นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 669 รักษาไว้ไม่ได้
มีคนมาจากพระราชวัง?
ในวันที่หิมะตกหนักขนาดนี้ คนของพระราชวังจะมาที่นี่ทำไม?
“จะออกไปเดี๋ยวนี้” เฟิ่งชิงเฉินหันไปกล่าวขอโทษคุณชายหยวนซี จากนั้นเดินออกไปนอกลาน ทิ้งคุณชายหยวนซีไว้คนเดียวพร้อมกับอารมณ์โกรธของเขา
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้า……เป็นผู้หญิงที่เลือดเย็นเหลือเกิน”
แม้จะดุด่าไปสักแค่ไหนมันก็ไร้ประโยชน์ เนื่องจากเฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางได้ยิน คุณชายหยวนซีทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงแค่รอ เขาไม่สามารถไปแย่งคนของจักรพรรดิได้
คนของพระราชวังมาในตอนนี้ ไม่ได้มาเพื่อปลอบโยนเฟิ่งชิงเฉิน แต่มาเพื่อแจ้งเตือนเฟิ่งชิงเฉิน เรื่องที่กระดูกพ่อแม่ของเฟิ่งชิงเฉินถูกพบเจอ จักรพรรดิได้รับรู้แล้วอย่างแน่นอน ผ่านไปสามวันแล้ว การชี้นำของจักรพรรดิควรจะมาถึง เนื่องจากการตายของสองสามีภรรยาแห่งตระกูลเฟิ่ง พวกเขาสละชีวิตของตนเองเพื่อประเทศ
เหมือนอย่างที่คุณชายหยวนซีคิด จักรพรรดิได้กล่าวถึงเรื่องของพ่อแม่ของเฟิ่งชิงเฉิน แต่มันมีทั้งการปลอบใจและการแจ้งเตือน
จักรพรรดิยกย่องแม่ทัพเฟิ่งที่กล้าหาญและเก่งกาจในการต่อสู้ และเสียสละชีวิตเพื่อประเทศ เขายังยกย่องนางเฟิ่งสำหรับความชอบธรรมของนาง ซึ่งสามารถพูดได้ว่าเป็นเครื่องกำหนดทิศทางของสองสามีภรรยาตระกูลเฟิ่ง แจ้งเตือนเฟิ่งชิงเฉินว่าอย่าก่อเรื่อง จากนั้นมอบของบางอย่างเพื่อเป็นการปลอบใจเฟิ่งชิงเฉิน
เมื่อนึกถึงหญิงสาวที่อ่อนแอ ไม่มีประสบการณ์ในเรื่องของการจัดงามศพ จักรพรรดิจึงสั่งให้ทางการเข้ามาช่วยจัดพิธีศพของแม่ทัพเฟิ่งภรรยาของเขา ในตอนท้ายยังกล่าวอีกว่า การที่เย่เย่พบเจอกระดูกของแม่ทัพเฟิ่งและภรรยานั้นมีประโยชน์เป็นอย่างมาก เย่เย่ได้ร่างคำร้องในการเข้าร่วมงานพิธีศพของแม่ทัพเฟิ่งและภรรยา โดยจักรพรรดิได้อนุญาต และให้เสด็จอาเก้าสามารถเข้าร่วมงานพิธีได้ด้วย
“หม่อมฉันน้อมรับคำบัญชา!” เฟิ่งชิงเฉินก้มหน้า กัดฟันและพูดออกมา
นางรับรู้ถึงการปลอบโยนครั้งนี้ ไม่มีจักรพรรดิองค์ไหนเคยทำแบบนี้มาก่อน การที่แม่ทัพยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องจักรพรรดินั้นถือเป็นเรื่องที่ควรปฏิบัติ เขาไม่จำเป็นต้องละอายใจแต่อย่างใด เรื่องพวกนี้นางไม่พูด ความคิดของจักรพรรดิไม่ใช่สิ่งที่นางสามารถปรับเปลี่ยนได้ แต่……
ประโยคสุดท้ายทำให้เฟิ่งชิงเฉินต้องกัดฟันแน่น
ให้เย่เย่เข้าร่วมพิธีศพ จักรพรรดิทำเช่นนี้ คิดว่าจะสามารถลดความแค้นระหว่างนางกับเย่เย่ได้อย่างนั้นหรือ?
ฝันไปเถอะ!
นางไม่มีทางเชื่อว่าเย่เย่จะเต็มใจเข้าร่วมงานศพของพ่อแม่นาง คุกเข่าและก้มหัวต่อหน้าศพ
แฮ่มแฮ่ม เฟิ่งชิงเฉินเดาถูก เงื่อนไขสุดท้ายไม่ใช่สิ่งที่เย่เย่เป็นคนขอร้อง แต่เป็นสิ่งที่เจ้าเมืองเย่เฉิงเป็นคนขอมา
เจ้าเมืองเย่เฉิงฉลาดกว่าเย่เย่มาก เรื่องเย่เย่เหยียดหยามศพของพ่อแม่เฟิ่งชิงเฉิน ทำให้เมืองเย่เฉิงตนอยู่ในอันตราย สร้างความขุ่นเคืองให้กับตระกูลหวัง ตระกูลชุย เสด็จอาเก้าและเหล่าองค์รัชทายาท
ตอนนี้เมืองเย่เฉิงจะดื้อดึงต่อไปไม่ได้ จำเป็นต้องก้มหน้าทำดีต่อเฟิ่งชิงเฉิน ต้องทำให้ตงหลิงไม่ยกทัพมายังเมืองเย่เฉิง ดังนั้นเจ้าเมืองเย่เฉิงจึงขอร้องจักรพรรดิให้อนุญาตเย่เย่ได้เข้าร่วมพิธีศพของสามีภรรยาตระกูลเฟิ่ง คิดว่าคงจะสามารถลดไฟแค้นในใจของเฟิ่งชิงเฉินได้บ้าง ลดความคิดที่เลวร้ายต่อเมืองเย่เฉิง และเป็นเหตุผลไม่ให้ตงหลิงยกทัพออกมา
น่าเสียดาย ความคิดของเจ้าเมืองเย่เฉิงนั้นงดงาม แต่ความเป็นจริงนั้นโหดร้าย ทั้งสองฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือ ยังไม่ต้องพูดถึงเฟิ่งชิงเฉิน แค่เย่เย่ยังจัดการไม่ได้ด้วยซ้ำ เย่เย่เคยพูดไว้ว่า ต่อให้ตายก็ไม่มีทางก้มหัวต่อหน้าเฟิ่งชิงเฉิน เขาไม่ยอมเสียเกียรติให้คนผู้นี้
ฆ่าเขาดีกว่า!
วันนั้นเจ้าเมืองเย่เฉิงโกรธมาก หยิบเเส้ขึ้นมาฟาดหลายครั้ง
ไม่ยอมก้มหัวจนกว่าเมืองเย่เฉิงจะถูกทำลาย ถึงตอนนั้นจะยอมก้มหัวมันก็ไร้ซึ่งทางออก เจ้าเมืองเย่เฉิงเกลียดเหล็กที่ไม่สามารถตีขึ้นรูปได้ เขาฉลาดมาทั้งชีวิต แต่ทำไมถึงให้กำเนิดบุตรชายที่โง่ขนาดนี้ออกมาได้
ทั้งหมดเป็นเพราะซูหว่าน ทั้งหมดเป็นเพราะผู้หญิงของตระกูลซูผู้นั้น ก่อนหน้านี้ลูกชายของเขายังดีอยู่เลย แต่หลังจากที่ได้พบกับซูหว่านก็เปลี่ยนไปเหมือนกับคนไร้วิญญาณ ทำเรื่องอะไรไม่รอบคอบ ถูกใช้ประโยชน์โดยไม่รู้ตัว และคิดว่าตนเองกำลังได้รับผลประโยชน์อยู่
เจ้าเมืองเย่เฉิงยิ่งคิดยิ่งโกรธ ยิ่งตียิ่งหยุดไม่ได้……
เย่เย่ถูกตีจนมีสภาพน่าอนาถ ทั้งหมดมันไม่เกี่ยวอะไรกับเฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินรับราชโองการ ลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ซ่อนความโกรธ ท่าทางเหมือนได้รับการดูแล จากนั้นกล่าวชมเชยพระราชโองการของจักรพรรดิ และกล่าวชื่นชมขันที “ต้องลำบากฝ่าหิมะหนักมาถึงที่นี่ กงกงเข้าไปดื่มชาร้อนด้านในก่อนไหม”
“แม่นางไม่ต้องเกรงใจ” ขันทีกล่าวออกไปด้วยความเกรงใจ ใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นเจิดจรัสมากขึ้นเรื่อย ๆ แม่นางเฟิ่งผู้นี้เป็นคนใจกว้างไม่เสียแรงเลยที่เขาฝ่าหิมะหนักมาในครั้งนี้
เมื่อเรื่องสำคัญจบลงแล้ว ขันทีก็ยังไม่ลืมอีกเรื่องหนึ่งที่ได้รับคำสั่งมา พูดออกมาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “แม่นางเฟิ่ง ได้ยินมาว่าในจวนของแม่นางมีสุราที่มีเอกลักษณ์อยู่ ให้ข้านำกลับไปพระราชวังสักสองไหได้ไหม”
“สุราในจวนของข้า?” ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินเต็มไปด้วยความแปลกใจ ใบหน้าเองก็แสดงให้เห็นถึงความไม่เข้าใจ
จักรพรรดิกำลังคิดอะไรอยู่ ในพระราชวังจะขาดสุราได้อย่างไร ส่งคนมาที่นี่เพื่อขอสุราของนางงั้นหรือ?
“ใช่ มันคือสุราในจวนของแม่นางเฟิ่ง แม่นางเฟิ่งรีบเลิกสุราที่ดีที่สุดออกมา จักรพรรดิจะต้องชอบใจเป็นแน่ มันคงไม่ยากเกินไปสำหรับแม่นางเฟิ่ง” ขันทีนำแผ่นเงินออกมา ยิ้มพร้อมกับกล่าวคำพูด
โดยทั่วไป สิ่งของที่ถูกจักรพรรดินำไป สิ่งตอบแทนที่ได้จะงดงามเป็นอย่างมาก เขากำลังบอกกับเฟิ่งชิงเฉินว่าอย่าปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือ
“ขอบคุณกงกงมากที่ช่วยแนะนำ เฟิ่งชิงเฉินจะรีบไปหยิบสุราที่ดีที่สุดเดี๋ยวนี้” เฟิ่งชิงเฉินกลอกตา แอบรู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างผิดปกติ
แม้ว่าสุราจากตระกูลของนางจะดีกว่าสุราทั่วไป แต่ก็ไม่มีทางไปถึงหูของจักรพรรดิได้ แต่ว่า……จักรพรรดิเอ่ยปากออกมาแล้ว นางไม่สามารถบอกว่าไม่ยอมได้
เฟิ่งชิงเฉินหันไปใช้สายตากับทงเหยาและทงจือ ให้พวกนางตามตนเองไปยังเตาผลิตสุรา
หลังจากเดินไปได้ไม่กี่เก้าก็ไปชนเข้ากับองครักษ์คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าองครักษ์ผู้นั้นเข้ามาด้านในได้อย่างไร แต่หลังจากชนกันแล้วเฟิ่งชิงเฉินถอยหลังออกมาสองสามเก้า แต่นางก็ไม่ได้หันกลับมาและเดินต่อไปด้านหน้าด้วยความเร่งรีบ
เฟิ่งชิงเฉินตกใจ ตอนที่นางได้สติกลับมา ตอนนี้พบว่าในมือของนางมีกระดาษเพิ่มขึ้นมาหนึ่งแผ่น เฟิ่งชิงเฉินทำใจให้สงบ หันไปมองรอบๆ พบว่าไม่มีใครอยู่จึงเปิดอ่านกระดาษแผ่นนั้น ด้านในของมันเขียนว่า “องค์รัชทายาทเหล่ยได้ชื่นชมสุราของจวนเฟิ่งต่อหน้าจักรพรรดิ”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้……
เฟิ่งชิงเฉินขยำกระดาษในมือ เดินไปยังเตาเผาสุราราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
นับจำนวนสุราที่อยู่ในห้อง หลังจากพบว่ายังอยู่ครบ เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก หยิบสุราที่ยังไม่ได้เปิดออกมาสองไห จากนั้นก็หยิบไหขนาดเล็กออกมาอีกไหหนึ่ง จากนั้นก็เดินกลับไป
เฟิ่งชิงเฉินเดินกลับไปยังห้องโถงใหญ่ จากนั้นมอบสุราให้กับขันทีด้วยใบหน้าอันเคร่งขรึม สุราไหเล็กมอบให้กับขันที เพื่อแลกกับคำขอบคุณที่นางฝากไปกล่าวต่อหน้าจักรพรรดิ
ขันทีจากไปด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าพร้อมกล่าวชื่นชมเฟิ่งชิงเฉิน
เมื่อขันทีจากไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินก็หายไป ทงเหยาและทงจือไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เดินมาด้านหน้าพร้อมกับพูดว่า “นายหญิง?”
“อ่า……” เฟิ่งชิงเฉินส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อได้สติกลับคืนมา เห็นความกังวลในแววตาของสาวใช้ทั้งสอง “ข้าไม่เป็นไร ใช่แล้ว คุณชายหยวนซีล่ะ?”
นางแค่รู้สึกเหนื่อยเท่านั้น!
ยิ่งอันตรายก็ยิ่งต้องระมัดระวังให้มาก ตอนนี้นางเข้าใจคำกล่าวนี้แล้ว สุราเพียงไหเดียวสามารถทำได้ถึงขนาดนี้ แบบนี้ชีวิตจะอยู่ต่อไปอย่างไร
ที่เสด็จอาเก้าพูดมานั้นถูกต้อง นางจะต้องระมัดระวังให้มา จะทำเหมือนก่อนหน้านี้ไม่ได้ ห้ามเย่อหยิ่ง ใครร้ายมาก็อย่าร้ายกลับ
“คุณชายหยวนซีรอท่านอยู่ด้านหลัง” ทงเหยาและทงจือเห็นเฟิ่งชิงเฉินไม่พูดก็ไม่ได้ไล่ถามต่อไป หลายวันที่ผ่านมาเฟิ่งชิงเฉินเป็นแบบนี้อยู่ตลอด มันคือท่าทางของคนที่มีเรื่องให้คิดหนักในใจ
เสด็จอาเก้าพยักหน้า จากนั้นเดินไปหาคุณชายหยวนซี ทันทีที่คุณชายหยวนซีเห็นเฟิ่งชิงเฉินปรากฏตัวก็ถามออกมาว่า “คนของพระราชวังไปแล้วงั้นหรือ?”
“ไปแล้ว นำสุรากลับไปสองไห ใช่แล้ว คุณชายหยวนซี ท่านต้องการสุราหรือไม่ ข้าจะมอบสุราทั้งหมดในห้องให้กับท่าน เย็นนี้ท่านให้คนมาเอามันไปได้เลย” สุราที่เหลืออยู่ในมือของนางเหล่านั้น มีไว้ก็มีแต่จะสร้างปัญหา แน่นอนว่านางไม่มีความสามารถในการปกป้อง จะมอบให้จักรพรรดิก็มีแต่เสียเปรียบ แบบนี้มอบให้กับคุณชายหยวนซียังดีเสียกว่า
ฮ่าฮ่าฮ่า…มันเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับโลกใบนี้ ใครใช้ให้นางมีสุราชั้นเลิศอยู่ในครอบครอง แต่กลับไม่มีกำลังในการปกป้องมันไว้
เฟิ่งชิงเฉินแสดงรอยยิ้มออกมา แต่คุณชายหยวนซีเข้าใจถึงความขมขื่นที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มของเฟิ่งชิงเฉิน……