นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 635 ลงมือ นับข้าอีกคน
เมื่อสนทนาถึงรายละเอียดกับหวังจิ่นหลิงในเรือนกระจกเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกเกียจคร้าน ภาพวิวทิวทัศน์อันสวยงามจากเรือนกระจกก็ไม่อาจทำให้นางเกิดความสนใจได้
เมื่อเทียบกับเหล่าคุณชายตระกูลดังและองค์ชายต่างๆ แล้ว นางอ่อนโยนเกินไป ดังนั้นนางจึงมักจะปะทะจนเลือดตกยางออก
เสด็จอาเก้าบอกว่าเมื่อต้องเผชิญกับความแข็งแกร่งอย่างที่สุด พวกกลอุบายแผนร้ายล้วนเป็นเพียงความว่างเปล่า แต่เมื่อเทียบกับการสั่งสมทรัพยากรเป็นเวลากว่าร้อยปีของเชื้อพระวงศ์และตระกูลดังแล้ว สิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินมีนั้นมีสิทธิ์อะไรที่จะพูดถึงความแข็งแกร่ง นางมีต้นทุนอะไรที่จะเมินเฉยต่อกลอุบายร้ายทั้งหมดนั้น
เฟิ่งชิงเฉินไม่มีตระกูลให้นางพึ่งพิง สิ่งที่นางพึ่งพาได้มีแต่ตนเองเท่านั้น สองมือของนาง กล่องเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะที่มาจากโลกอนาคตและความตั้งใจมุ่งมั่นแน่วแน่ยอมหักไม่ยอมงอ หากไม่ใช่เพราะโรคของชุยห้าวถิง นางไม่มีแม้แต่คุณสมบัติให้คนตระกูลชุยกล่าวถึงด้วยซ้ำ
เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอันขมุกขมัว ใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มอ้างว้าง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตนเองช่างโดดเดี่ยวเหลือเกิน นางปกป้องความลับที่ตนเองมาจากยุคปัจจุบันเพียงลำพัง ช่างเหนื่อยเหลือเกิน!
หวังจิ่นหลิงแม้จะเสียดายที่ต้องจากกับนางเร็วขนาดนี้ แต่เขาก็เห็นใจเฟิ่งชิงเฉิน เมื่อเห็นร่างกายที่ซูบผอมและขอบตาดำคล้ำของนางแล้ว เขาจะเห็นแก่ตัวให้นางอยู่เป็นเพื่อนเขาอีกได้อย่างไร อีกอย่างถึงแม้ว่าเขาจะขอให้นางอยู่ได้แต่เขาก็ไม่อาจกุมหัวใจของนางไว้ได้อยู่ดี
เสด็จอาเก้ายังไม่ได้ออกมาจากคุก ชิงเฉินไม่อาจวางใจลงได้ เพื่อเฟิ่งชิงเฉินแล้ว เขาจะต้องช่วยเสด็จอาเก้าออกมาให้ได้
หากจะร่วมมือกับตระกูลชุย ก็จะทำให้ดีสักตั้ง!
เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินที่ยืนอยู่ท่ามกลางดอกไม้แต่ดูราวกับจะบอบบางเสียยิ่งกว่า หวังจิ่นหลิงก็เด็ดดอกโบตั๋นสีแดงดอกหนึ่งเดินมาตรงหน้าเฟิ่งชิงเฉินและปักมันลงบนผมของนาง
เฟิ่งชิงเฉินรีบหลบและยื่นมือออกไปขวาง “จิ่นหลิง อย่าแกล้งข้า มันดูงี่เง่าออกจะตายไป” นางไม่ยอมทัดดอกไม้เดินไปทั่วเมืองหรอก นางไม่ใช่กระถางต้นไม้เสียหน่อย
“ไม่งี่เง่าเลย สวยมาก” หวังจิ่นหลิงไม่ยอมให้เฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธ เขากดไหล่ทั้งสองของนางไว้และนำดอกโบตั๋นปรับเข้าที่ผมของนาง “งี่เง่าตรงไหนกัน เห็นชัดๆ ว่างดงามมาก”
บรรดาหญิงสูงศักดิ์ในเมืองหลวงมักจะชอบทัดดอกไม้ เมื่อถึงยามฤดูใบไม้ผลิ บนศีรษะของพวกนางล้วนประดับไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับประดับน้อยมาก จู่ๆ เขาจึงอยากเห็นนางทัดดอกไม้ ดอกไม้สดสวยงามและท่าทางโกรธเคืองสามารถขจัดความเหงาหงอยบนร่างของนางออกไปได้
“งี่เง่า” เฟิ่งชิงเฉินเม้มริมฝีปาก นางเก็บมือกลับไปอย่าเชื่อฟังภายใต้สีหน้าไม่เห็นด้วยของหวังจิ่นหลิงและปล่อยให้ดอกไม้สีแดงปักอยู่บนผมของนาง มันยิ่งทำให้นางดูมีเสน่ห์เย้ายวนและสง่างามยิ่งขึ้น
“ไม่งี่เง่า ถึงจะงี่เง่าแค่ไหนเจ้าก็ยังดูดีอยู่ดี” หวังจิ่นหลิงไม่ให้โอกาสเฟิ่งชิงเฉินพูดมาก เขาชี้ไปที่ประตู “ชิงเฉิน เด็กแล้ว ข้าจะไปส่งเจ้า”
เดิมเฟิ่งชิงเฉินคิดจะบอกว่าไม่ต้อง แต่หวังจิ่นหลิงกลับเดินนำไปก่อนและเปิดประตูเรือนกระจก “ไปเถอะ เจ้ากลับไปคนเดียวข้าไม่วางใจ เมื่อวานออกมาก็ไม่ยอมบอกข้าสักหน่อย คุณหนูแห่งตระกูลซูไม่ใช่ไฟที่ไร้น้ำมันเสียหน่อย จริงสิ หลังจากที่ซูโหรวผู้นั้นกลับไปแล้ว ได้ยินว่านางหมดสติไม่ฟื้น”
หวังจิ่นหลิงเป็นห่วงความปลอดภัยของเฟิ่งชิงเฉินด้วยใจจริง เวลานี้เมืองหลวงวุ่นวายมาก นอกจากองค์ชายแห่งเป่ยหลิงแล้ว ในเมืองหลวงก็ยังมีองค์ชายจะอีกสามแคว้นรวมตัวกัน แล้วก็ยังมีตระกูลดังอีกเล็กน้อยที่ไม่อาจมองข้าม
“สลบไสลไม่รู้ตัวหรือ? สมน้ำหน้า การสะกดจิตได้ผลดีเช่นนี้เชียวหรือ” เมื่อเฟิ่งชิงเฉินได้ยินหวังจิ่นหลิงพูดเช่นนี้ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
ระยะนี้วุ่นวายมากจริงๆ องค์จักรพรรดิมีเจตนาใดก็ไม่อาจทราบได้แน่ชัดจึงได้ปล่อยให้องค์ชายแห่งซีหลิงและหนานหลิงทำการเคลื่อนไหว เอาเถอะ พวกเขาล้วนมีเหตุผล คนหนึ่งมาส่งคนแต่งงาน อีกคนมาเป็นเพื่อนผู้ท้าประลอง
“สะกดจิตหรือ?” หวังจิ่นหลิงชะงักฝีเท้าและหันไปมองเฟิ่งชิงเฉินอย่างงุนงง คำศัพท์นี้ช่างแปลกใหม่ยิ่งนัก
“ก็คือการทำให้เห็นภาพหลอน ทำให้การรับรู้ของอีกฝ่ายผิดเพี้ยนไป สามารถทำให้ทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายได้” สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในประเทศจีน ในยุคโบราณก็มีคนใช้ยาเพื่อควบคุมคนโดยเฉพาะ เพียงแต่จะต้องกินเป็นเวลานานจึงจะเห็นผล
การสะกดจิตเป็นเพียงการชี้นำเท่านั้น หากผู้ที่ถูกสะกดจิตไม่ยอมร่วมมือ ความเป็นไปได้ที่จะสะกดจิตสำเร็จก็น้อยมากหรือก็คือการบอกเป็นนัยว่าไม่มีทางสำเร็จ
หากการสะกดจิตนั้นได้ผล แล้วจะยังต้องไต่สวนนักโทษไปทำไม ให้นักสะกดจิตสะกดจิตก็ได้แล้ว การสะกดจิตสามารถใช้รักษาอาการทางจิตได้ด้วยเช่นกัน
“คุณหนูแห่งตระกูลซูทำเช่นนี้เป็นได้อย่างไร? วิชาหลอนประสาทได้หายสาบสูญไปแล้วไม่ใช่หรือ” ไม่มีใครชอบเคล็ดวิชาหลอนประสาทนี้ เพราะอย่างไรก็ไม่มีใครอยากที่จะถูกคนสะกดจิตและจากนั้นก็ถูกสั่งให้ทำบางสิ่งที่ขัดต่อหลักการของตนเอง
“ดูเหมือนว่าซูโหรวจะเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการสะกดจิต แต่ความสามารถของนางไม่ได้แข็งแกร่งนัก เจ้าไม่ต้องกังวลไป เพียงแค่อาศัยความมั่นคงของจิตใจของเจ้านางก็สะกดจิตเจ้าไม่ได้แล้ว อีกทั้งยังต้องอาศัยแรงจากสิ่งของภายนอก ยามที่พบนางก็ระมัดระวังเสียหน่อยก็ไม่มีทางตกลงไปในหลุมพรางได้แน่” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ใส่ใจซูโหรวเลยแม้แต่น้อย อย่าว่าแต่ความสามารถมีของนางเลย แม้แต่นักสะกดจิตชั้นสูงก็ไม่อาจสะกดจิตนางได้
แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงแค่นางเท่านั้น เพียงแค่สุ่มร้อยโทสักคนจะกองทัพ นักสะกดจิตก็ไม่มีทางสะกดจิตได้ เพราะคนเหล่านี้ล้วนกุมความลับทางการทหารเอาไว้ หากถูกสะกดจิตเข้าได้ง่ายๆ เช่นนั้นมีเป็นการตบหน้าประเทศหรอกหรือ
การสะกดจิตไม่ได้มหัศจรรย์ถึงเพียงนั้น ใช้รับมือกับพวกกบเลี้ยงสัตว์ตัวเล็กนั้นพอใช้ได้
หวังจิ่นหลิงถอนหายใจ “งั้นก็ยังดี มิเช่นนั้นแล้วหากตระกูลซูมีคนเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่”
“นั่นไม่เกี่ยวกับเรื่องของเรา ความสามารถอันน้อยนิดของนางหากจะใช้จัดการกับเรานั้นยังขาดอีกมาก มันเป็นเพียงเครื่องมือให้คนอื่นใช้เท่านั้น ซูโหรวไม่เพียงพอที่จะต้องหวาดกลัว แทนที่จะกังวลเรื่องนางมิสู้กังวลเรื่องคุณหนูใหญ่เซวียนเฟยแห่งเสวียนเซียวกงไม่ดีกว่าหรือ” ซูโหรวมีประโยชน์ที่ตระกูลซูและหนานหลิงจิ่นฝานจึงได้เก็บนางเอาไว้ แต่คนในบ้านของเซวียนเฟยนั้นปกป้องนางโดยไม่จำเป็นต้องมีประโยชน์หรือเงื่อนไขอันใด
“เซวียนเฟย?” หวังจิ่นหลิงผู้ซึ่งไม่แสดงความรู้สึกต่อผู้ใด เมื่อพูดถึงชื่อนี้เข้าก็ยากที่จะปกปิดความรังเกียจเอาไว้ “ชิงเฉิน เจ้าไม่ต้องกังวล อีกไม่นานก็ไม่จำเป็นต้องเกรงเซวียนเฟยอีกต่อไป”
หนานหลิงจิ่นฝานเกลี้ยกล่อมซีหลิงเทียนเหล่ยให้ยื่นมือเข้ามาแทรกแซงเรื่องของตระกูลหวัง ฝันไปเถอะ ก่อนหน้านี้คุณตระกูลหวังและเสวียนเซียวกงมีข้อพิพาทกันเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีใครใส่ใจ ผู้ที่ตระกูลหวังและเสวียนเซียวกงไม่ต้องการจัดการที่สุดก็คือหวังจิ่นหลิง
“พวกเจ้าเตรียมที่จะลงมือกับเสวียนเซียวกงแล้วหรือ?” คนเหล่านี้เคลื่อนไหวได้รวดเร็วนัก เฟิ่งชิงเฉินพบว่าหากนางไม่พยายามก็คงจะตามไม่ทันแล้ว
เมื่อคิดดูแล้วก็ใช่ ด้วยความหยิ่งทะนงของหวังจิ่นหลิงแล้ว จะยอมให้สตรีเช่นเซวียนเฟยยังคงอยู่ได้อย่างไร สำหรับเขาแล้วเซวียนเฟยเป็นความอัปยศ ความอัปยศนี้จะต้องล้างด้วยเลือดเท่านั้น
หวังจิ่นหลิงพยักหน้าและกล่าวออกมาโดยไม่ปิดบังเฟิ่งชิงเฉินเลยแม้แต่น้อย “ข้า หนานหลิง ซีหลิงและเสด็จอาเก้า”
“เหตุใดหนานหลิงและซีหลิงจึงจะโจมตีเสวียนเซียวกงด้วย?” เสวียนเซียวกงเป็นศัตรูของเสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิง อย่างไรหนานหลิงและซีหลิงไม่มีทางลงมือแน่
“เมื่อผลประโยชน์มีมากกว่าข้อเสีย พวกเขายอมลงมือโดยธรรมชาติ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ลงมือ แต่ด้วยการร่วมมือกันระหว่างตระกูลหวังและเสด็จอาเก้าแล้ว เสวียนเซียวกงจะต้องได้รับความเสียหายอย่างหนักแน่” เพียงแต่การต่อสู้กับผู้อื่นจนตัวเองบาดเจ็บไปด้วยนั้น เขาและตงหลิงจิ่วไม่มีทางทำ ดังนั้นจึงได้ลาภหนานหลิงและซีหลิงเข้ามาด้วย
เขาสัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์ต่อพวกเขามากมายถึงเพียงนั้น คิดที่จะไม่ออกแรงน่ะหรือ ฝันไปเถอะ!
นักการเมืองก็คือนักการเมือง ในหัวของพวกเขาคิดอะไร นางคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก หากนางเป็นซีหลิงเทียนเหล่ย แม้จะมีผลประโยชน์มากมายมากองอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีทางลงมือ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการช่วยเสด็จอาเก้ามิใช่หรือ
“ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องคนใหญ่คนโตเช่นพวกเจ้า เรื่องโจมตีเสวียนเซียวกงนับข้าเข้าไปด้วย หากพวกเจ้าตกลงวันที่จะโจมตีได้แล้วก็บอกข้าด้วย” มีผู้คนไม่มากที่นางสามารถไว้วางใจได้และมีคนไม่มากเช่นกันที่นางสามารถใช้ได้ คราวนี้นางคงต้องรบกวนหลานจิ่วชิงเพื่อขอยืมสายลับของเขาสักหน่อย
ใช้สายลับ ไม่รู้ว่าจะเป็นการใช้คนไม่สมน้ำสมเนื้อหรือไม่
“ตกลง!” หวังจิ่นหลิงไม่ได้ถามว่าเฟิ่งชิงเฉินจะทำอะไรและเชื่อนางอย่างสุดหัวใจ
ทั้งสองเดินเคียงข้างกันลงมาจากเรือนกระจก ทันทีที่ทั้งสองปรากฏตัว พวกเขาก็ดึงดูดความสนใจของผู้มารับประทานอาหารทันที แน่นอนว่าไม่ใช่เฟิ่งชิงเฉิน แต่เป็นคุณชายใหญ่ต่างหาก
ในวันเดียวกันนั้นเอง ข่าวที่ว่าเฟิ่งชิงเฉินและหวังจิ่นหลิงรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันในเรือนกระจกก็แพร่กระจายไปทั่ว มีสตรีสูงศักดิ์หลายคนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและแทบอาเจียนเป็นเลือด ชายคนหนึ่งแทบจะรีบไปที่จวนตระกูลหวังเพื่อจับหวังจิ่นหลิงออกมาซ้อม