นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 654 การปลอบโยน เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ต้องการความสงสารอันไร้ค่า
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 654 การปลอบโยน เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ต้องการความสงสารอันไร้ค่า
“ท่านอาจารย์!”
ซุนซือสิงเห็นดังนั้นแล้ว หยดน้ำตาของเขาก็ร่วงหล่นลงมา
ท่านอาจารย์ของเขากำลังแบกความทุกข์อยู่แท้ๆ แต่กลับต้องการปลอบใจเขา หากเทียบกันแล้ว ความทุกข์ของเขาไม่ได้เศษเสี้ยวหนึ่งของความทุกข์ของนางเลย
ซุนซือสิงเหมือนถูกของหนักกระแทกเข้าที่อก สมองเขาว่างเปล่า คิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น รู้แต่เพียงว่าเขาอยากส่งมอบความอบอุ่นให้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ให้ท่านอาจารย์ของเขาได้รับรู้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางยังมีลูกศิษย์คนนี้อยู่เสมอ
ซุนซือสิงเดินเข้าไปหาเฟิ่งชิงเฉินแล้วสวมกอดนาง เมื่อได้สัมผัสโดนร่างกายที่เย็นยะเยือกแล้ว ซุนซือสิงก็ยิ่งปวดใจ
“ท่านอาจารย์ ท่านอย่าโศกเศร้าเสียใจไปเลยนะ ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น พวกเราจะต้องผ่านมันไปให้ได้ ตระกูลเฟิ่งเหลือท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น ท่านจะต้องดูแลสุขภาพให้ดีๆ แม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยิน หากเห็นท่านทุกข์โศกอยู่แบบนี้ก็คงจะไม่สบายใจ ท่านต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ท่านทั้งสองจึงจะสุขใจ”
เขาเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าพ่อกับแม่ของเขาจะหายไปด้วยสาเหตุใดก็ตาม จะต้องเป็นเพราะพวกเขาหวังดีกับตนเอง ดังนั้นเขาจะระทมทุกข์ไม่ได้ จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดีที่สุด เพื่อให้คุ้มค่าต่อการเสียสละของท่านพ่อและท่านแม่
ทงจือกับทงเหยาและสาวใช้คนอื่นๆต่างตกใจในการกระทำอันบุ่มบ่ามของซุนซือสิง แต่ก็ไม่มีใครห้ามเขา คุณหนูของพวกนางต่อให้จะเข้มแข็งเพียงใด นางก็ยังเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ หากได้มีที่พักพิงทางใจบ้าง ก็คงดีต่อคุณหนูไม่น้อยเลย
เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้ขัดขืน นางปล่อยให้ซุนซือสิงกอดนาง ต่อให้นางอยากผลักเขาออกไป แต่นางก็ไม่มีเรี่ยวแรง นางอยากตบหลังซุนซือสิงเบาๆ แต่กลับพบว่ามือของนางแข็งทื่อ เฟิ่งชิงเฉินจึงได้แต่โต้ตอบด้วยริมฝีปากที่สั่นเทา “ทุกอย่างจะต้องดีกว่าเดิม สิ่งที่เลวร้ายต่างๆจะต้องผ่านพ้นไป ซือสิง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า หากผ่านเรื่องนี้ไปได้ ต่อจากนี้ไป ก็จะไม่มีอะไรมาฉุดข้าให้ล้มลงได้อีกแล้ว”
เฟิ่งชิงเฉินค่อยๆหันคอที่เส้นตึงไปพูดกับสาวใช้ “ทงจือ ทงเหยา……ไปสืบดูว่าเย่เย่ค้นหาร่างของท่านพ่อท่านแม่ข้าเจอได้อย่างไร มีใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้บ้าง แล้วอีกอย่างหนึ่ง ข้าต้องการรู้ว่าในช่วงที่เกิดเหตุ มันเกิดอะไรขึ้นกับท่านพ่อท่านแม่ข้ากันแน่”
เหตุใดพ่อของนางจึงได้ตายอย่างอนาถเช่นนั้น กระดูกของแม่นาง เหตุใดจึงมีรอยฟันแทะของสัตว์ได้ เย่เย่ไปพบเจอร่างของพ่อแม่นางจากที่ไหนกันแน่ สิ่งเหล่านี้ นางจะต้องรู้ให้ได้ นางไม่มีทางเชื่อเย่เย่เด็ดขาด
กระดูกของแม่นางยังพอมีกลิ่นดินติดอยู่ แสดงว่ากระดูกเหล่านี้เพิ่งถูกขุดขึ้นมาจากดินได้ไม่นาน ไม่ได้เป็นตามที่เย่เย่เคยกล่าวไว้ว่าไปพบกระดูกของแม่นางในจุดที่แม่นางตกลงไป……
นางต้องการทราบความจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นในปีนั้น นางจะไม่ยอมใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความคลุมเครืออีกต่อไป!
“คุณหนู โปรดวางใจเถอะเจ้าค่ะ พวกเราได้ส่งคนไปสืบแล้ว ตราบใดที่พอมีร่องรอย พวกเราต้องสืบได้แน่นอน” เฟิ่งชิงเฉินมอบอำนาจให้ทงจือกับทงเหยาไปแล้ว สองคนนี้ก็ไม่ใช่คนโง่ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาแล้ว จะไม่ให้ตามสืบได้อย่างไร หลังจากที่คนอื่นๆออกไปจากจวนเฟิ่งแล้ว พวกนางก็สั่งการอย่างรวดเร็ว
ตามสืบ……ต่อให้ยากลำบากเพียงใดก็ต้องสืบมาให้ได้
เมื่อทงจือและทงเหยาพูดจบ ก็ก้มหน้ารอฟังคำสั่งเฟิ่งชิงเฉิน แต่รออยู่พักใหญ่ เฟิ่งชิงเฉินก็ยังไม่ยอมพูดอะไร สาวใช้ทั้งสองจึงเอะใจว่าจะต้องเกิดเรื่องไม่ชอบมาพากล และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาดู ก็ต้องตกใจอย่างสุดขีด “คุณชายซุน คุณหนูหมดสติแล้วเจ้าค่ะ”
เฟิ่งชิงเฉินเป็นลมคาไหล่ของซุนซือสิงไปเสียแล้ว
“เร็วเข้า มาประคองนางไปที่ห้อง” ซุนซือสิงจะทำการตรวจชีพจรให้กับเฟิ่งชิงเฉิน แต่สภาพเฟิ่งชิงเฉินในตอนนี้ ไม่สามารถตรวจวัดอะไรได้ จะต้องทำให้ร่างกายอุ่นลงเสียก่อน
ซุนซือสิงเพียงคนเดียวไม่สามารถอุ้มเฟิ่งชิงเฉินได้ จึงต้องรบกวนทงจือและทงเหยา แต่ละคนจึงช่วยกันประคองเฟิ่งชิงเฉินไปที่ห้อง
ซุนซือสิง ชุนฮุ่ย ชิวฮว่า ตงชิง และเซี่ยหว่านคอยอยู่ข้างๆเฟิ่งชิงเฉินเพื่อช่วยดูแลนาง ส่วนทงจือและทงเหยากลับรีบวิ่งออกไปนอกห้อง เพื่อไปเก็บร่างของพ่อแม่เฟิ่งชิงเฉิน
ที่พักของชุยห้าวถิงอยู่ไม่ไกลจากเรือนเฟิ่งชิงเฉินมากนัก เมื่อมีเสียงดังเอะอะแว่วมา จะให้เขาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็ไม่ได้ แถมเดิมทีเขาก็กำลังรอฟังข่าวจากทางฝั่งเฟิ่งชิงเฉินอยู่แล้วด้วย
“ชะตาชีวิตของเฟิ่งชิงเฉินช่างขื่นขมจริงๆ” จังหวะที่ชุยห้าวถิงวางหมากเม็ดสีขาวลงไปบนกระดาน ก็พลันนึกถึงตอนที่เขาเล่นหมากล้อมอยู่กับเฟิ่งชิงเฉิน คิดแล้วก็หดหู่ยิ่งนัก
หญิงสาวที่ทระนงเหนือผู้ใด เมื่อได้เห็นร่างไร้วิญญาณของพ่อกับแม่แล้ว กลับตรอมตรมหนักหนาถึงเพียงนี้ แต่ไหนแต่ไรมา เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนที่เข้มแข็ง แต่น้อยคนนักที่จะได้มาเห็นด้านที่อ่อนแอของนาง และสิ่งที่มีผลต่อใจนางมากที่สุด
ครั้งนี้เย่เย่ได้เปิดโอกาสให้ชุยห้าวถิงได้รู้จักเฟิ่งชิงเฉินในอีกแง่มุมหนึ่ง เย่เย่ทำให้นางต้องคลุ้มคลั่ง เขาจะคอยดูว่าเฟิ่งชิงเฉินจะหาทางเอาคืนอย่างไรบ้าง
“หากคนที่ไม่มีพ่อแม่เป็นคนที่ชะตาชีวิตขื่นขม เช่นนั้นคนที่มีชะตาชีวิตขื่นขมก็คงมีมากมายนับไม่ถ้วน เจ้าเองก็เหมือนกันมิใช่หรือ” คุณชายหยวนซีถือหมากเม็ดสีดำไว้ในมือ เขากล่าวพลางวางหมากลงบนกระดาน “ห้าวถิง แทนที่จะเป็นห่วงเรื่องชะตาชีวิตของเฟิ่งชิงเฉิน ข้าว่าเจ้าเป็นห่วงตัวเองก่อนดีไหม เฟิ่งชิงเฉินเป็นแบบนี้แล้ว ข้าไม่วางใจเลย”
อีกสองวันหลังจากนี้ ก็จะถึงวันนัดหมายของเขาและเฟิ่งชิงเฉินแล้ว เป็นวันผ่าตัดของชุยห้าวถิง แต่เฟิ่งชิงเฉินเป็นแบบนี้แล้ว นางจะยังทำการผ่าตัดได้อีกหรือ?
คุณชายหยวนซีสงสัยเหลือเกิน!
“หากยังทำไม่ได้ก็เลื่อนวันออกไปก่อน เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาแล้ว เฟิ่งชิงเฉินเองก็คงยังไม่อยากทำหรอก” ชุยห้าวถิงไม่ได้สนใจเรื่องวันเวลาเลย เขาสนใจเรื่องความปลอดภัยในชีวิตของตนเองต่างหาก เขาจะไม่ยอมฝากชีวิตไว้กับคนที่จมปลักกับความทุกข์จนฉุดตัวเองขึ้นมาไม่ได้อย่างเฟิ่งชิงเฉินเป็นอันขาด
“ก็คงมีทางนี้แค่ทางเดียว” คุณชายหยวนซีก้มหน้าก้มตาเล่นหมาก แต่แล้วจู่ๆเขาก็เพิ่งรู้ตัวว่า……เขาไม่อาจลงหมากได้อีกแล้ว
เอ่อ……
หลังจากนั้นสักพัก ชุยห้าวถิงก็ลงหมากแล้วลุกขึ้นยืน “ท่านแพ้แล้ว”
คุณชายหยวนซีจ้องมองกระดานหมากอยู่นาน ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเขาจะแพ้ให้กับชุยห้าวถิง “เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทาง ข้าจะแพ้ให้เจ้าได้อย่างไร”
“ความจริงก็วางอยู่ตรงหน้า ท่านแพ้ข้าแล้ว” ชุยห้าวถิงอารมณ์ดียิ่งนัก มีเรื่องเฟิ่งชิงเฉินมาเบี่ยงเบนความสนใจมันก็ดีเหมือนกัน นี่ก็เท่ากับว่า……เขาเอาชนะคุณชายหยวนซีผู้เป็นยอดฝีมือได้แล้วสิ
“เอาใหม่อีกสักรอบ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะแพ้เจ้า เมื่อครู่นี้ข้ายังตั้งใจไม่เต็มที่” คุณชายหยวนซีไม่ยอม เขาเรียกร้องให้มีการประลองใหม่อีกครั้ง
แต่ชุยห้าวถิงไม่เห็นด้วย “ไม่เอาล่ะ ท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
เมื่อพูดจบก็เดินออกไปด้านนอก ทิ้งให้หยวนซีนั่งกัดฟันอยู่หน้ากระดานหมากเพียงคนเดียว
พรุ่งนี้เขาต้องไปปลอบโยนเฟิ่งชิงเฉิน จะต้องรีบเข้านอน
ผลปรากฏว่า แต่ละคนต่างตะลึงจนตาค้าง เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เป็นอย่างที่ชุยห้าวถิงคิดไว้เลย ที่ว่านางเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอ จมปลักกับความทุกข์ ต้องให้คนคอยดูแล เรียกร้องความเห็นใจ เฟิ่งชิงเฉินดูเป็นปกติดีทุกอย่าง สีหน้าของนางดูดีขึ้น ไม่มีการแย้มพรายอาการเศร้าโศกแต่อย่างใด ดวงตาของนางสุกใสเหมือนที่เคยเป็นมา หากไม่ใช่เพราะนางสวมใส่ชุดขาว ชุยห้าวถิงก็คงจะคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น
สุขภาพของเฟิ่งชิงเฉินก็ดูแข็งแรงดี เมื่อวานนางถูกความเย็นเข้าเล่นงาน แต่กลับไม่เห็นนางจะเป็นอะไรเลย สิ่งแรกที่นางทำหลังจากตื่นขึ้นมาแล้ว ก็คือการไปตรวจสอบว่ากระดูกของพ่อแม่นางยังอยู่ดีหรือไม่ เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจแล้ว ก็มีสีหน้าที่สดใสขึ้นกว่าเดิม
นางไปที่ห้องไว้ทุกข์ จุดธูปเคารพศพพ่อแม่ แล้วทำการคำนับโดยให้หน้าผากกระแทกพื้น 3 ครั้ง หลังจากที่นางทานมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว ก็มายังเรือนรับรองที่ชุยห้าวถิงและหยวนซีอาศัยอยู่ นางขอโทษคนทั้งสอง และยืนยันกับชุยห้าวถิงว่า การผ่าตัดในวันพรุ่งนี้ไม่มีปัญหาแน่นอน ขอให้เขาสบายใจได้
เมื่อได้เห็นชุยห้าวถิงและคุณชายหยวนซีทำหน้าตื่นตะลึง เฟิ่งชิงเฉินก็เยาะเย้ยอยู่ในใจ
คนพวกนี้คิดว่าคนอย่างนางจะล้มง่ายๆหรือ แถมยังมองว่านางฉวยโอกาสเรียกร้องความเห็นใจอีกสินะ?
ไม่……คนอย่างเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ต้องการความสงสารที่ไร้ค่าพวกนั้นเลย คนอย่างเฟิ่งชิงเฉิน เมื่อล้มแล้วก็จะลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง จวบจนกระทั่งนางจะลุกขึ้นมายืนอีกไม่ไหว!