นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 664 เกลี้ยกล่อม ตระกูลหยุนช้าไปหนึ่งก้าว
เป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉินโกรธมาก เมื่อรู้ซึ้งถึงการตายของท่านแม่ทัพเฟิ่งและฮูหยินเฟิ่ง เขาไม่ควรคิดบัญชีกับเฟิ่งชิงเฉินที่เป็นเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินในสภาพที่ไร้สตินั้น นับว่ารับมือยากเอาการ ทั้งยังหยิ่งยโสเสียจนเขาปวดหัว
เสด็จอาเก้าค่อย ๆถอนหายใจออกมา พร้อมทั้งเอ่ยเกลี้ยกล่อมอย่างเต็มที่ “ชิงเฉิน เจ้าอย่าเป็นเช่นนี้ นี่มิเหมือนกับเจ้าเลยแม้แต่น้อย หากเจ้าระเบิดจักรพรรดิกับฮองเฮาลงไปนั้น บิดามารดาของเจ้าก็ไม่อาจฟื้นกลับมาได้เช่นกัน เจ้าเองก็จะถูกจับเข้าคุกอีกด้วย ความรู้สึกที่ทำให้ญาติใกล้ชิดเป็นทุกข์ แต่ศัตรูเป็นสุขเช่นนี้ พวกเราไม่ควรทำ หากเจ้าคิดจะแก้แค้น มิควรนำวิธีเช่นนี้มาแก้แค้น”
เอาเถอะ เขายอมรับที่เฟิ่งชิงเฉินพูดมาไม่ผิดนัก เฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ นางนับว่าใจเย็นมากพอแล้ว หากนางมิสนสิ่งใดและวิ่งเข้าใส่เลยนั้น เกรงว่าหากนางระเบิดจักรพรรดิและฮองเฮาเข้าจริง ๆ เรื่องคงยุ่งยากกว่านี้เป็นแน่
เมื่อถึงเวลานั้น ตงหลิงจะต้องตกอยู่ในความโกลาหลอย่างแน่นอน อีกทั้งสามแคว้นย่อมต้องใช้โอกาสอันดีเช่นนี้ ในการยกทัพเข้ามาประชิดเป็นแน่ เมื่อถึงเวลานั้น ผู้ที่ต้องรับเคราะห์มากที่สุดย่อมต้องเป็นเหล่าราษฎรของตงหลิง รวมไปถึงเฟิ่งชิงเฉินด้วยเช่นกัน
ความปวดใจของเสด็จอาเก้าและความผิดหวังของเสด็จอาเก้านั้น เฟิ่งชิงเฉินล้วนแต่มองเห็นทุกอย่าง แต่นางไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนเองในยามนี้ได้ เพียงแค่เห็นเสด็จอาเก้าเดินเข้ามา นางก็อดที่จะสาดคำพูดร้ายกาจออกไปไม่ได้เช่นกัน
นางเกลียดตัวเองที่เป็นเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตนเองไม่มีสิทธิจะทำเช่นนี้ แต่ตนเองกลับเอาแต่ใจตนเองยิ่งนัก ทั้งยังมิสนใจสิ่งใดอีกด้วย
เฟิ่งชิงเฉินค่อย ๆ หลับตาลง พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ พร้อมกับบอกกับตนเองว่า เช่นนี้ไม่ได้ ถึงแม้ว่าเสด็จอาเก้าจะชอบนางแล้วอย่างไร โปรดปรานนางแล้วอย่างไร แต่พระองค์ก็ไม่อาจทนนิสัยที่ไร้เหตุผลของนางได้เช่นกัน
“ฟู่ เสด็จอาเก้า ท่านพูดมิผิด ข้าจะระเบิดจักรพรรดิกับฮองเฮาแล้วเป็นเช่นไร ในเมื่อบิดามารดาของข้าก็ไม่อาจฟื้นคืนมาได้อยู่ดี” ถึงแม้ว่านางจะระเบิดคนทั้งโลกแล้วอย่างไร นางก็ไม่อาจได้รับความรักของบิดามารดาของตนเองอีกแล้ว
นางเฟิ่งชิงเฉิน ถูกกำหนดให้ไม่มีสายสัมพันธ์ของบิดามารดาเช่นนี้ ในจุดนี้นั้น นางไม่อาจยอมรับโชคชะตาของตนเองที่เป็นเช่นนี้ได้ แม้ว่าตนเองจะไม่อยากได้ก็ตาม
“แค่เจ้าเข้าใจถึงจุดนี้ได้ก็พอแล้ว ชิงเฉิน เรื่องนี้พวกเราต้องคิดมันอย่างรอบคอบ อีกทั้งยังใจร้อนกับเรื่องนี้ไม่ได้อีกด้วย เจ้ามิควรหุนหันหลันแล่นไป สุดท้าย เปิ่นหวางรับปากเจ้า เปิ่นหวางจะไม่ทำให้ท่านแม่ทัพเฟิ่งและฮูหยินเฟิ่งต้องตายเปล่าอย่างแน่นอน”
เมื่อเสด็จอาเก้าเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินมีท่าทีสงบลงแล้วนั้น เขาพลันรู้สึกโล่งอกออกมาในทันที พร้อมทั้งค่อย ๆ แตะไปที่อาภรณ์ของเฟิ่งชิงเฉิน เมื่อเห็นว่านางมิได้มีท่าทีปฏิเสธนั้น สีหน้าก็บังเกิดความปิติยินดีไปในทันที พร้อมทั้งค่อย ๆ มีความกล้า ที่จะลากเฟิ่งชิงเฉินเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของตนเอง
เฟิ่งชิงเฉินขัดขืนไปครู่หนึ่ง ทว่านางก็มิได้ผละกายออกมา ทั้งยังมิได้เคลื่อนไหวอันใดอีกด้วย พร้อมกับยืนพิงไหล่ของเสด็จอาเก้าอยู่เช่นนั้น พร้อมทั้งปล่อยให้เสด็จอาเก้าลูบหลังนางอยู่เช่นนั้น
“ชิงเฉิน ข้ารู้ว่าใจของเจ้ารู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก ข้ารู้ว่าเจ้ามีความเกลียดชังมากเพียงใด หากเจ้ารู้สึกไม่สบายใจนัก เจ้าก็ด่าข้า ตีข้าเสีย แต่ทว่า อย่า อย่าได้คิดทำร้ายตนเองเลย เจ้าที่เป็นเช่นนี้ทำให้ข้ารู้สึกปวดใจยิ่งนัก เจ้ารู้ว่าในยามนี้มิได้มีอิสระมากนัก ชิงเฉิน เจ้ามิต้องกังวลไป”
ในยามนี้เขาถูกฝ่าบาทจับตามองทุกฝีก้าว การจะออกมาสักครั้งหนึ่งนับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถ้าหากว่าเฟิ่งชิงเฉินมิอาจใจเย็นลงได้นั้น เขาที่ต้องอยู่ในคุกนั้น ย่อมร้อนใจจนเป็นบ้าอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น หากเขาทำสิ่งใดไร้สติลงไปละก็ ย่อมเป็นเรื่องง่าย ๆ ต่อองค์จักรพรรดิแล้ว
ที่จริงแล้ว การมีคนมาเอาอกเอาใจนับว่ารู้สึกดียิ่งนัก ยามที่นางรู้สึกเศร้าใจนั้น การมีคนผู้หนึ่งให้พึ่งพาได้ นับว่าโชคดียิ่งนัก เมื่ออยู่ต่อหน้าเสด็จอาเก้านั้น นางมิต้องทำตัวเป็นเข้มแข็ง ไม่ต้องมีความกล้าหาญ นางเป็นเพียงแค่เฟิ่งชิงเฉินเท่านั้น
เฟิ่งชิงเฉินกำหมัด พร้อมกับทุบไปที่เสด็จอาเก้าเบา ๆ “ด่าท่าน ด่าท่านไปแล้วมีประโยชน์อันใดกัน ด่าท่าน บิดามารดาข้าก็ไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้ ด่าท่าน มันก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงในสิ่งที่พี่ชายท่านและพี่สะใภ้ท่านทำร้ายบิดามารดาข้าไปได้
ตงหลิงจิ่ว ข้าจะบอกท่าน ข้าเกลียดท่าน เหตุใดท่านต้องเป็นคนสกุลตงหลิงด้วย เหตุใดท่านต้องไปเป็นพี่น้องกับคนบ้าเช่นนั้นด้วย เหตุใดท่านถึงดีกับข้าถึงเพียงนี้ เหตุใด”
เมื่อมาถึงตอนท้ายนั้น จากที่นางเริ่มตีเบา ๆ ก็เริ่มลงน้ำหนักมือขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ดังปักปักปัก เฟิ่งชิงเฉินหาได้ควบคุมน้ำหนักตนเองไม่ หมัดทุกครั้งที่ปล่อยออกไปนั้น ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เท้าของนางก็กระทืบลงไปที่ขาเสด็จอาเก้าเช่นกัน
ในเมื่อเสด็จอาเก้ากล่าวว่าให้นางตีนางด่าได้เช่นนี้ หากนางไม่คว้าเอาโอกาสนี้เอาไว้ก็กระไรอยู่ ต่อไปนางอาจจะไม่มีโอกาสเช่นนี้แล้วก็เป็นได้ อีกทั้งการที่นางตีเสด็จอาเก้าเช่นนี้นับว่าเบาแล้ว
ซู้ด
เสด็จอาเก้ารู้สึกเจ็บไปทั่วตัว หากเฟิ่งชิงเฉินยังทุบตีเขาเช่นนี้ต่อไป วันพรุ่งเขาลุกขึ้นจากเตียงมาเมื่อใด เกรงว่าคงได้เกิดอาการปวดร้าวไปทั่วตัวเป็นแน่ แต่ในเมื่อเขาเป็นคนพูดออกไปแล้วนั้น เขาก็ไม่กล้าขัดขืนเฟิ่งชิงเฉินได้เช่นกัน เพียงแค่ให้เฟิ่งชิงเฉินได้ระบายอารมณ์ออกมาเท่านั้น
รอจนเฟิ่งชิงเฉินทุบตีจนเหนื่อยแล้ว นางถึงได้หยุดมือ เสด็จอาเก้าจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หาได้สนใจร่างกายของตนเองที่ได้รับบาดเจ็บไม่ เพียงกอดเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้แน่น ๆ “ชิงเฉิน ข้ารู้ว่าเจ้าโมโหมากนัก เจ้าเจ็บใจ เจ้าเศร้าใจ แต่ทว่า พวกมันเป็นอารมณ์ที่ไร้ประโยชน์ยิ่งนัก ไม่ว่าเจ้าจะรู้สึกเศร้าใจมากเพียงใด ก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงสิ่งใดได้ ในตอนนี้เจ้าก็ได้ด่า ได้ตีออกไปแล้ว เช่นนั้น พวกเรามาพูดคุยกันดีๆ ดีหรือไม่?”
“อื้ม” เฟิ่งชิงเฉินพลันส่งเสียงออกมา พร้อมกับกอดตอบเสด็จอาเก้าแน่น ๆ แล้วจึงจับเสื้อผ้าอาภรณ์เขาเอาไว้ เพื่อเช็ดคราบน้ำตากับขี้มูกของตนลงไป
ใครให้ท่านสกุลตงหลิง ใครให้พี่ชายและพี่สะใภ้ท่านทำร้ายบิดามารดาข้า ใครให้ท่านใจเย็น ใครให้ท่านหยิ่งผยอง ใครให้ท่าน หนีออกจากคุก
ในทุก ๆ ครั้งที่เฟิ่งชิงเฉินเช็ดหน้าเช็ดตานั้น ทำเอาเสด็จอาเก้ารู้สึกผิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย โดยเฉพาะยามที่เสด็จอาเก้ากอดนาง พร้อมกับพูดอะไรออกมานั้น นางหาได้ฟังเข้าหูไม่
หลังจากที่ตีด่าระบายอารมณ์กลับเสด็จอาเก้าแล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็ค่อย ๆ ใจเย็นลง
อย่างที่เสด็จอาเก้าบอก ไม่ว่านางจะรู้สึกเศร้าใจเพียงใด นางก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงไปได้ ไม่สู้นางเอาเวลาที่เศร้าโศกเสียใจนั้น มาคิดแผนการแก้แค้นเอาคืนไม่ดีกว่าหรือ
การระเบิดจักรพรรดิกับฮองเฮานั้น เป็นการกระทำที่ไร้ความคิดยิ่งนัก ฆ่าพวกเขาแล้ว ตงหลิงต้องตกอยู่ในความโกลาหลอย่างแน่นอน นางก็จักกลายเป็นศัตรูของคนในตงหลิง จักรพรรดิคนต่อไปของตงหลิง ก็จะฆ่านางเพื่อเป็นการแก้แค้นแทนองค์จักรพรรดิและฮองเฮาเช่นกัน
เอาเถอะ ในเมื่อศัตรูของนางเป็นถึงจักรพรรดิและฮองเฮาของแว่นแคว้นนั้น นางจะใจร้อนไปไม่ได้ นางต้องตั้งใจวางแผนแก้แค้นอย่างรอบคอบ
เสด็จอาเก้าพูดโน้มน้าวนางมากมาย นับว่าเป็นการทำลายสถิติของการที่พระองค์พูดมากที่สุดแล้ว แต่ทว่าเมื่อพูดไปพูดมา เสด็จอาเก้ากลับพบว่า
เฟิ่งชิงเฉินกำลังตกอยู่ในภวังค์
เสด็จอาเก้าโมโหยิ่งนัก เขาค้นพบแล้วว่า คืนนี้เฟิ่งชิงเฉินท้าทายขีดจำกัดความอดทนของเขามากไปแล้ว “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าได้ยินสิ่งที่เปิ่นหวางพูดไปหรือไม่?”
หากเฟิ่งชิงเฉินกล้าพูดว่าไม่ เขาจะจับนางมาตีสักที
“ฟัง” เฟิ่งชิงเฉินที่ตกอยู่ในภวังค์นั้น รีบร้อนตอบออกมาในทันที
“งั้นหรือ? เช่นนั้นเจ้าบอกกับเปิ่นหวางที เมื่อครู่เปิ่นหวางพูดอะไรไป?” ฟังจากเสียงของเฟิ่งชิงเฉิน เสด็จอาเก้าก็รู้ว่า เฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ใจเย็นลงแล้ว
ดีมาก ทีนี้ก็ได้เวลาคิดบัญชีเสียที!
พูดอะไรกัน?
บนหัวของเฟิ่งชิงเฉินในยามนี้มีแต่เครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด นางหาได้ฟังสิ่งใดเข้าหูไม่ แล้วนางจะไปได้ยินในสิ่งที่เสด็จอาเก้าพูดได้อย่างไร ในยามนี้ หากนางพูดไปตามตรงว่านางมัวแต่เหม่อลอยนั้น เสด็จอาเก้าคงเป็นบ้าไปแน่
หัวสมองของเฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ ประมวลอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งค้นหาว่า นางควรจะพูดสิ่งใดออกไปเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความสนใจจากเสด็จอาเก้าไปได้ จู่ ๆ นางก็คิดอย่างหนึ่งได้ขึ้นมา
“แค่กแค่ก เสด็จอาเก้าเพคะ ท่านรู้หรือไม่ว่า ไม่กี่วันมานี้ตระกูลหยุนส่งเทียบเชิญมาสู่ขอหม่อมฉัน?” เรื่องนี้ แม้ว่านางไม่พูดออกมา เสด็จอาเก้าคงรู้นานแล้วกระมัง การเคลื่อนไหวของตระกูลหยุนหาได้เล็กน้อยไม่
ขอแสดงความยินดี ที่เฟิ่งชิงเฉินสามารถเปลี่ยนหัวข้อเรื่องได้สำเร็จ เสด็จอาเก้ามิได้สนใจเรื่องเฟิ่งชิงเฉินที่เหม่อลอยเมื่อครู่ไปในทันที พร้อมกับใช้แรงโอบกอดนาง แล้วจึงเอ่ยถามด้วยท่าทีข่มขู่ด้วยว่า “ตระกูลหยุน? อะไรกัน เจ้าอยากแต่งเข้าตระกูลหยุนงั้นหรือ?”
มิคิดเลยว่า สายตาของตระกูลหยุนจะดีเช่นนี้ ถึงได้มามองเห็นสิ่งดี ๆ บนตัวของเฟิ่งชิงเฉินเสียได้ โดยไม่สนใจชื่อเสียงของนาง แต่น่าเสียดายที่ตระกูลหยุนช้าไปก้าวหนึ่ง เฟิ่งชิงเฉินเป็นของเขา