นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 624 การซื้อขายแลกเปลี่ยน ความคิดของผู้ชายยากแท้หยั่งถึง
เฟิ่งชิงเฉินถูกราชองครักษ์คุมตัวไปวังหลวง!
ภายในเช้าวันเดียวกัน ข่าวนี้ก็ถูกเล่าต่อกันปากต่อปาก จนแพร่สะพัดเป็นวงกว้าง คนที่ไม่รู้ไม่เห็นจึงพลอยรู้เห็นไปด้วย
หวังจิ่นหลิงเคาะโต๊ะเบาๆพร้อมกับหลับตาลง ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ริมฝีปากที่เม้มแน่น ก็พอจะทำให้ทราบได้ว่าเขารู้สึกเช่นไร
ช่วงนี้เขากำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดการเรื่องภายในตระกูลหวัง และยังมีเรื่องการร่วมมือระหว่างเขากับเสด็จอาเก้า จึงไม่ค่อยได้ติดตามสถานการณ์ทางฝั่งเฟิ่งชิงเฉิน นึกไม่ถึงเลยว่าการละเลยช่วงนี้ จะมีคนเอาไปสร้างให้เกิดประโยชน์ได้
การที่เขาใช้วิธีที่เด็ดขาดเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจตระกูลหวัง ก็เพื่อปกป้องชิงเฉินและตัวเอง แต่เขากลับละเลยนางเพราะมัวไปยุ่งเรื่องตระกูลหวังมากเกินไป
นี่ข้ากำลังทำอะไรอยู่?
หวังจิ่นหลิงถามตัวเอง!
การชนท่านกั๋วกงจนเขาเสียชีวิต หากไม่ใช่ญาติพี่น้องของเขาก็ต้องตายสถานเดียว จวนกั๋วกงไม่มีทางยอมความแน่ๆ ท่านกั๋วกงตายไปแล้ว ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินไม่ผิดก็ต้องผิด ฮ่องเต้ไม่มีทางปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปแน่นอน โอกาสที่จะทำให้เสด็จอาเก้ายอมก้มหัวอย่างว่าง่าย
ความรักอันทรงพลังเปรียบดั่งน้ำผึ้งและยาขม ยิ่งมอบความเปรมปรีดิ์ให้เท่าใด ก็มีความเสี่ยงตามมามากเท่านั้น
เมื่อชุยห้าวถิงทราบข่าวก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก วันนี้ครบ 3 วันพอดีที่ตกลงกับเฟิ่งชิงเฉินไว้ แต่เฟิ่งชิงเฉินดันมาถูกจับไปเสียก่อน เขาจะได้ไม่ต้องรีบร้อนให้คำตอบกับนาง
เพราะหากให้ยอมรับการรักษาที่ฟังดูเหลือเชื่อของนาง ไม่เพียงต้องใช้ความไว้วางใจ แต่ยังต้องใช้ความกล้าหาญอันยิ่งใหญ่อีกด้วย การที่เขาใช้ชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้ ต้องต่อสู้กับความเป็นความตายมาหลายครั้ง เขายังไม่อยากตาย เขากลัวตายเหลือเกิน
หยุนเซียวก็กำลังจะไปคุยเรื่องนี้กับเฟิ่งชิงเฉินที่เรือนเล็กซีชวีอยู่พอดี แต่ก็ไม่นึกว่ามันจะสายไปแล้ว เมื่อทราบข่าวเรื่องเฟิ่งชิงเฉินแล้ว เขาก็หน้าสลดในทันที
“ท่าทาง เฟิ่งชิงเฉินจะติดกับของศัตรูแล้วล่ะ หวังว่านางจะคิดหาทางออกได้ ข้าเองก็ช่วยนางไม่ได้ กลัวว่าจะทำให้เรื่องมันแย่ลงกว่าเดิม”
หยุนเซียวมองว่านี่เรียกว่าความซวย เขาไม่เคยพบเคยเห็นเรื่องชวนปวดหัวมากเช่นนี้มาก่อน ถึงเขาจะไม่อยากยอมรับแต่ก็ต้องยอมรับ ไม่เพียงแต่เฟิ่งชิงเฉินเท่านั้น ตัวเขาเองก็เคยตกเป็นเหยื่อของผู้อื่นมาก่อน
“ไปตามหมอที่ตรวจร่างกายให้ท่านกั๋วกงเมื่อวานนี้มาหน่อย แล้วก็นำตัวผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์มาด้วยล่ะ” ไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ เขาก็เริ่มรวบรวมพยานและหลักฐาน
เหตุการณ์เมื่อวานนี้เป็นเรื่องใหญ่ ผู้ที่รู้เห็นมีหลายคน และผู้ที่จ้องจะใช้เรื่องนี้ไปแสวงหาผลประโยชน์ก็มีอยู่ไม่น้อย แต่คนพวกนี้ไม่มีความสำคัญกับเขา เขาไม่สนว่าใครเป็นคนทำ เขารู้แต่เพียงว่าเรื่องนี้ทำให้เขาหม่นหมอง หากยังทำให้ความจริงกระจ่างไม่ได้ อย่าว่าแต่เฟิ่งชิงเฉินเลย แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่สบายใจ เรื่องราวหลังจากนี้ เขาจะเป็นคนจัดการเอง
เรื่องนี้เขาจะลุยด้วยตัวเอง ผู้ใดขัดขวางก็จะถือว่าตั้งตัวเป็นอริกับตระกูลหยุน!
ในช่วงฤดูหนาวที่สุดแสนจะหนาวเหน็บ การที่ต้องเดินทางไกลท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย ขนาดผู้ชายก็ยังทนไม่ไหว แล้วนับประสาอะไรกับผู้หญิง ราชองครักษ์หนาวจนจมูกแดง รองเท้าหุ้มข้อที่สวมใส่ก็เปียกชุ่ม เสื้อผ้าก็เปียกด้วยหิมะที่มาเกาะ ทำให้พวกเขาหนาวจนตัวสั่น ด้วยสภาพอากาศที่เลวร้าย คนที่ล้มแทนที่จะเป็นเฟิ่งชิงเฉิน กลับกลายเป็นว่าเป็นพวกเขาเสียเอง
ไม่รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินสวมใส่อะไรไว้ ดูเผินๆเหมือนนางไม่ได้สวมเสื้อผ้าหลายชั้น แต่นางดูเหมือนไม่หนาวเลย เสื้อผ้าก็ไม่เปียกจนแนบเนื้อ มิหนำซ้ำยังแห้งสนิทดี
รองเท้าหุ้มข้อที่นางสวมใส่มาก็เช่นกัน มันทำให้นางเดินได้อย่างไร้เสียง แถมยังแห้งสนิทอีกต่างหาก ใบหน้าของนางแดงระเรื่อราวกับผลแอปเปิลที่ชวนกิน บวกกับแววตาที่มาดมั่นของนาง ไม่มีร่องรอยความโหดร้ายแต่อย่างใด มีเพียงความเปล่งปลั่งเท่านั้น
เมื่อชำเลืองไปเห็นสายตาที่ราชองครักษ์แอบสังเกตนางอยู่ เฟิ่งชิงเฉินก็แอบแสยะยิ้ม และมีท่าทางมาดมั่นมากกว่าเดิม
เฟิ่งชิงเฉินโชคดีที่เมื่อคืนนี้นางเปลี่ยนเสื้อผ้าเอาไว้แล้ว มิฉะนั้นเมื่อราชองครักษ์บุกมาจับตัวนาง มีหรือจะให้เวลานางได้เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน คงจะปล่อยให้นางสวมเสื้อผ้าชั้นเดียวลุยฝ่าหิมะไป กว่าจะไปถึงที่หมายนางคงตายพอดี
“ไหนบอกว่าเฟิ่งชิงเฉินถูกลงโทษ นี่นางไม่เหมือนถูกราชองครักษ์คุมตัวไปขังเลย แต่ดูเหมือนมีราชองครักษ์คอยคุ้มกันระหว่างเดินทางมากกว่า ไหนล่ะ ไม่เห็นมีโซ่ตรวนเลยนี่นา?” ซีหลิงเทียนเหล่ย เย่เย่ หนานหลิงจิ่นฝาน ทั้งสามคนนั่งสังเกตการณ์ขบวนเฟิ่งชิงเฉินอยู่บนโรงน้ำชา ตอนแรกพวกเขาก็กะว่าจะมาดูสีหน้าเศร้าสลดของนางหน่อย ไม่นึกเลยว่า……
เฟิ่งชิงเฉินจะเดินอย่างองอาจ แถมยังปักปิ่นเฟิ่งอันแสนสะดุดตาไว้บนเส้นผมด้วย ช่างสะกดสายตาของผู้คนเหลือเกิน
“คนอย่างเฟิ่งชิงเฉินใช่ว่าจะเล่นงานได้ง่ายๆ ไม่ว่าข้าหรือเจ้าก็ยังทำอะไรนางไม่ได้เลย แล้วนั่นเป็นแค่ราชองครักษ์ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางหรอก” ไม่มีศัตรูที่นิรันดร์ ไม่มีมิตรภาพที่ยั่งยืน ก่อนหน้านี้หนานหลิงจิ่นฝานเคยฉีกหน้าซีหลิงเทียนเหล่ยกลางงานเลี้ยงมาก่อน แต่เนื่องจากประเด็นทางผลประโยชน์ ทำให้สองคนนี้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
“เล่นงานยากแล้วอย่างไรล่ะ ตอนนี้ถือว่าสวรรค์เปิดทางให้เราแล้ว การตายของกั๋วกงนำความเดือดร้อนมาให้เฟิ่งชิงเฉิน เสด็จอาเก้าก็ยังอยู่ในคุก จะให้มาช่วยนางก็ไม่ได้” เย่เย่กำถ้วยน้ำชาไว้ในมือ สายตาของเขาดูร้ายกาจ
ร่องรอยบนใบหน้าของซูหว่าน ผ่านมาหลายวันแล้วก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นเลย จะให้เขาเริงรื่นได้อย่างไร
แต่ซีหลิงเทียนเหล่ยกลับไม่คิดเช่นนั้น “อย่าลืมสิ ยังมีผู้นำตระกูลหวังอย่างหวังจิ่นหลิงอยู่อีกคน ตอนนี้หวังจิ่นหลิงกำลังมีอำนาจอย่างล้นมือ มีมากกว่าผู้นำตระกูลคนก่อนๆ ย่อมปกป้องเฟิ่งชิงเฉินได้อย่างไร้ปัญหา”
“อย่ามองว่าตระกูลหวังวิเศษวิโสนัก หวังจิ่นหลิงทะนงตนเกินไป อำนาจในมือยังไม่มั่นคงเท่าไรเลย ปัญหาในตระกูลก็มีไม่ว่างเว้น หากพวกเราลงมืออย่างลับๆ หวังจิ่นหลิงอาจไม่ทันได้ตั้งตัว” หนานหลิงจิ่นฝานเริ่มวางแผน หากหวังจิ่นหลิงไม่ใช่ผู้นำตระกูลอีกต่อไป การลงทุนของพวกเขาในคราวนี้อาจจะได้รับการยอมรับจากตระกูลหวังก็เป็นได้
ขอเพียงคนตระกูลหวังยอมรับ เขาก็จะได้รับชัยชนะโดยไม่ต้องทุ่มเทอะไรมาก แม้แต่ฮ่องเต้แห่งหนานหลิงซึ่งเป็นเสด็จพ่อของเขา ก็ต้องสละราชบัลลังก์ให้กับเขา
“เจ้าคิดจะไปก้าวก่ายเรื่องภายในตระกูลหวัง เจ้าไม่กลัวตระกูลหวังแว้งกัดเจ้าหรอกหรือ?” ตระกูลหวังเป็นตระกูลเก่าแก่ ไม่ว่าศึกภายในจะดุเดือดแค่ไหน หากมีคนนอกยื่นมือเข้าไปยุ่ง พวกเขาก็จะต่อต้านคนนอกในทันที นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ตระกูลนี้ยังไม่พังพินาศ
“สมาชิกตระกูลหวังก็เป็นคนตระกูลหวัง จะเรียกว่าก้าวก่ายได้อย่างไร หากสมาชิกตระกูลหวังมองว่าหวังจิ่นหลิงยังอายุน้อยอยู่ และผู้อาวุโสมีความเหมาะสมกับการเป็นผู้นำตัวจริงมากกว่า”
หนานหลิงจิ่นฝานพูดอย่างสง่าผ่าเผย ความทะเยอทะยานในใจเขาไม่อาจจะกลบเกลื่อนได้เลย เมื่อเห็นซีหลิงเทียนเหล่ยยังคงลังเลอยู่ หนานหลิงจิ่นฝานก็โยนเหยื่อตกปลาลงไปล่ออีก 1 ตัว “รัชทายาทเหล่ย เรื่องนี้เอาตามนี้ดีไหม เมื่อเราไปเล่นงานเผ่าเสวียนเซียวกงก็จะได้มีแรงหนุนมากขึ้น ข้าจำได้ว่าตระกูลหวังก็มีความขุ่นเคืองต่อเผ่าเสวียนเซียวกงเช่นกัน หากให้ผู้อาวุโสตระกูลหวังได้กลับมากุมอำนาจอีกครั้ง แล้วยุยงให้พวกเขาไปกำจัดชนเผ่าเสวียนเซียวกง ข้าว่าคงไม่ใช่เรื่องยาก”
ความหมายของคำพูดประโยคนี้ก็คือ เขาตกลงที่จะร่วมมือกับซีหลิงเทียนเหล่ยในการปราบปรามชนเผ่าเสวียนเซียวกง แต่จะต้องดึงตระกูลหวังมาเป็นพวก นี่คือข้อแลกเปลี่ยนของเขา
หนานหลิงจิ่นฝานต้องการสิ่งใด มีหรือที่ซีหลิงเทียนเหล่ยจะไม่รู้ ซีหลิงเทียนเหล่ยมองหนานหลิงจิ่นฝานพลางยิ้มอย่างมีปริศนา “องค์ชายสาม เจ้าไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องการมากเกินไปหรอกหรือ”
พูดง่ายๆก็คือ เจ้าไม่คู่ควรกับผลตอบแทนอันล้ำค่าเช่นนี้!
การช่วยหนานหลิงจิ่นฝานจัดการเรื่องตระกูลหวัง แถมยังต้องแบ่งทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งของเผ่าเสวียนเซียวกงให้เขาอีก เขาคิดว่าซีหลิงเทียนเหล่ยโง่นักหรืออย่างไร ที่จะยอมให้หนานหลิงจิ่นฝานมาเรียกร้องได้ตามอำเภอใจ……