นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 634 มีเฟิ่งชิงเฉินแล้วยังจะมีอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีก
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเรือนกระจกนั้นสะดวกในการสนทนาทุกเรื่อง แค่วิวทิวทัศน์และบรรยากาศรอบด้านก็โรแมนติกมากแล้ว เพียงเดินเข้ามาก็ทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายทั้งกายและใจโดยไม่รู้ตัว
ดอกไม้สด หญิงงาม อาหารรสเลิศ ทิวทัศน์ตระการตา ไม่ใช่เพียงแค่เป็นการจัดห้องดอกไม้ห้องหนึ่งเท่านั้น แต่การตกแต่งทุกมุมในเรือนกระจกล้วนเหมาะพอดี ทุกตำแหน่งสามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่แตกต่าง ทำให้คนยากจะลืมเลือน
หวังจิ่นหลิงชอบที่แห่งนี้เป็นอย่างมาก แน่นอนว่าสิ่งที่เขาชอบที่สุดย่อมเป็นผู้ที่มารับประทานอาหารที่เรือนกระจกแห่งนี้กับเขา เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่ายามที่เขารู้ว่านางถูกนำตัวไปขังยังคุกฟ้า เขาหวาดกลัวและกังวลเพียงใด
เขาไม่ได้กังวลว่านางจะออกมาไม่ได้ แต่กลัวว่านางจะได้รับความทุกข์ทรมานยามอยู่ข้างใน คุกฟ้าของราชวงศ์นั้นถึงแม้จะเป็นหัวหน้าตระกูลหวังก็ยังมิอาจเอื้อม
ในสิบวันมานี้ เฟิ่งชิงเฉินอยู่ในคุกฟ้ากินไม่ได้นอนไม่หลับ เขาเองก็เช่นกัน
เมื่อวานเมื่อได้ข่าวว่านางออกจากคุกฟ้ามาได้แล้ว เดินคิดอยากจะไปเยี่ยมงานแต่เมื่อคิดได้ว่านางขึ้นจะออกมาจากคุก คงมีสภาพไม่น่าดูนัก ย่อมไม่อยากให้ผู้อื่นพบเห็น เขาจึงยอมระงับความร้อนใจเอาไว้
คิดไม่ถึงเลยว่าเช้าวันนี้จะได้รับเทียบเชิญจากเฟิ่งชิงเฉิน แม้จะพอรู้ว่าเหตุใดนางต้องการพบเขา แต่ในใจก็ยังคงยินดี
อย่างน้อยยามที่นางเดือดร้อนก็ยังคิดถึงเขา
เมื่อรอจนเฟิ่งชิงเฉินนั่งลงแล้ว หวังจิ่นหลิงจึงค่อยนั่งลงตรงข้ามนาง มองดูนางอยู่ใกล้เสียจนเอื้อมมือไปแตะถึงได้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ยิ่งกว้างขึ้น
“ชิงเฉิน เรือนกระจกของเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นและมีเพียงเจ้าที่มีจิตใจประณีตงดงามคิดสร้างมันออกมาได้ พี่จะคิดใช้งานมันเช่นนี้” ที่ดีที่สุดก็คือโต๊ะอาหารตัวนี้เป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า คนนั่งประจันหน้ากันแต่กลับห่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ช่างดีเหลือเกิน…
น่าเสียดายที่เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รับรู้ความในใจของเขา นางเพียงแค่คิดว่าหวังจิ่นหลิงประทับใจเรือนกระจกของนางอย่างบริสุทธิ์ใจเท่านั้น นางจึงตอบกลับไปอย่างเขินอายเล็กน้อย “เรือนกระจกนี้สามารถทำให้คุณชายใหญ่ออกปากชมได้ช่างดียิ่งนัก จะว่าไปแล้วที่เรือนกระจกนี้ถูกสร้างออกมาได้ จิ่นหลิงก็มีความดีความชอบไม่น้อย”
เมื่อได้รับคำชมจากหวังจิ่นหลิง เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกละอายใจ เรือนกระจกนี้นางเป็นคนคิด นี่ก็เป็นครั้งแรกที่นางมาเยือน นางพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้านและมองไปรอบด้านอย่างประเมิน เฟิ่งชิงเฉินต้องบอกว่าเรือนกระจกแห่งนี้สร้างได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก เงยหน้าขึ้นไปก็สามารถมองเห็นท้องฟ้าครามและเมฆสีขาว
อะแฮ่ม… น่าเสียดายที่วันนี้อากาศธรรมดา ยิ่งน่าเสียดายที่เสด็จอาเก้าแพ้เกสรดอกไม้จึงไม่สามารถมารับประทานอาหารที่นี่เป็นเพื่อนนางได้
“ข้าหรือ? เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?” หวังจิ่นหลิงไม่เข้าใจ เขามองเฟิ่งชิงเฉินที่พิงพนักเก้าอี้อย่างเพลิดเพลินไปกับสิ่งรอบตัว หวังจิ่นหลิงก็อดไม่ได้ที่จะลดธรรมเนียมปฏิบัติลงมาเลียนแบบนางที่กำลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน
อากาศอบอุ่นอุ่น ช่างสบายเหลือเกิน เฟิ่งชิงเฉินช่างรู้จักที่จะเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศยิ่งนัก
“แน่นอนว่าต้องมี โรงเตี๊ยมโหย่วเจียนแห่งนี้เป็นสถานที่ที่สาวใช้ที่เจ้าให้ข้ามาสองคนนั้นร่วมกันสร้างขึ้น” เฟิ่งชิงเฉินหยิบไม้จิ้มที่ทำจากไม้ไผ่ขึ้นมาจิ้มผลไม้เข้าปาก
ยามที่อยู่กับหวังจิ่นหลิง เฟิ่งชิงเฉินไม่จำเป็นต้องคิดมากและไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งทำสิ่งใด การพูดจาก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย ส่วนมารยาทบนโต๊ะอาหารอะไรนั่นก็ช่างเสียเถอะ วันนี้นางไปตั้งหลายบ้าน พวกมารยาทพิธีการเหล่านั้นนั่งทำเสียจนเหนื่อยแล้ว
หวังจิ่นหลิงเป็นผู้ที่ไม่ชอบวุ่นวายกับผู้อื่น ความเป็นกันเองและความสบายๆของเฟิ่งชิงเฉินนั้น หากในสายตาของผู้อื่นคงจะเป็นความไม่รู้มารยาท แต่ในสายตาของเขานั้นกลับเป็นตัวตนที่แท้จริง
ยามที่ชอบใครสักคนก็เห็นว่าเขาดีไปเสียหมด
“ดูแล้วเห็นจะเป็นชิงเฉินอบรมสาวใช้ได้ดีต่างหาก ยามที่พวกนางอยู่ที่จวนหวังไม่เห็นจะเฉลียวฉลาดเช่นนี้” หวังจิ่นหลิงไม่ยอมให้เฟิ่งชิงเฉินเพลินกับความหฤหรรษ์อยู่คนเดียว เขาเองก็กินผลไม้ด้วยกิริยางดงามเช่นกัน
ขนมที่เรือนกระจกนำมาให้มีหลายชนิดที่ไม่ได้เป็นไปตามฤดูกาล ไม่รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินไปสรรหามาจากไหน ชามคริสตัลที่ล้ำค่านางก็เอามาใส่ผลไม้ นี่ไม่ใช่ฟุ่มเฟือยธรรมดา ต้องบอกว่าการนำชามแก้วคริสตัลมาใส่ผลไม้นั้น ที่พักอาศัยยามที่ในชามยังมีผลไม้อยู่และส่งประกายแวววาวด้วยชามคริสตัลนั้นทำให้คนต้องน้ำลายไหล
หวังจิ่นหลิงแอบชื่นชมความเพลิดเพลินของเฟิ่งชิงเฉินอยู่ในใจ แม้เทียบกับเขาที่เป็นเจ้าบ้านตระกูลหวังแล้วก็ไม่น้อยหน้า หวังจิ่นหลิงสงสัยว่าภูมิหลังของนางนั้นคงจะไม่ธรรมดาอย่างที่คนทั่วไปเห็นกัน
“ก็เป็นเพราะคนที่เจ้าให้มานั้นยอดเยี่ยม” แม้จะบอกว่านางมีมิตรภาพอันไม่ธรรมดาต่อหวังจิ่นหลิง แต่เมื่อจะขอร้องให้คนช่วยก็ต้องเกรงใจเสียหน่อย ทั้งสองคนสนทนาพลางกินผลไม้ไปพลาง ไม่นานเสี่ยวเอ้อร์ก็ยกอาหารมาวาง
ยามกินไม่พูด ยามนอนไม่เอ่ย ถึงแม้เฟิ่งชิงเฉินจะไม่สนใจมารยาทบนโต๊ะอาหารเพียงใด อยากรับประทานอาหารก็ไม่ควรสนทนา หลังรับประทานเสร็จลุกขึ้นเดินเล่นในห้องดอกไม้แล้วค่อยเข้าประเด็นสำคัญ
“จิ่นหลิง ครั้งนี้ที่ข้าออกจากคุกฟ้ามาได้เป็นเพราะเจ้า” เฟิ่งชิงเฉินก้มศีรษะลงเด็ดดอกเยว่จี้
ดอกเยว่จี้ในฤดูกาลนี้ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ปวดใจเลยแม้แต่น้อย นางเด็ดดอกเยว่จี้ที่คนสวนดูแลเพาะเลี้ยงมาเป็นอย่างดีเสียจนกระจุยกระจาย หวังจิ่นหลิงยืนอยู่ด้านหลังนางก็ได้แต่มองนางเด็ดดอกไม้เหล่านี้อย่างตามใจ
“เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ผู้ที่ออกแรงจริงๆ ไม่ใช่ข้าหรอก” หวังจิ่นหลิงไม่มีทางโลภผลงาน เรื่องนี้ผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังก็คือเสด็จอาเก้า เขาเพียงแค่ทำไปตามน้ำเท่านั้นเอง
เรื่องนี้เฟิ่งชิงเฉินย่อมรู้ดี “หากไม่มีเจ้าออกแรง ข้าก็ออกมาไม่ได้ เจ้าอย่าได้ถ่อมตัวไปเลย”
“เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้มีค่าพอให้เจ้าตั้งใจมาขอบคุณเชียวหรือ?” หวังจิ่นหลิงไม่ชอบที่นางทำตัวเหินห่างกับเขาเช่นนี้เสียงพูดออกมาอย่างจนปัญญา หากจะพูดขอบคุณแล้ว เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายควรพูดขอบคุณ
“แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้าย่อมไม่มีทางเรียกตัวคนธุระเยอะเช่นเจ้ามาที่นี่เพียงเพื่อขอบคุณหรอก วันนี้ที่ข้าเชิญเจ้ามาเป็นเพราะมีเรื่องที่ต้องการหารือกับเจ้า” เฟิ่งชิงเฉินหันกลับมาเผชิญหน้ากับหวังจิ่นหลิง
ท่ามกลางแปลงดอกไม้ ชายหนุ่มนุ่มนวลสง่างาม หญิงสาวอรชรอ้อนแอ้น ทั้งสองสบตากัน หากในดวงตาของทั้งสองนั้นเต็มไปด้วยความรัก ภาพเช่นนี้ก็คงจะงดงามเป็นอย่างยิ่ง แต่ทว่ามันกลับไม่ใช่เช่นนั้น..
หวังจิ่นหลิงแอบเสียดายเล็กน้อย “เช่นนั้นวันนี้เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ ระหว่างเจ้ากับข้ายังจะต้องเกรงใจกันเช่นนี้อีกหรือ?”
“แน่นอนว่าไม่” เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะอย่างอายๆ “จิ่นหลิง ข้าเกลี้ยกล่อมตระกูลชุยให้ออกแรงช่วยเสด็จอาเก้าได้แล้ว ข้ารู้ว่าช่วงนี้เจ้ามีอะไรต้องทำมากมาย เจ้าสามารถร่วมมือกับตระกูลชุยได้หรือไม่?”
เฟิ่งชิงเฉินมองหวังจิ่นหลิงด้วยสายตาเปล่งประกายรอให้เขาตอบ
“ร่วมมือกับตระกูลชุยเพื่อช่วยเสด็จอาเก้างั้นหรือ?” หวังจิ่นหลิงพูดสิ่งที่กล่าวสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินยังจไม่จบออกมา
“ใช่แล้ว” เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า นางรับปากกับชุยห้าวถิงเป็นมั่นเหมาะไปแล้ว แต่ในใจนางกลับไม่ได้มั่นใจนัก หวังจิ่นหลิงไม่ได้เป็นเพียงคุณชายใหญ่เท่านั้น แต่เขายังเป็นหัวหน้าตระกูลหวังด้วย เขาจะยอมทำสิ่งที่ไร้ผลประโยชน์เช่นนี้หรือ?
หวังจิ่นหลิงไม่ได้ตอบคำถามของเฟิ่งชิงเฉิน แต่ถามนางกลับว่า “เจ้าเกลี้ยกล่อมตระกูลชุยอย่างไร พวกเขาถึงได้ยินดีที่จะร่วมมือกับตระกูลหวัง ตระกูลชุยจะลงจากเขาแล้วหรือ?”
หวังจิ่นหลิงมองการณ์ไกลและชัดเจนกว่าเฟิ่งชิงเฉิน การกระทำนี้ของตระกูลชุยเป็นสัญญาณว่าเขาจะออกจากภูเขา มิเช่นนั้นตระกูลชุยจะยอมทำเรื่องลำบากที่ได้ผลตอบแทนไม่เท่าไหร่เช่นนี้ได้อย่างไร
เฟิ่งชิงเฉินอึ้งงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ “มิน่าเล่า ไม่น่าแปลกใจเลยที่ชุยห้าวถิงรับปากอย่างง่ายดาย ที่แท้…”
คุณชายตระกูลใหญ่ไม่ใช่ไฟที่ไร้น้ำมันเลย
แต่นางก็ไม่ได้ขาดทุน สถานการณ์ที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายย่อมดีกว่าให้นางข่มขู่ให้พวกเขาออกแรง เช่นนี้เมื่อเรื่องราวจบลงตระกูลชุยก็จะโทษนางภายหลังไม่ได้
“หรือเจ้าคิดว่าตระกูลชุยจะทำสิ่งที่เป็นอันตรายเช่นนี้เพื่อชุยห้าวถิงเพียงคนเดียวงั้นหรือ หากข้าไม่ได้เดาผิด นี่น่าจะเป็นสัญญาณว่าตระกูลชุยต้องการจะออกมาจากภูเขาแล้วซึ่งพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าความแข็งแกร่งของตระกูลชุยนั้นไม่ธรรมดา”
จะมีอะไรจะดีไปกว่าการพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตระกูลชุยด้วยการช่วยเหลือเสด็จอาเก้าและทำให้องค์จักรพรรดิต้องหวั่นเกรงอีกเล่า
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่โอกาสเดียวที่ตระกูลชุยจะออกมา ได้แต่ต้องบอกว่าเฟิ่งชิงเฉินสามารถพูดเกลี้ยกล่อมให้ตระกูลชุยเลือกที่จะออกมาในเวลานี้และหมายความว่าเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน…
ในจิ่วโจวนั้น เสือสิงห์กระทิงแรดล้วนปรากฏตัวออกมาหมดแล้ว!