นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 661 ความจริง เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกผิดหวัง
คำพูดของหนานหลิงจิ่นฝานและซีหลิงเทียนเหล่ยนั้น มีพลังยิ่งนัก หากว่าคำพูดเช่นนี้เป็นคำพูดของขุนนางภายในตงหลิงเอ่ยออกมาละก็ นับว่าเป็นเรื่องเล็ก หากแต่ทั้งสองคนนี้ กลับเป็นราชวงศ์ของแคว้นอื่นที่เอ่ยออกมา ฝ่าบาทย่อมรู้สึกอับอายยิ่งนัก อีกทั้งยังเป็นเรื่องขายหน้าที่ถูกเผยแพร่ออกไปนอกแคว้นให้ได้รับฟังกันอีกด้วย
หากผู้ใดไม่รู้ ย่อมต้องคิดว่าจักรพรรดิแห่งตงหลิงตระหนี่ยิ่งนัก สิ่งของดี ๆ มิยินยอมนำออกมาต้อนรับองค์ชายจากหนานหลิงและซีหลิง ทว่า เขาที่เป็นองค์จักรพรรดิของแว่นแคว้นหาได้มีสุราชั้นดีของจวนเฟิ่งอยู่ในมือไม่
ถึงแม้ว่าฉากหน้า ฝ่าบาทจะมิได้เอ่ยอันใดออกมา หากแต่ขันทีที่อยู่ข้างกายพลันรับรู้ได้ถึงใบหูที่ขยับเป็นอย่างดี นี่คือสัญญาณเตือนความกรุ่นโกรธขององค์จักรพรรดิ ของที่อยู่ภายในจวนเฟิ่งชิงเฉิน กลับดีกว่าขององค์จักรพรรดิ นี่นับได้ว่าเป็นโทษหมิ่นประมาท หากฝ่าบาทมิรู้สึกโมโหในเรื่องนี้ เขาจะนับได้ว่าเป็นจักรพรรดิของแว่นแคว้นไปได้อย่างไร
เขาที่เป็นเพียงข้ารับใช้ ย่อมเข้าใจว่าคำพูดใดไม่ควรเอ่ย คำพูดใดควรกล่าวออกไป ขอเพียงแค่รู้จักประจบสอพลอเพียงเล็กน้อยก็พอแล้ว นี่นับได้ว่าเขาคู่ควรกับเงินห้าหมื่นตำลึงที่ท่านเจ้าเมืองเย่เฉิงมอบให้เช่นกัน
ใช่ มันคือห้าหมื่นตำลึง จักรพรรดิมีความปราดเปรื่ยงฉลาดเฉลียว ทว่าข้ารับใช้ที่ติดตามย่อมต้องมีความเฉลียวฉลาดตาม นั่นหาใช่คนไม่ ฝ่าบาทชื่นชอบที่จะได้เป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง ฉลาดเฉลียวแน่วแน่ หากว่าพวกเขาเผลอโผล่มือโผล่เท้าตนเองออกไปเมื่อใด เพื่อให้ฝ่าบาท “พบเห็น” ข้ารับใช้ที่ไม่มีความโลภมากอยากได้ ฝ่าบาทก็ไม่กล้าใช้เช่นเดียวกัน
ขันทีมิได้เอ่ยอันใดออกมามาก เพียงแค่เดินเข้าไปเพื่อช่วยประคององค์จักรพรรดิเดินไปที่วังหลัง มีสาวงามมากมายเข้าใหม่ถึงเพียงนี้ ฝ่าบาทจะไม่เสด็จไปลิ้มลองนำชาค้างปีได้อย่างไรกัน
เมื่อจักรพรรดิเดินไปได้เพียงสองก้าว ก็ค่อย ๆ สงบสติอารมณ์โกรธของตนลงไป ถึงแม้ว่าเขาที่เป็นองค์จักรพรรดิจะไม่พอใจเฟิ่งชิงเฉินมากเพียงใด ก็มิอาจเปิดเผยผ่านทางสีหน้าออกมาได้ “สามารถได้รับความชื่นชมจากองค์ชายทั้งสองนั้น ดูเหมือนว่าสุราในเรือนจวนเฟิ่งคงจะมิแย่นัก กลับไปเอามาสักสองไห เจิ้นเองก็อยากจะลิ้มลองเช่นกัน ว่าสุราที่มีรสชาติดีกว่าสุราในวังหลวงจะมีรสชาติเช่นไร”
คำพูดนี้หมายความว่า ฝ่าบาทต้องการที่จะลิ้มลองสุราจากจวนเฟิ่ง เพื่อจะได้ตัดสินในภายหลังว่า คำพูดของซีหลิงเทียนเหล่ยเป็นความจริงหรือไม่ โดยเฉพาะการทำขึ้นมาได้อย่างไรนั้น หาใช่เรื่องที่ฝ่าบาทเช่นเขาจะต้องกังวลใจ
“นู๋ไฉจะไปจัดเตรียมให้เดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” จวนเฟิ่งหาใช่พระราชวังไม่ การจะไปเอาสุราเพียงสองไห นับว่าง่ายดายยิ่งนัก ขันทีข้างกายราวกับรับรู้ได้ถึงความโชคร้ายของเฟิ่งชิงเฉินได้ในทันที
ฝ่าบาทพลันพยักหน้าเล็ก ๆ ด้วยความพอใจ การจะจัดการกับเฟิ่งชิงเฉินนับได้ว่าเป็นเรื่องเล็ก ตัวการหลักที่ต้องจัดการย่อมต้องเป็นเสด็จอาเก้า “น้องเก้าของเจิ้น ยังไม่รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินเจอกระดูกของบิดามารดาของตนเองแล้วเป็นแน่ กลับไปให้คนไปส่งข่าวบอกกับเขาเสีย นี่นับว่าเป็นข่าวดีอย่างหนึ่งเช่นกัน”
ความหมายขององค์จักรพรรดิก็คือ ให้ขันทีนำข่าวที่น่าสงสารของเฟิ่งชิงเฉิน ไปรายงานเพื่อยั่วโมโหเสด็จอาเก้าเสีย
ยามที่มนุษย์กำลังสูญเสียสติสัมปชัญญะของตนเองไปนั้น ย่อมสามารถทำเรื่องที่เสียสติไปได้ง่ายดาย ในยามนี้เสด็จอาเก้ามิได้ขยับตัวไปทำสิ่งใดมากนัก เขาย่อมไม่อาจหาโอกาสลงมือได้ การที่จะยั่วโมโหเสด็จอาเก้าได้นั้น เฟิ่งชิงเฉินนับว่าเป็นหมากที่จะนำมาใช้การได้ดีเลยทีเดียว
“ฝ่าบาททรงปราดเปรื่องยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีพลันแย้มยิ้มออกมาราวกับดอกเบญชมาศกำลังแย้มบานก็ไม่ปาน
การรายงานสถานการณ์ของเฟิ่งชิงเฉินให้เสด็จอาเก้าได้ฟังนั้น มิจำเป็นต้องเพิ่มเติมใส่ไฟลงไปไม่ เพียงแค่พูดไปตามความจริงเท่านั้น เพียงแค่บอกเล่าเรื่องราวที่เฟิ่งชิงเฉินร่ำไห้ราวกับสายเลือดลงไป เพียงแค่นี้ก็มากพอที่จะทำให้เสด็จอาเก้ารู้สึกปวดใจได้แล้ว
เขาได้ยินมาว่า ภายใต้อากาศที่หนาวเหน็บในคืนวันนั้น เฟิ่งชิงเฉินเอาแต่ก้มหน้าคุกเข่าอยู่แต่หน้าโรงหยก ทั่วร่างพลันแข็งทื่อไปด้วยความเย็นยะเยือก เมื่อนึกถึงความโศกเศร้าที่เฟิ่งชิงเฉินต้องพบเจอนั้น แม้แต่มนุษย์เช่นเขา เพียงแค่ได้ยิน ก็ยังอดรู้สึกที่จะเศร้าใจมิได้เช่นกัน
เด็กน้อยที่น่าสงสาร!
แน่นอนว่า เป็นช่วงเวลาที่รู้สึกสงสารเพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น เฟิ่งชิงเฉินจะเป็นหรือตายหาได้เกี่ยวข้องอันใดกับเขาไม่ เมื่อมาถึงทางแยกของวังหลังแล้ว ขันทีทำหน้าที่ของตนเองได้ดียิ่งนัก ก็พลันเอ่ยความคิดเห็นของเขาออกมา “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ผินเหนียงเหนียงไม่กี่วันมานี้ พระนางแกะท่ารำระบำชนิดใหม่ขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ พลางกล่าวว่าต้องการให้ฝ่าบาทไปชื่นชม เหลียงเหนียงเหนียงแต่งกลอนหนึ่งบทพ่ะย่ะค่ะ ต้องการเชิญฝ่าบาทไปช่วยออกความคิดเห็น เจินเฟยเหนียงเหนียงกำลังคิดค้นขนมสูตรใหม่ขึ้นมา เรียกว่าไป๋เหยียนเฟย แม้แต่ฮองเฮายังเอ่ยปากชมว่าอร่อยยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ”
บทพูดด้านหน้า เป็นเพียงบทเสริมเท่านั้น ส่วนสำคัญคือด้านหลัง ฝ่าบาทที่ได้ยินเช่นนั้น พระองค์ย่อมเสด็จไปหาเจินเฟยเหนียงเหนียงอยู่แล้ว เมื่อพระสนมเอกเซี่ยได้ยินเช่นนั้น พระนางก็กำผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือจนยับยู่ยี่ไปในทันที
เจินเฟยเป็นสตรีที่พระสนมเอกเซี่ยคอยผลักดันขึ้นมา การที่เจินเฟยได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทย่อมเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากนางที่ท้องใหญ่ขึ้นมาเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่อาจทำการปรนนิบัติพระองค์ได้ จึงทำได้แต่เพียงนั่งร้อนใจอยู่เช่นนี้ พร้อมกับมองฝ่าบาทที่กำลังหลงละเลิงกับนางสนมที่เพิ่งเข้าใหม่ ภายในใจของสนมเอกเซี่ยรู้สึกเกลียดชังยิ่งนัก
“เหนียงเหนียงเพคะ นางสนมเล็ก ๆ พวกรั้น พระองค์อย่าไปใส่ใจเลยเพคะ ขอเพียงแค่พระองค์คลอดองค์ชายน้อยออกมาอย่างปลอดภัยก็พอแล้ว เช่นนี้พระองค์ก็มิต้องไปเกรงกลัวสิ่งใดอีก” มามาที่อยู่เคียงข้างพระสนมเอกเซี่ยพลันกล่าวเตือนสติพระสนมในทันที
การคัดเลือกนางสนมเช่นนี้ หากต้องการที่จะเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทนั้น ย่อมต้องคลอดบุตรที่เป็นเชื้อสายเลือดมังกรออกมา นี่ถือว่าเป็นวิธีที่จะได้รับความโปรดปรานอย่างดีที่สุดแล้ว
ไม่ผิด นี่ถือว่าเป็นเครื่องมือ ในสายตาของเหล่าสตรีในวังหลังแล้ว เด็ก ๆ เป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้แย่งชิงความโปรดปรานกันเท่านั้น เป็นวิธีและเครื่องมือที่ใช้แย่งชิงอำนาจ หากมิเป็นเช่นนี้ พวกนางจะยินยอมเสี่ยงเสียโอกาสของตนเอง ในการไม่ปรนนิบัติฝ่าบาทไปถึงปีครึ่งไปได้อย่างไร
พระสนมเอกเซี่ยได้แต่ถอนหายใจออกมา พร้อมกับพยักหน้าลงอย่างเห็นด้วย “เจ้าพูดไม่ผิด เปิ่นกงเพียงแค่คลอดองค์ชายออกมาอย่างปลอดภัยก็พอ ต้องคลอดองค์ชายออกมาและยังต้องมีเฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินจะยังตายตอนนี้ไม่ได้ เจ้าส่งข่าวไปเตือนเฟิ่งชิงเฉินเสียหน่อย ว่าองค์รัชทายาทชมเชยสุราจวนเฟิ่งว่าเลิศรส ฝ่าบาทต้องการที่จะลิ้มลองเช่นกัน ให้นางเตรียมตัวเอาไว้ให้ดี ”
การเตรียมตัวนั้น หาใช่เป็นการมอบสุราชั้นดีให้ฝ่าบาทไม่ แต่เป็นการ เตรียมตัวหนีออกจากอันตรายที่กำลังย่างกรายเข้ามา เฟิ่งชิงเฉินที่ฉลาดเฉลียวถึงเพียงนั้น จะไม่รู้เรื่องได้อย่างไร
“นู๋ปี๋เข้าใจแล้วเพคะ” มามาที่ก้มหน้าทำความเคารพนั้น ไม่มีผู้ใดทันเห็นสายตาระยิบระยับของนางไปได้
หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินผลักเปลี่ยนเป็นอาภรณ์ที่สะอาดสะอ้านแล้ว นางก็เกล้าผมด้วยความเรียบง่าย พร้อมกับนั่งกินข้าวอยู่บนโต๊ะอาหารเพียงคนเดียวด้วยความโดดเดี่ยว นางกินเพียงแค่อาหารหนึ่งสำรับกับสามซุปจนหมด จากนั้น นางจึงเดินไปที่ศาลาบรรพชน เพื่อชุดธูปสามดอกเพื่อเคารพบิดามารดาของตน จากนั้นก็นั่งอยู่ที่นั่นเพียงครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยกลับไปที่ห้องตำราของตนเอง เพื่อให้ทงจือและทงเหยารายงานข้อมูลที่รวบรวมมาได้ให้นางฟัง
เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่านางควรจะอ่านข้อมูลเร็ว ๆ ได้อย่างไร ทว่า นางอยากจะอ่านข้อมูลที่ได้รับมาทีละตัวจนครบ เมื่อนางอ่านจบแล้ว ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาเอ่อคลอเต็มใบหน้าไปในทันที
นางรู้ดีว่าความจริงที่นางได้รับมา มันจะต้องทำให้นางไม่อาจทนได้เป็นแน่ แต่นางมิคิดเลยว่า ความจริงที่นางได้รับมันจะโหดร้ายเสียจนนางไม่อาจทำใจได้เช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินกำกระดาษสีเหลืองที่อยู่ในมือจนยับยู่ยี่ หยาดน้ำตาที่ไหลลงมา ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดนิ่ง อีกทั้งเสียงร่ำไห้ของนางยังไม่เล็ดลอดออกมาให้ได้ยินอีกด้วย
ทงจือทงเหยาที่ได้เห็นภาพเช่นนั้น รู้สึกปวดใจยิ่งนัก การร่ำไห้ที่ไร้เสียงออกมาเช่นนี้นับว่าเป็นความเจ็บปวดที่สุดแล้ว พวกนางยินยอมให้เฟิ่งชิงเฉินร่ำไห้เสียงดัง เฉกเช่นวันที่คุกเข่าอยู่หน้าโรงหยกเสียดีกว่า การที่ร่ำไห้ที่ไร้เสียงออกมาเช่นนี้
ทงจือและทงเหยาต่างก็อยากจะเข้าไปปลอบใจนาง แต่ทว่า ในยามนี้ไม่ว่าจะพูดเช่นไรออกไป ก็ไร้ประโยชน์ทั้งนั้น ไม่ว่าพวกนางจะเข้าไปปลอบใจเช่นไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่เกิดขึ้นไปได้
คู่สามีภรรยาที่อยู่เบื้องสูงนั้น ทำลายครอบครัวของคุณหนูของนางไปทั้งชีวิต ถ้าหากมิใช่พวกเขาสองคนนั้น คุณหนูของพวกนางย่อมต้องเป็นที่รักใคร่และหวงแหนของท่านแม่ทัพเฟิ่งกับฮูหยินเฟิ่งไปแล้ว อีกทั้งยังสามารถใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายโดยไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งใด ๆ อีกด้วย
“ข้อมูลพวกนี้มาจากที่ใดกัน?” เฟิ่งชิงเฉินพลันหลับตาลง พร้อมกับเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้หยาดน้ำตาของนาง ไหลคืนกลับไป
นางหาได้ถามว่าข้อมูลเหล่านี้เชื่อถือได้หรือไม่ เพียงเอ่ยถามว่าได้แหล่งข่าวมาจากที่ใด การที่พวกมันกล้านำข้อมูลมาให้นางเช่นนี้ นั่นหมายความว่าข้อมูลเหล่านี้ถูกทำการค้นหามาก่อนแล้ว
“ซิ่ว พวกเราได้ส่งคนออกไปหาข้อมูล ในคราก่อนเพียงรับรู้แค่ว่าข้อมูลชิ้นนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับวังขององค์รัชทายาทเท่านั้นเพคะ หากแต่ว่ามันโดนผู้ที่อยู่ในเงามืดโยกย้ายไปเท่าใดแล้ว พวกเรามิอาจตามหาได้” เพียงช่วงเวลาในยามกลางวัน พวกนางก็สามารถสืบค้นข้อมูลพวกนี้มาได้ นั่นเป็นเพราะองค์รัชทายาทไม่มีความระมัดระวัง อีกทั้งยังมิได้จัดการข้อมูลให้สะอาดเอี่ยมเลยด้วย มิเช่นนั้น พวกนางคงไม่อาจค้นข้อมูลพวกนี้เจอได้ง่ายดายเช่นนี้
“องค์รัชทายาท? เขายังมิคิดยอมแพ้อีกหรือ ถึงคิดจะใช้ร่างกายที่อ่อนแอเช่นนั้นลงไปร่วมการต่อสู็ด้วย แม้ว่าข้าจะสามารถทำตามในสิ่งที่เขาปราถนาได้แล้วอย่างไร ล้มล้างฮองเฮาไปแล้วอย่างไร เขาที่ไม่มีตระกูลมารดาคอยสนับสนุนเช่นนั้น ย่อมไม่อาจนั่งอยู่บนตำแหน่งองค์รัชทายาทได้อย่างมั่นคงได้ เทียบกันกับตงหลิงจื่อลั่วแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่มีมารดาคอยสนับสนุน ถึงอย่างไรก็ย่อมเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทอยู่วันยังค่ำ” เฟิ่งชิงเฉินค่อย ๆ ปล่อยมือออกมา พร้อมกับโยนกระดาษในมือทิ้งไป
“ไป พวกเจ้าไปนำตัวมามาผู้นั้นมาให้ข้า ข้ามีเรื่องจะต้องถามนาง” ไม่เพียงแต่เจอข้อมูลแล้ว แม้แต่พยานในที่เกิดเหตุก็ยังหาพบ เฟิ่งชิงเฉินมิอาจบอกได้เลยว่า องค์รัชทายาทตั้งใจ !
ทว่า หัวใจของนางได้ถูกเหล่าราชวงศ์ตงหลิงทำลายไปหมดแล้ว ไม่ว่าองค์รัชทายาทจะมีเป้าหมายเช่นไร นางหาได้คิดใส่ใจไม่