นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 621 ความร่วมมือ ทุกฝ่ายเคลื่อนไหวพร้อมเพรียงกัน
หลานจิ่วชิงเห็นซีหลิงเทียนเหล่ยมีท่าทางไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่ได้พูดเข้าทางของซีหลิงเทียนเหล่ย คนอย่างซีหลิงเทียนเหล่ยเป็นคนหวาดระแวง บางสิ่งบางอย่างหากพูดอย่างมั่นอกมั่นใจมากเกินไป ซีหลิงเทียนเหล่ยไม่มีทางกล้าปักใจเชื่อได้ง่ายๆ
หลานจิ่วชิงกล่าวว่า “จะเป็นเผ่าเสวียนเซียวกงหรือไม่นั้นข้าก็ยังไม่เชื่อมั่น แต่เรื่องนี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าเสวียนเซียวกงแน่นอน เมื่อ 1 ปีก่อน มีชายปริศนามาหาข้าพร้อมเสนอทองคำ 1 แสนตำลึงมาให้ข้า โดยบอกให้ข้าไปขโมยแผนที่มาจากองค์รัชทายาทเหล่ยให้ได้ เมื่อทำสำเร็จแล้วจะมอบทองคำให้ข้าอีก 1 แสนตำลึง”
“หลานจิ่วชิงเป็นชาวยุทธจักร ย่อมต้องทำตามธรรมเนียมยุทธจักร เมื่อรับทองคำ 1 แสนตำลึงมาแล้ว ก็สะกดรอยตามองค์รัชทายาทเหล่ยมาตลอด เพื่อจะหาโอกาสขโมยแผนที่ หลังจากได้แผนที่มาแล้ว ข้าก็นำไปมอบให้กับชายปริศนา แต่เขากลับคิดจะฆ่าปิดปากข้า”
“หลังจากที่ข้าหนีเอาตัวรอดมาได้ ก็ไปตามสืบข้อมูลของชายปริศนา และข้าก็ได้ทราบมาว่าผู้นำเผ่าเสวียนเซียวกงมีแผนที่ขุมทรัพย์ของราชวงศ์ในอดีต แผนที่ขุมทรัพย์นั่นจะเป็นขององค์รัชทายาทเหล่ยหรือไม่นั้น ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ภายในยุทธจักรแห่งนี้ คนที่จะสังหารข้าได้มีไม่มากนักหรอก” คำพูดโกหกที่สุดแสนจะเหมือนจริง แต่จะจริงหรือเท็จไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือการที่เผ่าเสวียนเซียวกงมีแผนที่จิ่วโจว หลานจิ่วชิงเชื่อว่าสิ่งๆนี้จะสามารถทำให้ซีหลิงเทียนเหล่ยร่วมมือกับเขาได้
“แค่ข้อมูลเพียงน้อยนิด เจ้าก็คิดว่าเป็นฝีมือของเผ่าเสวียนเซียวกง จนต้องหาทางล้างแค้นเผ่าเสวียนเซียวกงอย่างนั้นหรือ?” คำพูดของหลานจิ่วชิง ซีหลิงเทียนเหล่ยไม่ปักใจเชื่อทั้งหมด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาเองก็เริ่มจะหวั่นไหว แผนที่ขุมทรัพย์ของราชวงศ์ในอดีตสำคัญมากเพียงไร ไม่มีใครจะรู้ดีมากไปกว่าเขาแล้ว
“ก็เพราะเหตุนี้ ข้าจึงบอกไปว่าข้ายังไม่เชื่อมั่น แต่เผ่าเสวียนเซียวกงน่าสงสัยมากที่สุด ถึงกับกล้าดีมาทำร้ายข้า ข้าไม่มีทางปล่อยพวกนั้นไปแน่ แล้วอีกอย่างหนึ่ง ในตอนนี้เมื่อมีโอกาสดีอยู่ตรงหน้า ข้าก็จะไม่มีทางปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปแน่นอน” หลานจิ่วชิงแสดงความขึงขัง เพื่อให้ซีหลิงเทียนเหล่ยเชื่อว่าคนอย่างเขานอกจากผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ กับสิ่งที่ทำให้เขาสนใจได้ นอกเหนือจากนี้แล้วก็ไม่มีสิ่งใดสามารถออกคำสั่งกับเขาได้
เขาจะต้องล่วงรู้ระดับความสงสัยของซีหลิงเทียนเหล่ยให้ได้ เพราะเมื่อใดก็ตามที่ซีหลิงเทียนเหล่ยรู้ว่าเขามีความเกี่ยวโยงกับเสด็จอาเก้า ต่อให้มีผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่คับฟ้าเพียงใด ซีหลิงเทียนเหล่ยก็ไม่มีทางยอมให้ความร่วมมือกับเขาแน่นอน มิหนำซ้ำก็อาจทำให้ทุกอย่างพังทลายอีกด้วย
แต่ว่า หลานจิ่วชิงเชื่อว่าซีหลิงเทียนเหล่ยต้องเห็นชอบ หากเขาเป็นคนของเสด็จอาเก้าจริงๆ จะมาขอความร่วมมือกับซีหลิงเทียนเหล่ยเพื่ออะไร? ซีหลิงเทียนอวี่เหมาะสมกว่าเขาอีก
“เท่าที่ฟังมา ข้าว่านี่เป็นความแค้นส่วนตัวระหว่างเจ้ากับเผ่าเสวียนเซียวกงมากกว่า เกี่ยวอะไรกับข้าด้วยล่ะ” สิ่งที่ล่อตาล่อใจซีหลิงเทียนเหล่ยในตอนนี้ก็คือแผนที่ของเผ่าเสวียนเซียวกงฉบับนั้น แต่เขายังไม่ยอมปริปาก เขายังคงต้องการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคำพูดของหลานจิ่วชิง
หากข้อมูลเหล่านั้นเป็นจริง ให้เขาลองเสี่ยงดูสักตั้งคงจะดี หากเป็นดังที่หลานจิ่วชิงพูดมา การที่เขาจะลงมือในตอนนี้ก็จะได้ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก แค่ปล่อยให้หลานจิ่วชิงออกหน้าเท่านั้นเอง
หลานจิ่วชิงหยิบแก้วใบหนึ่งขึ้นมา แล้ววางมันลงหน้าซีหลิงเทียนเหล่ย “สถานที่ที่เผ่าเสวียนเซียวกงตั้งอยู่ในตอนนี้อยู่ใกล้กับซีหลิงมากที่สุด หากเนื้อที่ของดินแดนซีหลิงได้เข้าไปครอบครองพื้นที่ตรงส่วนนี้ ก็เท่ากับว่าองค์รัชทายาทเหล่ยได้สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่”
คำยั่วยุนี้ ต่อให้ต้องเสี่ยงแค่ไหน ซีหลิงเทียนเหล่ยก็ต้องมุมานะแย่งชิงมาให้ได้ สิ่งที่ล่อตาล่อใจชิ้นนี้ มีค่าพอๆกับแผนที่
แม้ว่าซีหลิงเทียนเหล่ยจะไม่เปิดเผยความรู้สึก แต่หลานจิ่วชิงก็ดูออกว่าซีหลิงเทียนเหล่ยเริ่มหวั่นไหวแล้ว หากได้เนื้อที่จากที่ตั้งของชนเผ่าเสวียนเซียวกง แผ่นดินซีหลิงก็จะมีพื้นที่หน้าด่านมากยิ่งขึ้น ซีหลิงเทียนเหล่ยเป็นคนทะเยอทะยาน จะไม่ให้หวั่นไหวได้อย่างไร
ซีหลิงเทียนเหล่ยหายใจแรงขึ้น แถมยังจ้องมองแก้วใบนั้นราวกับว่ามันคือที่ตั้งชนเผ่าเสวียนเซียวกง เขาหวั่นไหวแล้วจริงๆ แต่ไม่ต้องการให้หลานจิ่วชิงรู้ เขาจึงหันหน้าไปทางอื่นและเอ่ยว่า “มันเสี่ยงเกินไป”
“สิ่งใดที่เสี่ยงน้อยย่อมด้อยค่า หากไม่ชิงลงมือตอนนี้ซึ่งเป็นช่วงที่เผ่าเสวียนเซียวกงกำลังทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดไปกับการต่อกรกับเสด็จอาเก้า ความเสี่ยงจะมีมากกว่าเดิม หากองค์รัชทายาทเหล่ยมองว่าเรื่องนี้เสี่ยงเกินไป ก็ลองหาคนมาแบ่งเบาภาระงาน จิ่วชิงชื่นชมความมั่งมี และแสวงหาความมั่งมีอย่างมีเหตุมีผล หากทำลายเผ่าเสวียนเซียวกงได้สำเร็จ จิ่วชิงขอเพียงทองคำ 1 แสนตำลึงกับศีรษะของชายปริศนาผู้นั้น” หลานจิ่วชิงพูดเช่นนี้แล้ว ซีหลิงเทียนเหล่ยก็ยิ่งเชื่อมั่นว่าหลานจิ่วชิงเอาจริงเอาจังมาก
ซีหลิงเทียนเหล่ยมองว่าหลานจิ่วชิงเป็นคนที่รู้จักแยกแยะบุญคุณและความแค้น มีความเป็นชาวยุทธจักรสูง และพูดจามีเหตุมีผล เมื่อได้ฟังหลานจิ่วชิงพูดเช่นนี้แล้ว ซีหลิงเทียนเหล่ยก็ยิ่งมั่นใจในตัวคนที่เขาเลือกสรรไว้
หนานหลิงจิ่นฝาน องค์ชายสามแห่งหนานหลิง ตอนนี้กำลังขาดแคลนเงินอย่างหนัก หากเขามอบทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเผ่าเสวียนเซียวกงให้หนานหลิงจิ่นฝาน หนานหลิงจิ่นฝานจะต้องส่งกองกำลังมาด้วยความยินดีอย่างแน่นอน ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเผ่าเสวียนเซียวกงรวมๆแล้วก็ไม่ได้น้อยไปกว่าในพระราชวังเลย ต่อให้แบ่งทองคำ 1 แสนตำลึงไปให้หลานจิ่วชิงแล้ว ก็ยังเหลือทรัพย์สมบัติมากมายที่จะทำให้หนานหลิงจิ่นฝานช่วยทำศึกถึง 2 ครั้ง
ซีหลิงเทียนเหล่ยคำนวณผลประโยชน์และความสูญเสียอยู่ในใจ ผลลัพธ์ปรากฏว่าผลประโยชน์มีมากกว่าความสูญเสีย แต่การทำลายเผ่าเสวียนเซียวกงก็เท่ากับเป็นการขจัดปัญหาให้เสด็จอาเก้า
เขาไม่ยอมเด็ดขาด!
ซีหลิงเทียนเหล่ยไม่อยากช่วยกำจัดศัตรูให้เสด็จอาเก้า แต่ถ้าหากพลาดโอกาสนี้แล้ว ต่อไปคงหาโอกาสดีๆเช่นนี้ไม่ได้อีก
ซีหลิงเทียนเหล่ยกัดฟันครุ่นคิด จนกระทั่งตัดสินใจได้แล้ว แต่เขากลับตอบไปเพียงแค่ว่า “เรื่องนี้ ข้าคอเวลาใคร่ครวญก่อน” เขาจะไม่ยอมให้หลานจิ่วชิงมองว่าเขาเชื่ออย่างง่ายดาย
“ได้ 3 วัน จิ่วชิงจะรอองค์รัชทายาทเหล่ย 3 วัน เมื่อผ่านพ้น 3 วันไปแล้ว หากองค์รัชทายาทเหล่ยยังไม่มีคำตอบให้จิ่วชิง จิ่วชิงก็จะไปขอความร่วมมือจากผู้อื่น จิ่วชิงเชื่อว่าคงมีผู้สนใจอยู่ไม่น้อย” หลานจิ่วชิงยิ้มอย่างมีเลศนัย เขาลุกขึ้นยืนอย่างองอาจ แล้วกระโดดออกไปทางหน้าต่าง……
เมื่อองครักษ์ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็รีบวิ่งเข้ามา แต่กลับถูกซีหลิงเทียนเหล่ยห้ามไว้ “ปล่อยเขาไป!”
นี่คือความตั้งใจของซีหลิงเทียนเหล่ย ความร่วมมือครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว
หลานจิ่วชิงแสยะยิ้มอยู่ในมุมที่ลับตา เขาหันไปมองทางที่อยู่ของซีหลิงเทียนเหล่ย ก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้น
คล้อยหลังหลานจิ่วชิงไม่เกิน 5 วินาที ซีหลิงเทียนเหล่ยก็เดินตามออกมา แต่เขาไม่พบหลานจิ่วชิงแม้แต่เงา ได้แต่นึกด่าหลานจิ่วชิงจอมเจ้าเล่ห์อยู่ในใจแล้วจึงเดินกลับห้อง หลังจากนั้นก็เรียกมู่เหลียวมาหารือเรื่องเผ่าเสวียนเซียวกง
หลังจากที่หลานจิ่วชิงออกมาแล้ว เขาก็ไปเดินรอบเมือง 2-3 รอบ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดสะกดรอยตามมาแล้ว ก็มุ่งหน้าไปทางจวนซู
ในห้องลับของจวนซู ซูเหวินชิงกำลังสะสางรายงานลับ แม้จะเป็นฤดูหนาว แต่หน้าผากของเขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อ แม้หลานจิ่วชิงจะเดินเข้ามาแล้ว เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย
หลานจิ่วชิงกระแอมไอขึ้น 1 ครั้งจนซูเหวินชิงเงยหน้าขึ้นมามอง เขามีสีหน้าที่งุนงง เมื่อเห็นใบหน้าผู้มาเยือนชัดเจนแล้ว ก็ลุกจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว “จิ่วชิง เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
เนื่องจากลุกขึ้นเร็วเกินไป บวกกับการโหมงานหนักหามรุ่งหามค่ำ เมื่อซูเหวินชิงลุกขึ้นมาก็พลันหน้ามืดในทันที จนกระทั่งฟุบตัวลงกับโต๊ะ
ช่วงแรกๆ หลานจิ่วชิงก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก คนที่ตรากตรำทำงานมายาวนาน เมื่อลุกขึ้นเร็วย่อมหน้ามืดเป็นเรื่องปกติ ตัวเขาเองก็เป็นอยู่บ่อยๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักแล้วยังไม่เห็นซูเหวินชิงลุกขึ้นมา หลานจิ่วชิงจึงเริ่มเอะใจ เมื่อลองเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่ามีเลือดอยู่บนใบหน้าซูเหวินชิงที่สลบไปแล้ว……
ในเวลาเดียวกัน ที่จวนเจิ้นกั๋วกงได้มีคนในชุดดำแฝงตัวเข้าไปในห้องนอน เจิ้นกั๋วกงกำลังหลับสนิท คนในชุดดำเดินเข้าไปหาเขาแล้วทุบเขาไปหลายครั้ง
โอ๊ย……เจิ้นกั๋วกงลุกขึ้นนั่งพร้อมเบิกตาโพลง เขาอ้าปากค้าง แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา หลังจากนั้นเขาก็ล้มลงไปบนเตียงอีกครั้ง ในเวลานี้ หน้าอกของเขาไม่มีการพองยุบอีกต่อไป……