นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 629 สะกดจิต เสด็จอาเก้าชอบเจ้าหรือไม่
เรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินสามารถออกจากคุกได้นั้น กะทันหันเกินไป อย่าได้พูดถึงคนภายในเรื่องเล็กซีซวีเลย แม้แต่หวังจิ่นหลิงเองก็ยังมิได้รับข่าวเช่นกัน ฉะนั้นแล้ว ด้านนอกพระราชวังนั้น หาได้มีผู้ใดมารั้งรอนางไม่ นางจึงต้องเดินกลับไปด้วยตนเอง
หลังจากที่ลูบกระเป๋าเงินของตนเองแล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็พลันพบกับเรื่องที่น่าเศร้าอย่างหนึ่ง ตั้งแต่ที่นางมีสาวใช้คอยติดตามนั้น นางก็มิเคยคิดที่จะพกเงินสดของตนเองออกไปด้านนอกอีกเลย ดังนั้น นางในยามนี้จึงกลายเป็นคนยากจนไปในทันที
“บุรุษในตงหลิงช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก!” เฟิ่งชิงเฉินได้แต่ก่นด่าด้วยความโกรธเคือง พร้อมทั้งนำบัญชีแค้นนี้เก็บไว้ที่เสด็จอาเก้า นางจึงได้แต่วางแผนไว้กับตนเองภายในใจว่า ในครั้งหน้า หากนางพบกับเสด็จอาเก้าเมื่อใด นางจะกัดจนเสด็จอาเก้าไม่มีหน้าไปพบผู้ใด ทั้งยังลากเสด็จอาเก้ามากดให้จมเตียงเลยคอยดู
นางหิวมานานถึงสิบวัน ทนกับอากาศเย็นมานานถึงสิบวัน นำนางมาทิ้งไว้นอกวังเช่นนี้ ก็มิคิดหารถม้ามาให้นางสักคันหรืออย่างไร ทำเช่นนี้ก็เพื่อจะให้นางตัดสินความเป็นความตายด้วยตนเองงั้นหรือ เฟิ่งชิงเฉินได้แต่นำอารมณ์โกรธของตน ไปลงกับการเตะหินกรวดข้างทางแทน
นับว่าโชคดีที่นางมีกระเป๋าแพทย์อัจฉริยะอยู่ในมือ มิเช่นนั้น น างคงได้กลายเป็นก้อนโคลนอยู่ภายในคุกไปแล้ว เฟิ่งชิงเฉินที่ได้บ่นโอดครวญนั้น พลันมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เพื่อมองดูสภาพอากาศที่ดูมิค่อยสดใสในวันนี้ แล้วจึงแอบพูดกับตนเองในใจว่า โชคดีที่วันนี้มิมีหิมะตกลงมา
เมื่อจับอาภรณ์ของตนเองให้เข้าที่เข้าทางแล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็ปรับอารมณ์ของตนให้ดูสดใสมากยิ่งขึ้น พร้อมกับออกเดินไปยังเรือนเล็กซีซวีของนางในทันที ยังมิทันจะได้เดินออกไป ก็พลันได้ยินเสียงรถม้ามาตามหลังแล้ว เฟิ่งชิงเฉินจึงรีบหันกลับไปมอง เพื่อเตรียมตัวหลบไปอีกฝั่งหนึ่ง
นางยังมิอยากถูกรถม้าชนตายในวันนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองต้องกลับไปที่คุกแห่งนั้นอีกครั้ง นางโดนขังอยู่ในนั้นมานานพอแล้ว หากต้องกลับเข้าไปในนั้นอีก ชีวิตของนางนับว่าน่าสงสารยิ่งนัก
ผู้ใดจะไปรู้ว่า รถม้าจะมาหยุดที่ข้างกายของนาง
“แม่นางเฟิ่ง” ม่านของรถม้าพลันถูกเปิดออกในทันที พร้อมกับใบหน้าที่อ่อนหวานปนไปด้วยความน่าเอ็นดู กลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก
“เจ้าเป็นใคร เจ้ารู้จักข้างั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินมิเชื่อว่า ตนเองจะมีชื่อเสียงมากพอ ที่ผู้คนจะรู้จักได้
“แม่นางเฟิ่งอาจจะไม่รู้จักข้า แต่ทว่าข้ารู้จักท่าน ข้าเป็นบุตรสาวของตระกูลซูแห่งหนานหลิง นามว่าซูโหยว” สตรีผู้นั้นพลันแนะนำตัวกับนางด้วยความนอบน้อม
“ซูโหยว? สตรีที่มาแข่งประลองแทนซูหว่านนะหรือ?” ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของซูหว่านนั่นเอง ถึงได้ดูคุ้นตายิ่งนัก เฟิ่งชิงเฉินที่ลอบสังเกตุซูโหยวอยู่ครู่หนึ่งนั้น แล้วจึงแอบพยักหน้าให้กับตนเองภายในใจ
สตรีผู้นี้ดูซื่อตรงกว่าซูหว่านมากนัก อีกทั้งยังมีความอ่อนโยนมากกว่า เพียงแค่มองดูก็รู้ได้เลยว่าเป็นสตรีที่อ่อนหวาน หาได้น่ารังเกียจเหมือซูหว่านที่เอาแต่เย่อหยิ่งไม่ นางดูอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เย่อหยิ่งและยังดูสง่างามอีกด้วย
ตระกูลซูนับว่าสอนสั่งบุตรีได้ดียิ่งนัก ทว่า อากาศในยามเหมันตฤดูเช่นนี้ ซูโหยวต้องมาประลองการแข่งขันกับนาง แต่นางมาที่นี่เพราะเรื่องแค่นี้จริง ๆ หรือ?
เฟิ่งชิงเฉินที่ยืนอยู่ด้านล่างของรถม้านั้น พลันแย้มยิ้มมองไปที่ซูโหยว นัยน์ตาที่ใสสุกสกาว ราวกับว่าจะยิ้มก็ไม่ยิ้มเช่นนั้น เสมือนกับว่ากำลังมองดูสิ่งของอย่างหนึ่งก็ไม่ปาน กลับกันหากเป็นซูหว่านละก็ นางคงเปลี่ยนสีหน้าไปแล้ว แต่ทว่า ซูโหยวผู้นี้หาได้มีท่าทีโมโหไม่ อีกทั้งยังดูสุภาพและอ่อนโยน ชวนให้อยากเข้าไปทำความรู้จักยิ่งนัก
“หากว่าแม่นางเฟิ่งรู้จักข้า นับว่าเป็นเรื่องที่ดียิ่งนัก ข้าชื่นชมแม่นางเฟิ่งมานานแล้ว เมื่อได้รู้ข่าวว่าตนเองต้องมาประลองกับท่านที่ตงหลิงนั้น ข้าดีใจเป็นอย่างมาก แม่นางเฟิ่ง ท่านจะไปที่ใดหรือ? ด้านในรถม้ามีข้าเพียงผู้เดียว หากท่านมิรังเกียจละก็ ให้ข้าได้ไปส่งท่านได้หรือไม่?” ซูโหยวเงยหน้าขึ้นมอง ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความต้องการเชิดชูนางเสียเต็มประดา นัยน์ตาสีใสแวววาวราวกับคริสทัล รวมไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นมากมาย หาได้สื่อให้เห็นความจริงใจของนางไม่
เชิดชู?
แม่นางตระกูลซูผู้นี้ คงมีใจอยากที่จะฆ่านางแต่ก็ยังคิดจะเชิดชูนางงั้นหรือ เฟิ่งชิงเฉินได้แต่ลอบหัวเราะออกมาเล็กน้อย นางอยากรู็เหลือเกินว่า ซูโหยวผู้นี้ต้องการจะทำอะไรกันแน่ เฟิ่งชิงเฉินจึงได้พยักหน้าลงเล็กน้อย “ขอบคุณคุณหนูซู ชิงเฉินมิเกรงใจแล้ว”
“ดีจริง แม่นางเฟิ่งรีบขึ้นรถม้าเลย ด้านนอกหนาวยิ่งนัก” ซูโหยวในยามนี้คล้ายกับเด็กน้อยยิ่งนัก พร้อมทั้งรีบร้อนจัดแจงที่นั่งให้กับเฟิ่งชิงเฉินในทันที ด้วยสีหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเพิ่งจะนั่งลงไปบนรถม้าได้ไม่นาน ซูโหยวก็นำเตาพกอันหนึ่งมาให้ในทันที “แม่นางเฟิ่ง ท่านทำให้มืออุ่นหน่อยเถิด”
ด้านในเตาพกพลันส่งกลิ่นหอมจาง ๆ ออกมา เฟิ่งชิงเฉินหาได้ไม่ชอบกลิ่นหอมพวกนี้ไม่ ทว่า มันเป็นเพราะเสด็จอาเก้าแพ้กลิ่นดอกไม้หอมพวกนี้ นางเองก็ไม่ชอบที่จะนำพวกมันมาใส่ในอาภรณ์ของตนเองเช่นกัน
“ขอบคุณ” เฟิ่งชิงเฉินรับไว้แต่โดยดี ทว่า นางหาได้ถือมันเอาไว้ไม่ แต่นำไปวางไว้ข้างกายของตนเองแทน
บุตรีตระกูลซูนับว่าไม่ง่ายเลย ซูหว่านที่เป็นเช่นนั้น ยังมัดใจเย่เย่ให้หลงจนหัวปักหัวปำได้ แต่ทว่า ซูโหยวผู้นี้เก่งกาจยิ่งกว่าซูหว่านมากนัก
เมื่อซูโหยวเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธเตาพกของตนเงอนั้น นัยน์ตาก็ฉายแววประกายเจ็บปวดออกมาครู่หนึ่ง จากนั้นก็รับก้มหน้าลง ราวกับมิอยากให้เฟิ่งชิงเฉินเห็นใบหน้าของนาง แต่ทว่า เฟิ่งชิงเฉินเห็นมันแล้ว
ทักษะการแสดงชั้นเลิศ เฟิ่งชิงเฉินได้แต่แอบชื่นชมภายในใจ!
เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองอีกครั้ง รอยยิ้มบนใบหน้าของซูโหยวยังคงเป็นเช่นเดิม เสมือนกับว่านางให้ความสนใจเรื่องเตาผิง หลังจากนั้น นางก็ยุ่งกับตนเองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหยิบผ้าอุ่น ๆ ออกมาจากลิ้นชักภายในรถม้า “แม่นางเฟิ่ง หากท่านมิชอบใช้เตาพกนั่น ท่านนำผ้าผืนนี้เช็ดมือของท่านก็พอแล้ว”
ผ้าผืนสีขาวพลันกระจายไออุ่นออกมาในทันที ซูโหยวนำไปให้ต่อหน้าเฟิ่งชิงเฉิน ราวกับว่า นางมิได้ติดใจเอาความเรื่องเมื่อครู่
“แม่นางซูใจดียิ่งนัก” สตรีแห่งสกุลซูนับว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง นางอยากจะรู้ยิ่งนัก ว่าคุณหนูซูโหยวจะมีเล่ห์กลอันใดมาให้นางชื่นชม
ในครานี้ เฟิ่งชิงเฉินหาได้ปฏิเสธนางไม่ พร้อมทั้งรับผ้ามาเช็ดมือตนเองแต่โดยดี
แท้จริงแล้ว เป็นเวลานับสิบวันที่นางมิได้ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เลย ถึงแม้ว่าจะเป็นเหมันตฤดูก็ตาม แต่ทว่า แม้แต่นางเองยังได้กลิ่นตัวของตนเองเช่นนี้ แต่คุณหนูซูโหยวหาได้สนใจไม่ นับว่าแปลกประหลาดยิ่งนัก
“มิต้องเกรงใจไปเจ้าค่ะ แม้ว่าข้ายังมิได้มาพบหน้าท่าน แต่ข้าก็รู้สึกทั้งชื่นชมและเชิดชูแม่นางเฟิ่งยิ่งนัก วันนี้เมื่อข้าได้พบท่าน ข้าก็รู้สึกชอบท่านยิ่งนัก” สีหน้าของซูโหยวพลันแสดงความตื่นเต้นออกมาในทันที ราวกับเด็กที่กำลังตื่นเต้นยามที่ได้ของเล่นใหม่ก็ไม่ปาน พร้อมทั้งส่งเสียงเจื้อยแจ้วไม่มีหยุด ในสายตาของซูโหยวนั้น เฟิ่งชิงเฉินนับได้ว่าเป็นศัตรูที่ไม่มีผู้ใดสามารถล้มล้างนางได้
โดยเฉพาะเรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินช่วยเลือเย่เย่นั้น เพียงแค่ซูโหยวพูดขึ้นมา ดวงตาทั้งสองอข้างของนางพลันเปล่งประกายในทันที “แม่นางเฟิ่ง ข้าก็ชอบเรียนรู้ทักษะทางด้านการแพทยผืด้วยเช่นกัน น่าเสียดายนักที่ข้าหาได้มีความเชี่ยวชาญมากไม่ ในยามนี้ จึงทำได้แค่เพียง รักษาทำแผลให้กับสัตว์เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น”
“ที่แท้แม่นางซูก็เป็นวิชาแพทย์เหมือนกันงั้นหรือ สตรีชั้นสูงส่วนใหญ่ น้อยนักที่จะมีผู้ใดเป็นวิชาแพทย์” เฟิ่งชิงเฉินพลันรู้สึกว่าตนเองได้รับการสอนสั่งที่มิค่อยดีนัก แต่ทว่า นางก็ยังคงฟังแม่นางซูหว่านด้วยสีหน้าที่เปื้อนยิ้ม โดยมิได้เอ่ยอันใดออกมา
“แม่นางเฟิ่ง ท่านอย่าได้เอ่ยหยอกล้อข้าเลย ข้าเพียงแค่อ่านตำราแพทย์ในเวลาว่างเท่านั้น ข้ารู้ทักษะการแพทย์เพียงแค่ผิวเผิน มิสมควรเรียกว่าทักษะการแพทย์เสียด้วยซ้ำ” ซูโหยวแสร้งทำสีหน้าเขินอายออกมา พร้อมกับก้มหน้าลงไป
“หากแม่นางซูมีใจคิดจะร่ำเรียน วันหน้ามันจะต้องเกิดผลอย่างแน่นอน” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
“จริง ๆ หรือ?” ซูโหยวได้ยินเช่นนั้น ก็รีบเงยหน้าขึ้นในทันที แววตาทั้งสองข้างพลันจับจ้องไปที่เฟิ่งชิงเฉิน มิรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด นัยน์ตาของซูโหยวในยามนี้คล้ายกับว่ามันค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นสีเขียว
เสมือนกับเขียวมรกตก็ไม่ปาน พร้อมกับคลื่นประหลาด ๆ ราวกับเป็นวังวนน้ำลึก ที่กำลังดึงดูดนางให้เข้าไปในนั้น เฟิ่งชิงเฉินที่มิได้ป้องกันตนเอง เมื่อสบสายตาเข้ากับดวงตาคู่นั้น พลันเสียศูนย์ไปในทันที
วิชาสะกดจิต!
มารดามันเถอะ นางดวงซวยยิ่งนัก!
ซูหว่านพลันแย้มยิ้มออกมา นัยน์ตาสีเขียวพลันทอประกายระยิบระยับ มิรู้ว่าเมื่อใด ที่ภายในมือของซูโหยวพลันปรากฏลูกปัดสีเขียวเอาไว้ เพียงแค่นางปล่อยมือออกมา ลูกปัดสีเขียวอันนั้นก็อยู่ตรงดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินในทันที พร้อมกับแกว่งไปมา โดยที่มีสายตาของเฟิ่งชิงมองตามลูกปัดไม่ห่าง
เฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ คล้ายกับคนที่ตุ๊กตาไร้วิญญาณก็ไม่ปาน ทั้งเลื่อนลอยและนั่งเงียบ ๆ อยู๋เช่นนั้น
ซูโหยวแย้มยิ้มออกมาอย่างพอใจ ดวงตาสีเขียวนั้นยิ่งดูแปลกประหลาดมากขึ้นไปอีก
“บอกข้า เจ้ามีนามว่าอะไร ?” น้ำเสียงของซูโหยวหาได้มีท่าทีเป็นมิตรเหมือนในคราแรกไม่ เมื่อฟังดูแล้วคล้ายกับเสียงแม่มดที่กำลังล่อให้คนตกหลุมพลางก็ไม่ปาน
“เฟิ่งชิงเฉิน !” ดวงตาที่ว่างเปล่าของเฟิ่งชิงเฉิน พลันตอบกลับด้วยความซื่อ ๆ เตาพกที่อยู่ข้างกายของนาง พลันค่อย ๆ ส่งกลิ่นหอมออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ
“บิดาเจ้ามีนามว่าอะไร ?มารดาเจ้ามีนามว่าอะไร?”
“บิดาของข้ามีนามว่าเฟิ่งจ้าน มารดาของข้ามีนามว่าลู่อี่โม่” เฟิ่ชิงเฉินที่เป็นเด็กดีในยามนี้ ไม่ว่าซูโหยวเอ่ยถามสิ่งใด นางล้วนแต่ตอบไปตามจริงทั้งหมด
ซูโหยวค่อย ๆ ถามคำถามง่าย ๆ จากนั้น ก็เริ่มถามคำถามที่ยากขึ้นมา “เฟิ่งชิงเฉิน ผู้ใดกันที่เจ้าชอบมากที่สุด?”
“ท่านพ่อท่านแม่ของข้า!”
ผู้ใดท่านเรื่องนี้เจ้ากัน สีหน้าของซูโหยวมิค่อยสบอารมณ์นัก พร้อมกับท่านต่อว่า “คนในใจของเจ้าเล่า?”
“เสด็จอาเก้า!” หากผู้ใดที่รู้จักเฟิ่งชิงเฉินอยู่แล้ว ย่อมรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินที่ฉลาดเฉลียวนั้น ทำเรื่องโง่ๆ ให้กับเสด็จอาเก้ามากมายนัก
“เขาชอบเจ้าหรือไม่?” ซูโหยวพลันจับจ้องไปที่เฟิ่งชิงเฉินไม่วางตา ราวกับว่า นางต้องการจะจับตามองทุกการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ของเฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินนั้นเจ้าเล่ห์เกินไป นางกลัวว่าวิชาสะกดจิตของตนเองนั้น จะใช้มิได้ผลกับเฟิ่งชิงเฉิน ถึงแม้ว่านี่จะเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เกิด แต่นี่เป็นเพียงครั้งที่สองที่นางนำมาใช้กับคนจริง ๆ