นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 67 ตอบแทนบุญคุณ
รถม้าขับออกจากเมืองหลวงและมุ่งหน้าไปทางเหนือตลอดทาง
เมื่อนั่งอยู่ในรถ เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกไม่สบายใจ มือของนางเอื้อมมือเข้าไปในแขนเสื้อโดยสัญชาตญาณ นางจับด้ามปืนที่เย็นเฉียบเอาไว้ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้นางรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้
ทันใดนั้น ม้าที่ก็ร้องเสียงดัง จากนั้นตามด้วยเสียงดัง “ตู้ม…” และรถม้าก็กระตุกอย่างรุนแรง
รถม้าเอียงไปทางซ้าย เฟิ่งชิงเฉินล้มอยู่ในรถม้า เฟิ่งชิงเฉินมิได้ตื่นตระหนกเหมือนกับว่านางคาดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น นางดึงปืนออกมาอย่างใจเย็น “เกิดอะไรขึ้น?”
“คุณหนูเฟิ่งมิต้องกังวล รถกระแทกเข้ากับหินแล้วล้อหลุดออกมา ซ่อมสักครู่ก็จะสามารถใช้งานได้” องครักษ์ตอบด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับรู้สึกถึงความเย็นชาของเขา
เฟิ่งชิงเฉินนั่งติดกับผนังรถม้าอย่างแน่น และทำให้ลมหายใจของอ่อนลง
ฟู่… เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจและบอกตัวเองให้ใจเย็น ปฏิบัติราวกับว่าที่นี่คือสนามรบ และคนที่อยู่ตรงหน้าคือศัตรู และเป็นเรื่องปกติที่ตนจะฆ่าพวกเขา
เพี๊ยะ… เฟิ่งชิงเฉินดึงฝาครอบนิรภัยออก และวางนิ้วชี้บนไกปืน ตราบใดที่อีกฝ่ายตรงเข้ามา นางจะสามารถยิงอีกฝ่ายให้ล้มได้ทันที
พวกเขามีสี่คน นางมีกระสุนสิบหกนัด นางมีโอกาสชนะสูงมาก
เฟิ่งชิงเฉินรอเวลาที่จู่โจมที่เหมาะสมที่สุดอย่างเงียบๆ
ในขณะนี้ บนเงานร่างของนางไม่มีเงาของหมอที่คอยช่วยชีวิตคนตายและผู้บาดเจ็บอยู่ มีแต่กลิ่นอายอันเยือกเย็นบนร่างกายของนาง ซึ่งทำให้นางเป็นเหมือนนักฆ่าหรือมือปืนเสียมากกว่า
เฟิ่งชิงเฉินจำได้ว่าครั้งแรกที่นางยกปืนขึ้นเพื่อฆ่าคน คือตอนที่นางอยู่ในป่าลึกของยูนนาน นางถือปืนและยิงคนค้ายาที่คิดจะข่มขืนนาง
ตอนนั้น รุ่นพี่ของนางอยู่กับนางเช่นกัน หลังจบเรื่องแล้วรุ่นพี่เคยยิ้มและแซวนางว่า เดิมหลังจากกลับจากยูนนานแล้วอยากสารภาพรักกับเจ้า แต่เมื่อเห็นภาพนั้นแล้ว เขาก็ไม่มีความกล้าที่จะพูดมันออกมา รุ่นพี่กล่าวว่า หากนางไม่เป็นหมอก็สามารถไปเป็นนักฆ่าได้
เพราะในขณะที่นางยกปืนขึ้นเพื่อฆ่าใคร นางโหดเหี้ยมและเด็ดขาดอย่างมาก และยิงนัดเดียวเข้าที่หน้าผากของเขา ไม่มีความลังเลหรือกังวลใดๆ
อันที่จริง รุ่นพี่พูดถูก นางไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดเมื่อจะฆ่าใคร
ผู้คนไม่รุกรานข้า ข้าก็จะไม่รุกรานใคร
ความเป็นและความตายนั้นอยู่บนเส้นด้าย
ถ้าศัตรูและข้า คนใดคนหนึ่งจะต้องตายไป เช่นนั้นนางจะเลือกที่จะฆ่าอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา มีทั้งหน้าหลังและซ้ายขวา
“ช่างให้เกียรติกับความสามารถของข้าจริงๆ” เฟิ่งชิงเฉินเยาะเย้ยในใจ เอื้อมมือซ้ายของนางออกไปและคว้าหลังคารถเอาไว้ ในขณะที่นางกำลังจะกระโดดขึ้น…
เสียงลมพัดขึ้น
ฟู่……
เฟิ่งชิงเฉินได้กลิ่นคาวเลือด
ตู้ม…
องครักษ์ทั้งสี่ล้มลง ไม่มีแม้กระทั่งเสียงกรีดร้อง
“ใคร?”
เฟิ่งชิงเฉินผลักประตูรถออก พิงอยู่ข้างรถม้า มือทั้งสองของนางถือปืนเอาไว้แต่ไม่ยื่นมันออกไป ของแบบนี้อย่างให้ใครเห็นเป็นการดีที่สุด
“เฟิ่งชิงเฉิน”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น
หลานจิ่วชิง?
เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางวางแขนที่ยกสูงเอาไว้ลง และเก็บปืนกลับไป แล้วเปิดประตูกระโดดลงไป
“หลานจิ่วชิง เจ้ามาได้อย่างไร?” น้ำเสียงของนางดูสบายใจเล็กน้อย ไม่เห็นความหวาดกลัวใดๆ
หลานจิ่วชิงสวมชุดดำยืนอยู่กลางถนน แววตาที่เขามองดูเฟิ่งชิงเฉินมีความชื่นชมเล็กน้อย เขากล่าวด้วยความเย็นว่า “หากมิใช่เพราะข้า คนที่ตายก็คงเป็นเจ้า”
“อาจจะเป็นเช่นนั้น”
เฟิ่งชิงเฉินเหลือบมององครักษ์ทั้งสี่ที่ล้มลง และแววตาของนางดูประหลาดใจ
ดาบผนึกคอของพวกเขาและไม่มีเลือดหยดแม้แต่หยดเดียว มันต้องเร็วขนาดไหนกันนะ
“เจ้า…ฝีมือยอดเยี่ยมอย่างมาก”
“ใช่ ข้ายอดเยี่ยมอย่างมาก และตอนนี้ ข้าช่วยเจ้าเอาไว้ เจ้าติดหนี้บุญคุณข้า” หลานจิ่วชิงไม่ถ่อมตนแม้แต่น้อย ความชื่นชมและตะลึงในแววตาของเฟิ่งชิงเฉินทำให้เขารู้สึกดีอย่างมาก
“แต่ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าช่วย และข้าก็เคยช่วยเจ้าไว้เหมือนกันมิใช่รึ?” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
นางรู้ว่าชายตรงหน้าตนมิได้คิดร้าย
“ช่วยข้างั้นรึ? เรื่องครั้งก่อนเราได้แคล้วกันแล้ว และตอนนี้ข้าช่วยเจ้าเอาไว้ ทำไมรึ? เจ้าจะไม่ตอบแทนบุญคุณที่ข้าช่วยชีวิตเจ้าหรือ?”
ดาบของหลานจิ่วชิงชี้ไปที่เฟิ่งชิงเฉิน
มีท่าทีว่า หากนางกล้าปฏิเสธ เขาจะฆ่านางเสีย
“เจ้าต้องการให้ข้าตอบแทนบุญคุณนี้อย่างไร? แลกด้วยกายข้าหรือ?” เมื่อถูกชี้ด้วยดาบ เฟิ่งชิงเฉินไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย
หลานจิ่วชิงไม่มีทางฆ่านาง หากว่าจะฆ่านางเขาก็จะไม่ช่วยนาง
“แลกด้วยกายเจ้างั้นรึ? เจ้าไม่เหมาะสมกับข้า ข้าจะให้เจ้าไปช่วยชีวิตคนคนหนึ่งแทนข้า”
ถ้าศัตรูและข้า คนใดคนหนึ่งจะต้องตายไป เช่นนั้นนางจะเลือกที่จะฆ่าอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
“เจ้าต้องการให้ข้าตอบแทนบุญคุณนี้อย่างไร? แลกด้วยกายข้าหรือ?” เมื่อถูกชี้ด้วยดาบ เฟิ่งชิงเฉินไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย
ไม่เหมาะสมงั้นรึ?
เป็นความจริงที่ตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินไม่เหมาะสมกับใครทั้งนั้น
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มอย่างเฉยเมยและถามว่า “ช่วยชีวิตคน? โรคกระไรหรือ?”
เฟิ่งชิงเฉินสนใจเพียงเรื่องนี้ สำหรับคนที่นางจะช่วยเป็นใครนั้น นางมิได้ครุ่นคิด
นางเป็นเพียงศัลยแพทย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่ใช่ว่าสามารถรักษาได้ทุกโรค นางเก่งด้านการผ่าตัดหัวใจและสมอง แต่จริงๆ แล้วนางไม่ถนัดเรื่องอายุรศาสตร์เท่าไหร่
“เจ้าจะรู้เองเมื่อเจ้าได้เจอเขา” หลานจิ่วชิงวางดาบลง
“แต่ข้าสามารถรักษาแค่อาการบาดเจ็บภายนอกเท่านั้น” เฟิ่งชิงเฉินมองดูหลานจิ่วชิงด้วยความมึนงงและอธิบายให้เขาทราบ “ข้าไม่ใช่หมอรอบด้าน และไม่ใช่เทพเจ้า หากว่าเป็นโรคมะเร็งข้าจะรักษาอย่างไร!”
กุก กุดุก กุดุก… นางยังกล่าวไม่จบ เสียกีบม้าก็ดังมาจากข้างหลัง และเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ
“มีคนมาที่นี่?” ปฏิกิริยาแรกของเฟิ่งชิงเฉินมิใช่หยิบปืน แต่นางมองไปที่หลานจิ่วชิง และบอกเขาด้วยแววตาว่า หากจะให้ข้าช่วยคนของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้าก่อน
ฟังจากเสียงกีบม้าแล้ว คนที่มามีจำนวนมาก ปืนเล็กๆของนางไม่พอใช้แน่นอน
“เป็นคนที่มาช่วยชีวิตเจ้า เฟิ่งชิงเฉิน จำคำข้าในวันนี้เอาไว้ เจ้าติดหนี้บุญคุณข้า และเจ้าต้องช่วยคนนั้นแทนข้า” หลานจิ่วชิงไม่ให้โอกาสเฟิ่งชิงเฉินได้ปฏิเสธเขาเก็บดาบและใช้วิชาตัวเบากระโดดหายไปต่อหน้าเฟิ่งชิงเฉิน ไปในอีกทิศทาง
“นี่ ทำแบบนี้มิได้ ข้ามิได้ขอให้เจ้าช่วยข้า เจ้าไม่มาข้าก็จัดการเองได้” เฟิ่งชิงเฉินตะโกนอย่างโกรธเคือง และในเวลานี้อวี่เหวินหยวนฮั่วก็มาถึงพร้อมกับทหารส่วนตัวของเขา
เขาสามารถเห็นรถม้าของเฟิ่งชิงเฉินจอดอยู่กลางถนนมาแต่ไกล
แย่แล้ว ข้ามาช้าไป ดูเหมือนว่าคุณหนูเฟิ่งจะถูกจัดการแล้ว
อวี่เหวินหยวนฮั่วเร่งความเร็ว พุ่งเข้ามาข้างหน้า
“หยู…” อวี่เหวินหยวนฮั่วกระโดดลงจากหลังม้า เมื่อลงถึงพื้นเขาเห็นนาง “คุณหนูเฟิ่ง เจ้าไม่เป็นรึ?”
เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่อย่างสง่า ราวกับว่านางกำลังรอใคร นางดูไม่มีความหวาดกลัวหรือตื่นตระหนกใดๆเลย
“แม่ทัพอวี่เหวิน?” เฟิ่งชิงเฉินตกใจเช่นกัน นางไม่คิดว่าอวี่เหวินหยวนฮั่วจะปรากฏตัวที่นี่ เพราะนางและอวี่เหวินหยวนฮั่วไม่เคยมีมิตรสัมพันธ์ไมตรีต่อกันมาก่อน
ในขณะที่เฟิ่งชิงเฉินไม่เข้าใจ คนอื่นๆก็มาถึงเช่นกัน หวังชีกระโดดลงจากหลังม้า “เฟิ่งชิงเฉินเจ้าไม่เป็นกระไรใช่หรือไม่?”
ที่แท้แล้วแม่ทัพอวี่เหวินได้การขอร้องจากตระกูลหวัง มิน่าล่ะ
เฟิ่งชิงเฉินส่ายหัวให้หวังชี “ข้าไม่เป็นกระไร คุณชายเจ็ดมิต้องกังวล โชคดีที่พวกเจ้ามา โจรนั่นได้ยินเสียงกีบม้าจึงวิ่งหนีไป แต่องครักษ์ทั้งสี่นี่สิ พวกเขาเสียสละเพื่อปกป้องชิงเฉิน ชิงเฉินเศร้าใจอย่างมาก ”
พูดเสร็จนางก็ทำท่าทีเช็ดน้ำตาทั้งที่ไม่มีน้ำตา
หลานจิ่วชิงโชคร้าย กลายเป็นโจรซะงั้น
เอ่อ… องครักษ์ทั้งสี่นี้เสียชีวิตเพราะปกป้องเฟิ่งชิงเฉิน
อวี่เหวินหยวนฮั่วตะลึงอยู่อย่างนั้น
ความสามารถในการกล่าวเท็จของเฟิ่งชิงเฉินช่างเก่งเสียจริง แม้ว่าองครักษ์ทั้งสี่จะตายไปแล้ว แต่ว่าปลายดาบของพวกเขาชี้ไปที่ตัวรถม้าอย่างเห็นได้ชัด
แต่… แต่เขากลับไม่สามารถเปิดเผยความจริงได้
หลังจากที่อยู่กับเฟิ่งชิงเฉินมานาน ฝีมือการพูดเท็จของหวังชีก็เก่งขึ้น เมื่อได้ยินเฟิ่งชิงเฉินกล่าวเช่นนี้ เขาเร่งกล่าวต่อว่า “ชิงเฉินอย่าได้กังวล ตระกูลหวังจะตอบแทนครอบครัวของพวกเขาอย่างดี”
นี่ถือว่าเป็นการจบเรื่องสำหรับการตายขององครักษ์ทั้งสี่นี้
แคะแคะ… อวี่เหวินหยวนฮั่ว ไอเบาๆ เตือนหวังชีและเฟิ่งชิงเฉินว่าอย่าปฏิบัติต่อเขาเหมือนเขาไม่มีตัวตน
เมื่อดูจากบาดแผลของคนสี่คนนี้แล้ว เป็นฝีมือของผู้ที่มีฝีมือยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน เฟิ่งชิงเฉินไม่มีความสามารถนั้น เขาอยากทราบว่า ใครช่วยเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้
“ทำไมรึ? แม่ทัพอวี่เหวินมีข้อสรุปอื่นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินมองดูอวี่เหวินหยวนฮั่วด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของนางดูเหมือนจะพูดได้
นางไม่เชื่อว่าอวี่เหวินหยวนฮั่วจะพูดว่าองครักษ์ทั้งสี่นี้เสียชีวิตเพราะต้องการฆ่านาง
อวี่เหวินหยวนฮั่วยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่มี คุณหนูเฟิ่งกล่าวถูกต้องแล้ว องครักษ์ทั้งสี่นี้เสียชีวิตเพราะต้องการช่วยชีวิตคุณหนูเฟิ่ง หากไม่มีเรื่องอื่น ข้าจะนำร่างขององครักษ์ทั้งสี่นี้กลับไปรายงาน”
ตอนนี้เขาไม่สามารถถามแล้วว่าเป็นฝีมือของใคร
“แม่ทัพอวี่เหวินเชิญตามสบายได้เลย แต่…องครักษ์ที่คุ้มกันข้าเสียชีวิตแล้ว รถม้าก็พังแล้วเช่นกัน ข้าขอให้แม่ทัพอวี่เหวินส่งชิงเฉินไปที่เรือนนอกพระราชวังได้หรือไม่? ชิงเฉินต้องเร่งไปร่วมงานเทศกาลดอกท้อขององค์หญิงอันผิง”
หวังชีรู้มาตลอดว่า ฝีมือการประจบของเฟิ่งชิงเฉินนั้นยอดเยี่ยม แต่เมื่อได้ยินที่นางกล่าว เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ
เฟิ่งชิงเฉินช่างกล้าเสียจริง!
อย่างไรก็ตาม มีการคุ้มกันของแม่ทัพอวี่เหวิน ตลอดทางนางปลอดภัยอย่างมาก จนเมื่อไปถึงเรือนนอกพระราชวังนางได้เครื่องรางคุ้มครองชีวิตมาด้วย
แต่เงื่อนไขคืออวี่เหวินหยวนฮั่วจะยอมหรือไม่?
บทที่ 066 ความเคลื่อนไหว
บทที่ 068 กลยุทธ์