นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 672 ป่าวประกาศ เสด็จอาเก้าคือความหวังของทุกคน
แน่นอนการป่าวประกาศเรื่องราวในกลุ่มประชาชนที่ได้รับภัยธรรมชาติถือเป็นหนึ่งวิธี พึ่งพาวิธีนี้อย่างเดียวคงไม่ไหว ประสิทธิภาพน้อยเกินไป การสร้างวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง จำเป็นต้องเผยแพร่ออกไปในทุกด้าน
พวกเขาจำเป็นต้องเพิ่มกำลังในการกระจายข่าวสาร ใช้วิธีการมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เสด็จอาเก้ากลายเป็นวีรบุรุษ ให้ประชาชนจำนวนมากที่สุดได้รู้ว่าเสด็จอาเก้าอยู่เบื้องหลังเรื่องราวความช่วยเหลือโดยไม่ประสงค์ออกมานาม
คงจะดีที่สุดถ้าหากสามารถทำอะไรอย่างเช่นการสร้างปาฏิหาริย์ได้ ถ้าหากครั้งเดียวไม่พอก็ทำให้มากขึ้น เรื่องความดีที่เสด็จอาเก้าเคยทำ ถ้าเรื่องพวกนี้ยังไม่มีใครรับรู้……ก็ให้ประชาชนคนธรรมดาออกมาพูดว่าพวกเขาเคยได้รับความช่วยเหลือจากผู้มีฐานะสูง แต่ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร เมื่อได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ ที่แท้คนซึ่งเคยช่วยเหลือข้าก็คือเสด็จอาเก้าเช่นเดียวกัน
ยิ่งความจริงละเอียดมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งดีมากเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่ แต่เป็นเรื่องเล็กน้อยที่คนส่วนมากเขาไม่ทำกันจะดีกว่า สรุปก็คือ ทำให้เสด็จอาเก้ากลายเป็นพระเจ้า ทำดีด้วยความเห็นอกเห็นใจ และไม่อยากแสดงตนให้เป็นที่รู้จักของประชาชน หรือก็คือการทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้านี่มันฉลาดเหลือเกิน” ซูเหวินชิงได้ยินความคิดเกี่ยวกับวิธีการต่างๆของเฟิ่งชิงเฉิน ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาทันที
เฟิ่งชิงเฉินต้องการทำให้เสด็จอาเก้ากลายเป็นคนที่ใจเย็นและอบอุ่น ทำทุกอย่างเพื่อประชาชนไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ยอมรับความไม่เป็นธรรม ถูกคนต่อว่าก็ไม่อธิบาย แค่เคลื่อนไหวอยู่เงียบๆเพื่อให้ประชาชนในใต้หล้ามีความสุขก็เพียงพอ
ด้วยเหตุนี้ ข้อบกพร่องทั้งหมดของเสด็จอาเก้าจะกลายเป็นข้อดี ทุกอย่างของเขา ทุกคนก็จะเข้าใจโดยปริยายว่ามันคือการทำเพื่อประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
“แผนการของข้าเรียกว่า แผนการสร้างพระเจ้า เป็นไง ไม่เลวใช่ไหม?” แผนการแบบนี้ถูกคนใช้กันอย่างยุ่งเหยิง สร้างความเป็นศีลธรรม จากนั้นให้ประชาชนทำการเรียนรู้
“ยอดเยี่ยม แต่มันไม่เกินไปหน่อยงั้นหรือ?” ซูเหวินชิงกังวลว่ามันอาจจะมากเกินไป ข้ามหน้าข้ามตาจักรพรรดิ ทำให้จักรพรรดิไม่ชอบสิ่งนี้
“เจ้ากังวลเกี่ยวกับจักรพรรดิอยู่ใช่หรือไม่? มันก็จริง เสด็จอาเก้าได้ใจประชาชนมากเกินไป จักรพรรดิจะต้องรู้สึกไม่สบายใจ สิ่งนี้เป็นปัญหาสำหรับเสด็จอาเก้า จักรพรรดิไม่ยอมปล่อยให้เสด็จอาเก้ามีชีวิตอยู่แบบนี้ไปได้แน่นอน”
แต่หากไม่ใช้ชื่อเสียงของประชาชน การที่จะทำให้จักรพรรดิปล่อยตัวเสด็จอาเก้าออกมาถือเป็นเรื่องยาก การร่วมมือกันของตระกูลหวังและตระกูลชุยเพื่อเพิ่มความกดดันให้จักรพรรดิ ทำได้เพียงหยุดการเคลื่อนไหวของจักรพรรดิที่ต้องการทำต่อเสด็จอาเก้าได้ในระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น ครั้งนี้จักรพรรดิจริงจังมาก เขาไม่ยอมปล่อยเสด็จอาเก้า ตอนนี้เป็นเพราะแรงกดดัน เขาจึงยังไม่สังหารเสด็จอาเก้า” ไหล่ของเฟิ่งชิงเฉินตก พูดออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง
นางลืมไปเลย เสด็จอาเก้าไม่ใช่คนธรรมดา เขาคือองค์ชาย คนที่มีสิทธิ์ที่จะก้าวไปนั่งบนตำแหน่งนั้น บารมีที่สูงส่งเกินไปไม่เป็นผลดีสำหรับเขา
อีกอย่าง ตอนนี้ก็ไม่เวลาที่จะมาสร้างแบบอย่างของศีลธรรม
“เรื่องนี้ขอให้ข้าคิดอีกที บางทีอาจจะเป็นไปได้” จู่ๆซูเหวินชิงก็เงียบไป
แผนการนี้ของเฟิ่งชิงเฉิน สำหรับองค์ชายและชินอ๋องทั่วไปแล้วมันอาจจะดูเกินไป แต่สำหรับเสด็จอาเก้าแล้วมันเป็นแผนการที่ยอดเยี่ยม
เสด็จอาเก้าไม่ควรจำกัดอยู่แค่ในตงหลิง มันเป็นเรื่องดีที่เสด็จอาเก้าจะเอาชนะในของประชาชน ถึงต่อให้ซูเหวินชิงจะไม่มีสมองเขาก็สามารถเข้าใจได้ว่าอะไรคือการครองใจของปวงชนในใต้หล้า เมื่อเสด็จอาเก้าปรากฏตัวออกมา ถ้าหากได้ความแข็งแกร่งในด้านนี้ ทุกอย่างก็จะเป็นเรื่องง่าย
“เป็นไปได้จริงอย่างนั้นหรือ? จะทำให้เสด็จอาเก้าลำบากหรือเปล่า?” ครั้งนี้เป็นเสด็จอาเก้าเองที่รู้สึกไม่สบายใจ เนื่องจากนางไม่ใช่คนเดิมที่ไม่รู้จักอำนาจกษัตริย์ แต่นางเกรงว่าเมื่อเสด็จอาเก้าทำเช่นนั้น มันอาจจะไปคุกคามการปกครองของกษัตริย์
“นี่ถือเป็นโอกาส” ซูเหวินชิงกล่าวอย่างนุ่มนวล
เรื่องบางเรื่องเขาก็ไม่สามารถอธิบายออกมาให้เข้าใจมากได้ ขาทำได้เพียงให้คำแนะนำที่คลุมเครือ แต่เขาคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางนึกถึง คนธรรมดาไม่มีทางเชื่อมความสัมพันธ์ของทั้งสองเข้าด้วยกันได้
เนื่องจากเรื่องนี้มันใหญ่เกินไป
“จริงอยู่ว่านี่มันคือโอกาส เนื่องจากภัยธรรมชาติไม่ใช่สิ่งที่สามารถเกิดขึ้นเมื่อเจ้าต้องการให้เกิด เหวินชิง ข้าไม่รู้ว่าเจ้าสามารถติดต่อเสด็จอาเก้าได้หรือไม่ แต่ข้าคิดว่านี่มันเป็นโอกาสอันดี ทางที่ดีนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับเสด็จอาเก้าสักเล็กน้อย เนื่องจากเรื่องนี้มีผลกระทบกับเขาอย่างแท้จริง พวกเรามาคิดหรือตัดสินใจกันเองนั้นไม่ใช่เรื่องดี”
มุมมองของเสด็จอาเก้านั้นกว้างใหญ่กว่าพวกเขา มองปัญหาได้ตรงจุด ถ้าหากเสด็จอาเก้าคิดว่ามันเป็นไปได้ พวกเขาก็สามารถไปดำเนินการ แม้การใช้ประโยชน์จากภัยธรรมชาติจะเป็นเรื่องที่ไร้ยางอาย แต่สิ่งที่พวกเขาทำก็ถือเป็นเรื่องที่ดี
สีหน้าของซูเหวินชิงดูจริงจัง พยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ารอฟังข่าวเรื่องนี้จากข้าได้เลย”
“ข้าจะทำการเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้า ถ้าหากเสด็จอาเก้าเห็นว่ามันไม่ควร ข้าจะไปเปิดการรักษาให้ประชาชน เรื่องเล็กน้อยพวกนี้ จักรพรรดิไม่น่าจะสนใจ” นางเองก็ถือว่าเป็นการสร้างชื่อเสียงทางการเมือง แต่ไม่ใช่ มันคือการผิดจรรยาบรรณแพทย์
“ตกลงตามนี้ เรื่องนี้เอาไว้เท่านี้ก่อน จำเป็นต้องหารายละเอียดให้มากกว่านี้ก่อนถึงสามารถเริ่มดำเนินการได้จริง แต่กระบวนการที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ไม่สามารถทำพลาดได้ ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงของเสด็จอาเก้าจะเสื่อมเสีย อีกอย่าง……ต้องดูก่อนว่าสวรรค์จะมอบโอกาสให้หรือไม่” ถ้าภัยธรรมชาติไม่รุนแรงมากพอ ผลงานก็จะไม่ใหญ่ และมีเวลาให้พวกเขาดำเนินการน้อย
ซูเหวินชิงยอมรับว่าเขาเป็นคนจิตใจไม่ดี แต่ตอนนี้เขาอยากให้ภัยธรรมชาติรุนแรงกว่าที่เคยเป็น แบบนี้จะทำให้พวกเขาสามารถทำอะไรได้มากขึ้น
“ต้องทำทุกอย่างให้รวดเร็ว ไม่อย่างนั้น……หากพลาดโอกาสนี้ไปแล้ว มันก็ไม่วนกลับมาครั้งที่สอง” เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าตนเองก็มีหัวใจอันมืดทน อยากให้ภัยธรรมชาติรุนแรงมาโดยตลอด
แต่เรื่องแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่นางคิดแล้วจะเกิดขึ้นได้ สวรรค์ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น พวกเขาทำได้แค่เฝ้ารอโอกาสและคว้ามันไว้
“ข้าเข้าใจแล้ว นี่เป็นภัยธรรมชาติ ไม่สามารถควบคุมด้วยกำลังคนได้ พวกเราสามารถทำได้แค่ใช้โอกาสจากมัน” ซูเหวินชิงพูดคุยกับเฟิ่งชิงเฉินอีกสองสามประโยค จากนั้นก็จากไป
นั่งบนรถม้าได้ครู่หนึ่ง เขานำปากกาออกมาเขียนถึงวิธีการของเฟิ่งชิงเฉิน และลงรายละเอียดขยายความ หลังเขียนไปสิบกว่าแผ่น ซูเหวินชิงวางปากกาลง ถูมือด้วยความรู้สึกปวด
“ข้านี่มันทำงานของตัวเองไม่พอ ตอนแรกจะมาที่จวนเฟิ่งเพื่อพักผ่อน แต่ที่ไหนได้ กลับมีงานมากขึ้นไปอีก”
ตรวจสอบสิ่งที่ตนเองเขียนอย่างละเอียด ซูเหวินชิงนำขวดยาน้ำขึ้นมา ลูบมันลงบนกระดาษ ตัวหนังสือด้านบนก็หายไป
นำโต๊ะขนาดเล็กเป็นพิเศษออกมา ซูเหวินชิงม้วนกระดาษและใส่เข้าไปในรูไม้ไผ่
เสด็จอาเก้าชอบกลิ่นของไม้ไผ่!
เฟิ่งชิงเฉินและซูเหวินชิงต่างเป็นคนที่กระตือรือร้นในการทำสิ่งต่างๆ ในระหว่างที่กำลังคำสั่งจากเสด็จอาเก้า เขาได้เรียกเหล่าลูกน้องมากเพื่อวางแผนการต่างๆ แน่นอน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการนับจำนวนอาหาร
เขาฟังคำพูดของเฟิ่งชิงเฉินเมื่อไม่นานมานี้ “ขายทุ่มตลาด” มาระยะเวลาหนึ่ง ทำให้ราคาข้าวอาหารในตลาดเกิดความวุ่นวาย ตอนนี้ยิ่งเป็นช่วงที่หิมะตกหนัก แม้ในมือของเขาจะมีข้าวและอาหารอยู่ แต่เขาก็ไม่เต็มใจที่จะเอามันออกมา ทหารหลายแสนนายยังต้องได้รับการเลี้ยงดู
เฟิ่งชิงเฉินพูดมีเหตุผล การทำใจยอมรับถึงจะประสบความสำเร็จ อีกอย่างช่วงเวลาก่อนหน้านี้เฟิ่งชิงเฉินได้พูดถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวของมันฝรั่งและมันเทศ ผลผลิตของมันนั้นสูงมาก ของเหล่านี้สามารถคงอยู่ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
มันฝรั่งและมันเทศปลูกได้ปีละ 2 ครั้ง ทั้งในดินทรายและที่แห้ง ปีหน้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารขาดแคลน นอกจากนี้ยังเป็นฤดูหนาวที่หิมะตกได้เหมาะสม ในวันนี้เองหิมะก็ตกหนัก หนอนในดินถูกแช่แข็งจนตาย ปีหน้าจะต้องเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวที่ดี และไม่ขาดแคลนอาหาร
โอกาสดีๆแบบนี้จะต้องคว้าเอาไว้ให้ได้ ต่อให้ยากลำบากก็ต้องทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ ถ้าหากสำเร็จ วันข้างหน้าเสด็จอาเก้าจะกลายเป็นความหวังของทุกคน……