นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 660 แต่ละคนล้วนเก่งกาจ
ข้างนอกไม่เหมาะสำหรับจะกล่าวคุยเรื่องเหล่านี้ กลับไปคุยที่จวนจะเหมาะสมกว่า ทงจือและทงเหยาคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเอ่ยถามเรื่องราวของข้อมูลที่พวกนางไปพบมาเมื่อกลับไปถึงจวน แต่พวกนางคิดไม่ถึงว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเร่งรีบ นางให้คนไปเตรียมน้ำร้อนเพราะนางต้องการอาบน้ำกินข้าว
นางต้องการบำรุงร่างกายของตนด้วยการกินให้มากพอ จะได้มีกำลังเผชิญกับสิ่งต่อไปในอนาคตและเผชิญหน้ากับความจริง บัดนี้ความจริงได้ค้นพบแล้ว นางไม่จำเป็นต้องทำตัวรีบร้อนเช่นนี้
โชคดีที่สาวรับใช้ทั้งสี่คนรู้นิสัยของเฟิ่งชิงเฉินเป็นอย่างดี เมื่อพวกนางรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินออกมาจากห้องผ่าตัดก็ต้องการอาบน้ำก่อน ชุนฮุ่ยและชิวฮว่าจึงได้สั่งให้คนเตรียมน้ำร้อนเอาไว้แล้วก่อนหน้า ทันทีที่เฟิ่งชิงเฉินออกมาก็มีน้ำร้อนเตรียมไว้ให้อาบ
หลังจากแช่ตัวในน้ำร้อนสักพัก เฟิ่งชิงเฉินก็พยายามผ่อนคลายร่างกายของนางให้มากที่สุดด้วยการปิดตาของนางลง ปกปิดความเศร้าและความไม่สบายใจในดวงตาของนางเอาไว้
ไม่ใช่เรื่องดีนักสำหรับการค้นหาสิ่งที่นางต้องการได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้ซับซ้อนกว่าที่นางคาดไว้มาก และมีคนที่เกี่ยวข้องมากกว่าที่นางคิด
มีคนต้องการใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ ใช้ประโยชน์จากการตายของบิดามารดานาง
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ หัวใจของเฟิ่งชิงเฉินก็เต็มไปด้วยความขมขื่น คนเหล่านั้นไม่แม้แต่ที่จะปล่อยให้คนที่ตายไปแล้วสองคนได้อยู่อย่างสงบ พวกเขาไม่เอาใจเขามาใส่ใจเราดูบ้างหรือ คิดดูเถิดว่านางจะเศร้าใจเพียงไรในฐานะลูก
ไม่ว่านางจะเป็นใคร ในใจของนางพ่อเฟิ่งและแม่เฟิ่งก็คือพ่อแม่ของนาง และพ่อแม่ของนางก็มีเพียงพวกเขาทั้งสองคนเท่านั้น เมื่อชาติที่แล้ว พ่อแม่ของนางคนหนึ่งได้ทิ้งนางไป อีกคนหนึ่งไม่ยอมรับนาง นางไม่อาจเรียกพวกเขาว่าพ่อแม่ได้เต็มปาก
นางตรึงความปรารถนาทั้งหมดไว้ที่พ่อแม่ของนาง ในความคิดของนางเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็ก พ่อเฟิ่งอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนของเขาและตบหัวเล็กๆ ของนางด้วยมืออันอบอุ่นของเขา กล่าวว่า “เสี่ยวเฉินของเรานั้นจะเป็นเด็กหญิงที่น่ารักและสวยที่สุด เมื่อเจ้าเติบโตขึ้น พ่อจะเลือกคู่ครองที่ดีที่สุดในโลกให้กับเจ้า รับช่วงต่อจากพ่อ ทำให้ลูกมีความสุขต่อไปตลอดชีวิต”
นั่นคือความรักของพ่อแม่ที่นางใฝ่หามาเป็นเวลานาน และมันเป็นความรักในครอบครัวที่นางใฝ่ฝัน แต่กลับถูกทำลายโดยคนอื่น
จ๋อม……น้ำตาไหลลงมาตามหางตาของเฟิ่งชิงเฉินไหลลงสู่อ่างน้ำ
เรื่องบางเรื่องนางสามารถหลีกเลี่ยงได้หากรำคาญ แต่มีบางสิ่งที่แม้นนางจะรู้ว่าเป็นปัญหา แต่ก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน
ทุกคนมีเส้นข้ามแดนที่แตกต่างกัน สำหรับเฟิ่งชิงเฉินแล้วนั้น ญาติคือข้อห้ามของนางจะมายุ่งเกี่ยวกับญาติๆ นางไม่ได้ บิดามารดาที่เสียชีวิตไปแล้วของนางเป็นญาติสนิทที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ใครกล้าทำร้ายญาติของนาง นางจะเอาคืนเป็นร้อยเท่า การกระทำของเย่เย่ดูถูกกระดูกพ่อแม่ของนางซึ่งเป็นขีดจำกัดข้อห้ามของนางอย่างไม่ต้องสงสัย
……เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำ หยดน้ำไหลลงมาตามผิวหนังของนาง เฟิ่งชิงเฉินเดินออกไปด้วยเท้าเปล่า
เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่คนใหญ่คนโต หากไม่ใช่เพราะว่าเสด็จอาเก้าปฏิบัติต่อนางแตกต่างไป องค์จักรพรรดิก็คงไม่รู้ถึงการมีตัวตนของนาง สำหรับคนอย่างเฟิ่งชิงเฉินนี้ องค์จักรพรรดิสามารถทำให้นางอยู่หรือตายก็ได้ทั้งนั้น
หลังจากที่จักรพรรดิเสร็จสิ้นการจัดการกับหนังสือคำร้องต่างๆ ก็คิดได้ว่าเฟิ่งชิงเฉินได้ย้ายกลับไปยังจวนเฟิ่งแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน ได้ยินว่านางรักษาอาการเจ็บป่วยของคุณชายตระกูลชุยผู้นั้น เขาก็มีคำถามเกิดขึ้นในใจ
“เฟิ่งชิงเฉินอยู่ที่ใด? ช่วงนี้นางทำอะไรมาบ้าง?” จักรพรรดิไม่เห็นเฟิ่งชิงเฉินในสายตาของเขา สิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินสามารถทำได้ในฐานะสตรีคงเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
สิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินสามารถทำได้ในตอนนี้คือการรักษาชื่อเสียงที่สั่นคลอนของเสด็จอาเก้า เมื่อเขาฆ่าเสด็จอาเก้าทิ้งไปเสีย เฟิ่งชิงเฉินก็จะไม่มีอะไรเหลือ ตอนนี้…… ปล่อยให้นางกระโดดโลดเต้นไปเถิด
“ทูลฝ่าบาท วันที่เฟิ่งชิงเฉินขึ้นบ้านใหม่ บุตรสาวจวนหรงก่อจลาจลขึ้นในจวนเฟิ่ง และบัดนี้มีคำกล่าวว่า “ข้าคือฮวาเหนียงชิงเฉิง” เผยแพร่สะพัดไปตามท้องถนนและตรอกซอกซอย แต่แม่นางเฟิ่งหาได้สนใจและส่งบุตรสาวของจวนหรงไปที่ซุ่นเทียนฝู่ มีคนบอกให้ดูแลนางอย่างดีทางซุ่นเทียนฝู่จะส่งบุตรสาวจวนหรงไปยังค่ายทหาร”
ขันทีใหญ่รู้ถึงสิ่งที่จักรพรรดิต้องการได้ยินดี เขาจึงเลือกสิ่งดูแย่ที่สุดของเฟิ่งชิงเฉินในการนำมากราบทูล ซึ่งจะทำให้จักรพรรดิมีความสุข หากจักรพรรดิมีความสุข ทุกอย่างก็ว่าง่าย
“บุตรสาวของตระกูลหรง? ใครเป็นคนพานางออกมา?” จักรพรรดิกล่าวด้วยความสนใจอย่างมาก แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะจัดการกับเรื่องนี้ได้ทันเวลา แต่ชื่อเสียงของเฟิ่งชิงเฉินก็เสียหายไปแล้ว แม้ไม่ใช่วิธีการสูงส่งอันใด แต่ก็มีประโยชน์มากสำหรับสตรี
“องค์หญิงอันผิงพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีก้มศีรษะลง เป็นเพราะว่าเรื่องนี้องค์หญิงอันผิงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เขาจึงจงใจนำเรื่องนี้มาแจ้งให้จักรพรรดิทราบ
“อันผิง? นางกำลังจะแต่งงานกับเป่ยหลิงในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลินี้แล้ว ยังกระทำตัววุ่นวายอยู่อีก” เมื่อได้ยินเช่นนี้ จักรพรรดิก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
องค์จักรพรรดิยังคงรู้สึกไม่สบายใจที่ธิดาอันเป็นที่รักผู้นี้กำลังจะแต่งงานกับเป่ยหลิง ดังนั้น……
“จงไปหาเหรัญญิกชั้นในของข้าและเลือกของมีค่าส่งไปให้อันผิง เพื่อที่นางจะได้เตรียมตัวออกเรือนอย่างสงบสุข” จักรพรรดิไม่ได้ตั้งใจจะลงโทษอันผิง กลับกัน เขาต้องการปลอบโยนนาง
จักรพรรดิมีความโกรธอันไม่มีที่จะแสดงออกมาได้ การแต่งงานกับเป่ยหลิงนับว่าเป็นฝีมือของเสด็จอาเก้า หากไม่สามารถระบายความแค้นต่อเสด็จอาเก้าได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงระบายความแค้นต่อเฟิ่งชิงเฉิน
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท นอกจากนี้ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่บ่าวไม่รู้ว่าควรมิควรกล่าว” ขันทีแตะไปที่เงินในกระเป๋าของเขาแล้วคิดกับตัวเองว่าเจ้าเมืองเย่เฉิงนั้นใจกว้างจริง และเห็นแก่เงินทอง แน่นอนว่าเขาจะต้องหยิบยกเรื่องดีๆ ของอีกฝ่ายมาพูดต่อหน้าฝ่าบาท
“ยังมีอีกหรือ? ในวันที่เฟิ่งชิงเฉินขึ้นบ้านใหม่ องค์รัชทายาทเดินทางไปด้วยมิใช่หรือ? ใครจะกล้าสร้างปัญหาขึ้นหากมีองค์รัชทายาท?” v’8Nจักรพรรดิเริ่มไม่พอใจองค์รัชทายาทมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่บัดนี้ยังหาเหตุผลอันเหมาะสมไม่ได้ เมื่อใดที่มีเหตุผลเพียงพอแล้ว จักรพรรดิคงไม่ลังเลที่จะถอดถอนตำแหน่งเขา และแต่งตั้งองค์รัชทายาทขึ้นอีกคนหนึ่ง
ขันทีใหญ่คุกเข่าลงต่อหน้าแทบ เท้าของเขาอ่อนแรงลง หลังจากมองขึ้นไปพิจารณาถึงใบหน้าของจักรพรรดิอย่างถี่ถ้วน เขาก็แน่ใจว่าองค์จักรพรรดิไม่โกรธ เขา จึงกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “ทูลฝ่าบาท ในวันนั้นคุณชายเย่เย่ได้นำโลงศพสองโลงแบกเข้าไปในจวนเฟิ่ง ว่ากันว่ามีกระดูกของแม่ทัพเฟิ่งและฮูหยินเฟิ่งเก็บรักษาไว้ในนั้น กระดูกของฮูหยินเฟิ่งกลายเป็นกระดูกสีขาวโพลนมีเพียงจี้หยกเท่านั้นที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นกระดูกของฮูหยินเฟิ่ง”
“กระดูกของเฟิ่งจ้านและลู่อี่โม่? กระดูกของเฟิ่งจ้านมิได้ถูกม้าศึกเหยียบย่ำเป็นโคลนไปแล้วหรือ? ลู่อี่โม่มิได้ตกลงมาจากหน้าผา กระดูกของนางจึงหายไปแล้วหรือ? กระดูกของพวกเขาไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร?” จักรพรรดิตบโต๊ะด้วยความโกรธ
กล้าหลอกแม้กระทั่งจักรพรรดิ ไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?
“ฝ่าบาท ทรงระงับความโกรธก่อนพ่ะย่ะค่ะฝ่าพระบาท” ขันทีไม่กล้าที่จะแก้ตัว เขาจึงรีบก้มศีรษะอ้อนวอนขอความเมตตา
ฝ่าบาทของข้า ข้ามิได้จะปิดบังสิ่งใดจากท่าน นอกจากนี้ จะว่าไปหากพบร่างของแม่ทัพเฟิ่งจริงในครานั้น ท่านคงจะไม่ยอมรับ เป็นการดีกว่าหากว่าหาไม่พบ
องค์จักรพรรดิสงบความโกรธของตนลง แต่รูปร่างหน้าตาของเฟิ่งจ้านทำให้เขานึกถึงความผิดพลาดที่เคยทำในอดีต ไม่สิ…… จักรพรรดิไม่ทำผิดพลาด คนอื่นต่างหากที่ทำผิด เขาได้ฆ่าคนเหล่านั้นไปหมดแล้ว ผู้ที่ทำผิดเหล่านั้นได้ใช้ชีวิตในการชดใช้ให้แก่เฟิ่งจ้านและนายทหารทั้งสามหมื่นนายไปแล้ว
หลังจากครุ่นคิดอีกครั้ง อารมณ์ของจักรพรรดิก็สงบลง เขาลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “เป็นสิ่งที่ดีที่เย่เย่พบกระดูกของบิดามารดาเฟิ่งชิงเฉิน แล้วอย่างไรเล่า? ยังคงเกิดเรื่องไม่น่ายินดีขึ้นอีกหรือ?”
ขันทีก้าวไปข้างหน้ายืนอยู่ข้างกายองค์จักรพรรดิ เขายกมือขึ้นเพื่อประคองจักรพรรดิ
“ฝ่าบาท นี่เป็นสิ่งที่ดี แต่เฟิ่งชิงเฉินมีนิสัยเจ้าเล่ห์ อาศัยการสนับสนุนจากเสด็จอาเก้าและคุณชายใหญ่ นางเย่อหยิ่งยิ่งนัก คุณชายเย่นำกระดูกไปให้ถึงที่บ้าน เฟิ่งชิงเฉินไม่เพียงจะไม่ขอบคุณเขา นางยังโกรธและขู่ว่าจะขับไล่คุณชายเย่ออกไป และคนอื่นๆ ที่เข้าร่วมงานเลี้ยงก็ถูกนางขับไล่ออกไปด้วย”
ขันทีกล่าวได้น่าฟังยิ่ง เขาไม่ได้โกหก เขาแค่เดินผ่านไปและจดจ่อกับประเด็นสำคัญได้เท่านี้ ซึ่งความสามารถเหล่านี้เขาฝึกฝนมันมาจากในวัง
“อืม สตรีตัวน้อยคนนี้ยังเด็กและโง่เขลานัก นางเย่อหยิ่งเสียจริง เจ้ากลับไปบอกเจ้าเมืองเย่เฉิงเถิดว่าข้ารู้เรื่องนี้แล้ว” จักรพรรดิได้ยินว่าเฟิ่งชิงเฉินขับไล่คนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงออกไป เขาก็รู้สึกอารมณ์ดี
นี่แสดงให้เห็นว่าเสด็จอาเก้าตัดสินใจผิดที่จะให้เฟิ่งชิงเฉินจัดการเรื่องราวเหล่านี้ สตรีมีแนวโน้มที่จะมีอารมณ์แปรปรวนมากยิ่ง เฟิ่งชิงเฉินไม่คิดว่ามันจะเป็นประโยชน์สักน้อย ในการที่ขับไล่ผู้คนออกไปจากนั้นตามขอโทษ ช่างไร้เดียงสาเสียจริง!
“ฝ่าบาทกล่าวได้ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ สตรีคนนี้มีอารมณ์ดุเดือด ทำให้ผู้คนขุ่นเคืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฝ่าบาท วันนี้จะเสด็จไปที่วังของนางสนมใด?” ขันทีแตะไปที่ถุงเงินอีกครั้งด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
เขาชื่นชอบนายหญิงใหม่ที่เข้ามาในวัง เพราะสตรีผู้ที่เข้ามาในวังได้ล้วนเป็นคนฉลาด
“เจ้าเฒ่านี่ ทำไมหรือ? เงินของเย่เฉิงยังไม่เพียงพอ เจ้ายังต้องการเงินจากวังหลังอีกหรือ? บอกข้ามาว่าเย่เฉิงให้เงินเจ้าเท่าไรเพื่อแลกกับความพยายามของเจ้าเช่นนี้ ส่วนเจ้านายของเจ้าในวังหลังนั้นให้เงินเจ้าจำนวนเท่าไร?” จักรพรรดิรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น ทันทีที่เขาได้ยินคำเหล่านั้น แต่เมื่อฟังจากน้ำเสียงแล้วก็หาได้โกรธเคืองแต่อย่างใด มองดูแล้วจักรพรรดิคงจะยอมรับการกระทำเหล่านั้น
ในพระราชวังจะมีคนบริสุทธิ์ไร้เดียงสาได้อย่างไรกัน จักรพรรดิมีความสุขที่ได้เห็นนางสนมและองค์ชายต่อสู้กันเอง เพราะหากทุกคนไม่ต่อสู้ กลับสามัคคีกันแน่นแฟ้น ตัวเขาซึ่งเป็นจักรพรรดิคงจะไร้ซึ่งความหมาย
ขันทีรู้ว่าจักรพรรดิไม่ได้โกรธแต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังทำหน้าหวาดหวั่นตอบว่า “ทูลฝ่าบาท ทรงเข้าใจผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะกล้ารับของจากพวกนางได้อย่างไร บรรดาสนมที่หวังจะรู้ข่าวความเคลื่อนไหวของฝ่าบาท กระหม่อมหาได้ใส่ใจพวกนางแม้แต่น้อย”
ขันทีใหญ่ตะโกนออกมาว่าถูกเข้าใจผิด ภายใต้ดวงตาที่เฉียบแหลมของจักรพรรดิ เขาก้มศีรษะลงและกล่าวอย่างหวาดกลัว “แค่กๆ ……ฝ่าบาทเป็นผู้มีความคิดล้ำเลิศ ไม่มีสิ่งใดรอดพ้นสายตาของฝ่าบาทได้ ทูลฝ่าบาท เจ้าเมืองเย่เฉิงมอบเงินให้กระหม่อมหนึ่งหมื่นตำลึง แล้วให้กระหม่อมทูลฝ่าบาทว่าเกิดเรื่องใดขึ้นในวันนั้น คุณชายเย่แม้นดูเหมือนทำสิ่งที่เลวร้าย แต่ก็ด้วยเจตนาดี เขาอยากจะใช้โอกาสนี้ขอบคุณแม่นางเฟิ่งที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ แต่หารู้ไม่ว่า……แม่นางเฟิ่งไม่เพียงแต่ไม่รับน้ำใจนี้ ซ้ำยังโกรธแค้นคุณชายเย่อีกด้วย
เจ้าเมืองเย่เฉิงไม่กลัวว่าแม่นางเฟิ่งจะขุ่นเคือง แต่กังวลเพียงว่าองค์จักรพรรดิจะถูกหลอกคิดว่าเขาเป็นคนที่ไม่รู้จักตอบแทนบุญคุณคน เจ้าเมืองเย่เฉิงไม่กล้าผิดบังความจริงนี้ จึงได้ให้กระหม่อมทูลออกไป
ในวันนั้นมีคนมากมายที่ไปที่จวนเฟิ่งและคนมากมายเหล่านั้นสามารถพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่คุณชายเย่กล่าวออกมาเป็นความจริง ในวันนั้น เจ้าเฟิ่งไม่เพียงแต่ขับไล่คุณชายออกไป แต่ยังขู่ว่าจะเอาคุณชายเย่ไปโยนให้งูกิน
คุณชายเย่จดจำบุญคุณในการช่วยชีวิตของแม่นางเฟิ่งได้ดี และไม่สนใจว่าผู้กระทำความผิดจะจากไป ในวันนั้น องค์รัชทายาทซีหลิงเทียนเล่ยและองค์ชายหนานหลิงจิ่นฝานต่างก็อยู่ที่นั่น ทั้งสองยังได้เอ่ยชมว่าสุราในจวนเฟิ่งรสดีกว่าสุราในราชวังเสียอีก”
อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าผู้มีความสามารถระดับสูง? สิ่งที่ดีที่สุดในโลกนี้ล้วนอยู่ในพระราชวัง สิ่งที่ดีที่สุดมีไว้ให้องค์จักรพรรดิเท่านั้น ประโยคที่ว่า “สุราในจวนเฟิ่งรสดีกว่าสุราในวังเสียอีก” เพียงพอแล้วที่จะทำให้จักรพรรดิโกรธเคืองและเสียหน้าอย่างมาก
การฆ่าคนโดยไม่ให้เห็นเลือดเป็นวิธีที่เก่งกาจที่สุด