้วโอรสของข้าจะนั่งอยู่ในตำแหน่งจักรพรรดิได้อย่างไร?” องค์จักรพรรดิก้มหน้าลงแล้วมองไปยังมือทั้งสองข้างของตนเองด้วยความมืดมิด
มือทั้งสองข้างของเขานี้เต็มไปด้วยเลือดของญาติสนิทมิตรสหาย และขาไม่รังเกียจหากว่าจะเพิ่มขึ้นอีกสักคน
“ตงหลิงจิ่ว โอรสคนที่ก้าวของจักรพรรดิพระองค์ก่อนแห่งราชวงศ์ตงหลิง เจ้าสมควรตายไปตั้งนานแล้ว!”
องค์จักรพรรดิประทับอยู่อย่างเงียบๆ ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง จนกระทั่งพบว่าไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดแล้วเขาจึงลุกขึ้นยืนไม่สนใจต่อการชักชวนของคนในวัง เขาไม่ได้รับประทานมือค่ำ แต่เดินไปที่พระราชวังซึ่งองค์จักรพรรดินีประทับอยู่
องค์จักรพรรดิประทับอยู่ในพระราชวังของจักรพรรดินีทั้งคืน ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองกล่าวสิ่งใดกัน รู้เพียงแค่ว่าดูเหมือนคำสั่งกักบริเวณของจักรพรรดินีจะถูกยกเลิกแล้ว แม้ว่านางสนมแห่งวังหลังไม่จำเป็นต้องเดินทางไปคารวะองค์จักรพรรดินี แต่พระราชวังขององค์จักรพรรดินีก็ไม่ได้ถูกปิดแน่นเช่นเดิมอีกต่อไป
เรื่องนี้เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ รวมถึงเรื่องการระเบิดของภูเขาทั้งห้า เฟิ่งชิงเฉินก็ยังไม่ได้รับรู้ข่าวสารเช่นกัน องค์จักรพรรดิปิดเรื่องนี้เอาไว้อย่างแน่นหนา เขากำชับไม่ให้เรื่องนี้เผยแพร่ออกไป เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวลกลัวและเอ่ยโทษมากกว่าเดิม
การเกิดฟ้าร้องขึ้นในฤดูหนาว กล่าวว่าเบื้องบนไม่พึงพอใจต่อองค์จักรพรรดิ ดังนั้นเรื่องนี้องค์จักรพรรดิคงไม่กล่าวออกไปอย่างแน่นอน เช้าวันต่อมาในการประชุมราชวงศ์เช้า องค์จักรพรรดิได้เรียกประชุมขุนนางคนสนิทมาสนทนากัน
ส่วนเรื่องการระเบิดสุสานของจักรพรรดิ องค์จักรพรรดิทำได้เพียงกัดฟันกลืนเลือดของตนลงไป เรื่องนี้ผู้ที่รู้มีไม่มาก สุสานจักรพรรดิที่เขาสร้างขึ้น หาได้เกี่ยวข้องกับภูเขาเหล่านี้ หากเขากล่าวออกมาก็จะเป็นการบ่งบอกว่าเขาไร้ความสามารถ ไม่อาจปิดข่าวเอาไว้ได้
ขุนนางที่องค์จักรพรรดิใช้ นอกจากตระกูลที่เป็นโหวแล้ว ล้วนเป็นขุนนางที่ยากจน บุคคลเหล่านี้ให้ความเคารพภักดีต่อองค์จักรพรรดิ เนื่องจากความมั่งคั่งของพวกเขาอยู่ในกำมือของพระองค์
องค์จักรพรรดิได้เรียกกั๋วกงทั้งสามเดินทางมา แต่ว่าเจิ้นกั๋วกงเมื่อเห็นกั๋วกงอีกทั้งสามเดินตรงเข้ามาอยู่ในห้องโถงเขาก็ยืนอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง ใบหน้าอันมันเยิ้มเต็มด้วยความหวาดกลัวและวิตกกังวล แต่เขากลับไม่รู้เรื่องว่าเกิดสิ่งใดขึ้น จึงทำได้เพียงเดินทางออกจากวัง ไปหารือกับที่ปรึกษา
เมื่อเดินทางออกจากพระราชวังก็ได้กำชับให้สารถีที่เร่งรีบขึ้นกว่าเดิม
“เร็วเข้า เจ้าชักช้าเช่นนี้กินข้าวไม่อิ่มหรืออย่างไร?”
“ข้าสั่งให้เจ้าเร็วกว่านี้ได้ยินหรือไม่!”
รถม้ามุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วดุจดั่งมีปีกบิน จิตใจของเจิ้นกั๋วกงรู้สึกกระสับกระส่ายยิ่งนัก อีกทั้งยังไม่พึงพอใจสารถีที่ไม่กล้ากล่าวสิ่งใดมากความ เขาทำได้เพียงโบกสะบัดแส้อย่างสุดกำลัง ผลที่ตามมาคือม้าวิ่งเร็วจนเกินไป จนทำให้เขาไม่อาจควบคุมรถเอาไว้ได้ เมื่อรถม้าเลี้ยวเข้าตรอกซอย รถม้าจึงไม่อาจควบคุมได้ แม้จะพยายามแก้ไขแต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง “อ๊าก……ระวัง หลีกไป หลีกทาง……!”
“โครม!” เสียงรถมากระแทกเข้าอย่างแรง ม้าสองตัวชนกันและล้มลง โชคดีที่คนขับของทั้งสองฝ่ายล้วนค่อนข้างกระตือรือร้น ได้ตัดสายบังคับออกอย่างรวดเร็ว ดังนั้นรถม้าจึงไม่ได้พลิกคว่ำ
เพียงแต่ว่าคนที่อยู่ในรถม้าดูเหมือนไม่ค่อยดีเท่าไรนัก……