นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 673 หยก น้อยนายแห่งตระกูลเซวียนมาเยือน
ออกไปเปิดโรงหมอด้านนอกมันไม่เหมือนกับร้านค้าแผงลอย มันต้องเตรียมการล่วงหน้ามากมาย ต้องหาคนมาเป็นลูกมือ ต้มยา จ่ายยา ซึ่งเฟิ่งชิงเฉินไม่สามารถทำคนเดียวได้
ก่อนหน้านี้เฟิ่งชิงเฉินเคยไปโรงหมอด้านนอกในชนบทมาก่อน แต่ที่นั่นทุกอย่างได้ถูกจัดเตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว แค่นางไปถึงทุกอย่างก็พร้อม ครั้งนี้ไม่ว่าอะไรก็ต้องเตรียมด้วยตัวเอง และเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่เก่งเรื่องนี้ ดังนั้นจึงต้องเรียกซุนซือสิงมา
ซุนซือสิงได้ยินว่าเฟิ่งชิงเฉินต้องการออกไปเปิดโรงหมอด้านนอกก็รีบตอบกลับทันทีว่าตนเองต้องการเข้าร่วม ได้ยินว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่เข้าใจในเรื่องของการเตรียมตัวออกไปเปิดโรงหมอ เขาก็อาสาที่จะรับหน้าที่ จัดการเรื่องราวทั้งหมด เมื่อถึงเวลาแค่ให้เฟิ่งชิงเฉินไปทำการรักษาอย่างเดียวก็พอ
เรื่องพวกนี้ไม่ได้มีอะไรยาก ที่ยากก็คือเรื่องของวัตถุดิบในการปรุงยา ไปทำการรักษาด้านนอกแน่นอนว่าไม่ใช่แค่การดูอาการ เจ้าจะต้องเตรียมตัวยาในการรักษา และจำนวนยากที่ต้องการของการออกไปเปิดโรงหมอด้านนอกนั้นไม่ใช่น้อยๆ ตอนนี้พวกเขาไม่ได้มีวัตถุดิบในการปรุงยามากมายถึงขนาดนั้น
เฟิ่งชิงเฉินพาซุนซือสิงเดินเข้ามาในห้องไม้ เมื่อเห็นวัตถุดิบในการปรุงยา ซุนซือสิงรู้สึกตกใจมาก แต่ว่า……
เมื่อเทียบกับจำนวนของประชาชนแล้ว ยาในห้องแห่งนี้ก็ไม่ได้มากมายอะไรเลย อีกอย่างไม่ใช่ว่าทุกคนสามารถใช้ยาของเฟิ่งชิงเฉิน พวกเขาจำเป็นต้องเตรียมตัวในเรื่องของสมุนไพรยางอย่าง
เรื่องพวกนี้ไม่รู้เลยสักนิด ตอนนั้นนางไปเรียนแพทย์ตะวันตก ในตำราไม่มีการสอนเกี่ยวกับสมุนไพรจีน จะต้องทำอย่างไรเมื่อไม่มีวัตถุดิบในการปรุงยา?
เฟิ่งชิงเฉินยังไม่ลืมว่านางรู้จักกับหยุนเซียว พ่อค้ายาอันดับหนึ่งในจิ่วโจว
“ตระกูลหยุน พวกเราจะไปหาหยุนเซียว พูดคุยเกี่ยวกับอาการป่วยของเขาให้ดี แม้ว่าข้าไม่คิดที่จะทำการผ่าตัดสมอง แต่ใครใช้ให้เขาเป็นหยุนเซียว เต็มที่ก็แค่ให้เขานำยาออกมาเพื่อแลกกับค่ารักษา”
เฟิ่งชิงเฉินแบบไหนทำแบบนั้น และไม่สนใจว่าตอนนี้จะเป็นเวลากลางคืน นางเขียนจดหมายและให้คนส่งไปยังบ้านตระกูลหยุน และรอการมาถึงของหยุนเซียวในวันรุ่งขึ้น
แฮ่มแฮ่ม……แน่นอนว่าเรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินพูดคุยกับซุนซือสิง คนนอกไม่มีทางรู้ได้เลย แต่ไม่รู้ว่าทำไมประโยคทุกประโยคที่เฟิ่งชิงเฉินพูดออกมามันถึงไปเข้าหูของเสด็จอาเก้าได้
ใครใช้ให้เขาเป็นหยุนเซียว!
คำพูดนี้……ทำให้เสด็จอาเก้าถึงกับสำลักน้ำชา!
ผลที่ออกมาคือ เฟิ่งชิงเฉินยังไม่ทันรอการมาถึงของหยุนเซียวในเช้าวันที่สอง กลับมีคนที่น่าเหลือเชื่อผู้หนึ่งเข้ามาขอพบพร้อมกับหยกชิ้นหนึ่ง
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน ผู้ยากไร้คนหนึ่งฝ่าพายุหิมะเพื่อมาขอเข้าพบพร้อมกับหยกที่ไม่รู้จักชิ้นหนึ่ง แค่หน้าเฟิ่งชิงเฉินยังไม่ออกมาเจอด้วยซ้ำ แต่……
หยกชิ้นนี้เหมือนกับหยกของแม่นางทุกประการ แค่มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย นี่ทำให้เฟิ่งชิงเฉินไม่ออกมาเจอไม่ได้
“เชิญเข้ามา” เฟิ่งชิงเฉินเล่นกับหยกในมือ มองความแวววาวของมันพร้อมกับร่องรอยการสึกหรอ ดูจากลักษณะแล้ว มันเป็นหยกที่ถูกเจ้าของลูบคลำอยู่เป็นประจำ ซึ่งเขาจะต้องรักและหวงมันมากอย่างแน่นอน
ผู้มาเยือนเป็นใครเฟิ่งชิงเฉินไม่รู้จัก แต่สิ่งที่แน่นอนคือ นางไม่ชอบผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านาง
ร่างกายของชายผู้นั้นเต็มไปด้วยหิมะ เสื้อผ้าที่ใส่ก็มองไม่ออกว่าเป็นสีอะไร ผมของเขามัดกันเป็นปม ดูสกปรกมาก เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่คนที่ตัดสินคนด้วยรูปร่างหน้าตา ในความเป็นจริงสายตาที่ผู้ชายคนนี้มองมาที่เฟิ่งชิงเฉินนั้นหยาบคายมาก นอกจากนี้ ชายผู้นี้ดูเหมือนจะถ่อมตัว แต่ท่าทีของเขาไม่ใช่คนธรรมดา คิดว่าตัวตนของอีกฝ่ายคงไม่เลวเช่นกัน
เมื่อชายผู้นั้นเดินเข้ามา เขาไม่พูดอะไรสักคำ เอาแต่จ้องไปที่เฟิ่งชิงเฉิน ดวงตาของเขาเหมือนกับหมาป่าที่หิวโหย ทำให้ผู้คนตื่นตระหนกโดยไม่มีเหตุผล มันเหมือนกับ…เฟิ่งชิงเฉินบอกไม่ถูก แต่มันทำให้นางรู้สึกไม่มีความสุข เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่ไม่รู้จัก แต่กลับใช้สายตาแบบนี้ในการจ้องมองมาที่นาง ทำให้ขนลุกทั่วร่าง
“คุณชาย ข้าไม่รู้จักท่าน” แค่ได้พบกันก็ใช้สายตาที่ร้อนแรงในการจ้องมองมา นางเข้าใจผิด เห็นชัดว่าเฟิ่งชิงเฉินรู้สึกอึดอัด จึงส่งเสียงเตือนออกมา
“แม่นางเฟิ่ง ขอโทษที่ข้าเสียมารยาท” เซวียนเส้าฉีถูกเฟิ่งชิงเฉินขัดจังหวะ ดึงสติกลับคืนมา เก็บดวงตาอันเร่าร้อนของเขา แต่เขาไม่ได้หยุดการกระทำเช่นนั้นโดยสมบูรณ์ เขายังคงแอบมองเฟิ่งชิงเฉินอยู่ตลอดเวลา จากท่าทางของเขาก็รับรู้ได้ทันทีว่ามองเท่าไหร่ก็ไม่พอ
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าร่างกายของตนเองชาไปทั้งตัว ถ้าหากไม่ใช่เพราะหยกที่อีกฝ่ายนำมา เฟิ่งชิงเฉินคงไล่เขาออกไปแล้ว คนผู้นี้แปลกประหลาดเสียจริง
ยังดีที่แม้เซวียนเส้าฉีจะสูญเสียการควบคุมไปในตอนแรก แต่เขาก็ไม่ลืมว่าตนเองเป็นใคร หลังจากมองอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายเขาก็แนะนำตัวออกมา “แม่นางเฟิ่ง ข้าแซ่เซวียน มีชื่อว่าเส้าฉี”
“เซวียนเส้าฉี? เจ้าเป็นอะไรกับเซวียนเฟย?” เฟิ่งชิงเฉินตกใจจบเกือบจะทำแก้วชาแตก
บ้า จากสายตาของนาง เดิมคิดว่าจะเป็นเพื่อนเก่า คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นศัตรู คนแซ่เซวียนนั้นมีน้อย ที่นางรู้จักก็มีแต่ตระกูลที่อยู่ในเผ่าเสวียนเซียวกงเท่านั้น
เซวียนเส้าฉีที่มายาถึงจวน ถ้าหากบอกว่าไม่มีความสัมพันธ์กับเซวียนเฟย แบบนั้นชื่อตระกูลเฟิ่งหน้าประตูของนางก็คงจะเขียนผิด
“ข้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง” เมื่อพูดถึงเซวียนเฟย ดวงตาของเซวียนเส้าฉีแสดงให้เห็นถึงความรังเกียจ ดูแล้วเขาน่าจะไม่ชอบเซวียนเฟย
“ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน? งั้นคุณชาย ท่านกับเผ่าเสวียนเซียวกงเกี่ยวข้องกันอย่างไร? ท่านมาหาข้าเพื่อเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินยังคงยิ้มออกมา บอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับเซวียนเฟย คิดว่านางเป็นคนโง่อย่างนั้นหรือ
“ข้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเซวียนเฟย” เซวียนเส้าฉีกล่าวย้ำออกมาอีกครั้ง เขาไม่ได้มีความหมายที่จะโกหกเฟิ่งชิงเฉิน เนื่องจากเขาไม่เคยคิดว่าเซวียนเฟยมีความสัมพันธ์อะไรกับเขา แต่ไม่สามารถปฏิเสธความสัมพันธ์กับเผ่าเสวียนเซียวกงได้ “ข้าเป็นนายน้อยของเผ่าเสวียนเซียวกง”
“ที่แท้ก็เป็นนายท่านน้อย ชิงเฉินล่วงเกินแล้ว” แม้จะพูดออกไปเช่นนั้น แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้แสดงความเคารพอะไรขนาดนั้น
“เนื่องจากคุณชายเป็นนายน้อยของเผ่าเสวียนเซียวกง ทำไมถึงไม่มีความสัมพันธ์กับเซวียนเฟย ถ้าหากข้าจำไม่ผิด เซวียนเฟยเป็นของคุณหนูใหญ่แห่งเผ่าเสวียนเซียวกง นายน้อยจะไม่มีความสัมพันธ์กับคุณหนูเซวียนเฟยได้อย่างไร” เฟิ่งชิงเฉินพูดอย่างประชดประชัน นางไม่ได้ตั้งใจจะนินทา นางเพียงต้องการถามอย่างชัดเจน
ตัวตนของผู้มาเยือนทำให้นางต้องระมัดระวังตัว ยังไม่ต้องพูดถึงเผ่าเสวียนเซียวกง แค่พูดถึงเรื่องหยกในมือของเซวียนเส้าฉีอย่างเดียวก็ทำให้นางกระวนกระวายใจแล้ว
หยกชิ้นนี้มาได้ตรงเวลาพอดี ต้องรู้ก่อนว่าถ้าหากเซวียนเส้าฉีนำหยกชิ้นนี้ออกมาเร็วกว่านี้ นางคงไม่กล้าทำความรู้จัก เซวียนเส้าฉีมาได้ถูกเวลามาก เป็นตอนที่นางเพิ่งจะเห็นหยกแบบเดียวกันกับแม่ของนาง นี่ทำให้นางได้รับรู้อะไรมากขึ้น
เซวียนเส้าฉีผู้นี้น่าจะทำเพื่อหยกในมือ แล้วเซวียนเฟยล่ะ?
เกรงว่าเซวียนเส้าฉีคงไม่ได้มาเพื่อเซวียนเฟยจริงๆ เนื่องจากสิ่งที่เขาเอ่ยถึงเซวียนเฟยนั้นมีแต่ความรังเกียจ
ถ้าหากเซวียนเส้าฉีรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังคิดอะไร เขาคงต้องกลัดกลุ้ม เรื่องนี้มันบังเอิญเกินไปหรือเปล่า เขาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นของจวนเฟิ่ง และเขาน่าจะรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน
ถ้าหากไม่ใช่เพราะหิมะตกหนัก เขาคงมาถึงตั้งนานแล้ว เขาจะรอถึงตอนนี้เพื่ออะไร คิดไม่ถึงว่าของสิ่งนี้จะเป็นเครื่องดึงดูดความสนใจของเฟิ่งชิงเฉิน น่าเสียดายที่เซวียนเส้าฉีไม่รู้ว่าในใจของเฟิ่งชิงเฉินกำลังคิดอะไรอยู่ และก็ไม่รู้ว่าศพของพ่อและแม่ของนางเพิ่งจะกลับมาถึงจวน เมื่อเฟิ่งชิงเฉินถามออกมาเขาจึงรีบอธิบาย
“เซวียนเฟยเกิดจากแม่อีกคนหนึ่งที่แต่งงานกับพ่อของข้าหลังจากที่แม่ของข้าตายไป ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้าเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่านางจะเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยวอะไรกัน” นี่คือความจริง เซวียนเส้าฉีไม่ยอมรับว่าเซวียนเฟยเป็นน้องสาวของตัวเอง เซวียนเฟยจะเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา เขาไม่มีทางมาที่นี่เพื่อทำอะไรให้เซวียนเฟย
แต่น่าเสียดายที่เฟิ่งชิงเฉินไม่เชื่อ เฟิ่งชิงเฉินถูกคนคิดร้ายมามาก ไม่ว่าจะพบเจอใครก็ไม่มีทางเชื่อ ไม่ต้องพูดถึงอีกฝ่ายที่เป็นตระกูลเซวียน ถึงตอนนี้นางยังจำพี่ชายคนรองของเซวียนเฟยได้ ว่าเขารักและห่วงใยเซวียนเฟยมากแค่ไหน
แต่เซวียนเส้าฉีก็ไม่เหมือนคนโกหก ดังนั้นจึงต้องลองถามดูเพื่อทำให้แน่ใจ “พูดแบบนี้ นายท่านน้อยไม่ได้มาที่นี่เพื่อแก้แค้นให้กับเซวียนเฟยใช่ไหม?”
เฟิ่งชิงเฉินไม่คิดว่าคนของเผ่าเสวียนเซียวกงจะมาหาตนเองเพื่อระลึกความหลัง แม้นางกับเผ่าเสวียนเซียวกงจะมีแหล่งกำเนิดเดียวกัน แต่ความแค้นก่อนหน้านั้นของพวกเขามันยิ่งใหญ่กว่า ทำร้ายคุณหนูอันเป็นที่รักของเผ่าเสวียนเซียวกง ต่อให้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเผ่าเสวียนเซียวกงมันก็ไร้ประโยชน์
หลังจากได้ยินที่มาของผู้มาเยือน เฟิ่งชิงเฉินเริ่มทำการป้องกันตัวเองจากอีกฝ่าย นำมีดแอบถือไว้ในมือเงียบๆ เมื่ออีกฝ่ายเคลื่อนไหวนางก็พร้อมที่จะลงมือทันที
“แก้แค้น? ความเป็นตายของเซวียนเฟยมันเกี่ยวอะไรกับข้า ถ้าหากข้ามาเพื่อแก้แค้น ข้าจะมาเพียงคนเดียวได้อย่างไร แม่นางเฟิ่งคิดมากไปแล้ว” เซวียนเส้าฉีจ้องมองเฟิ่งชิงเฉินอย่างลึกซึ้ง เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่พอใจเขาก็แอบเก็บสายตาของเขา
ไว้วันหลัง หลังจากนี้น่าจะมีโอกาสอีก ตอนนี้ยังไม่มั่นคง อย่าเพิ่งรีบทำให้นางตกใจ
“ถ้าอย่างนั้นคุณชายเซวียน ท่านมาที่นี่เพื่ออะไร?” ไม่ได้มาเพื่อแก้แค้น หรือว่าจะมาเพื่อรำลึกความหลัง
“เพื่อเจ้า ข้ามาที่นี่ก็เพื่อเจ้า” คนในยุทธจักรพูดจาไม่อ้อมค้อม ถ้าหากไม่กลัวเฟิ่งชิงเฉินตกใจ เซวียนเส้าฉีคงพูดแบบนี้ออกไปตั้งนานแล้ว
“เพื่อข้า? ข้ามีอะไรคุ้มค่าถึงทำให้คุณชายแห่งเผ่าเสวียนเซียวกงฝ่าหิมะหนักมาถึงที่นี่” เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกอึดอัดกับหยกในมือ เซวียนเส้าฉีผู้นี้จะต้องเป็นความลำบากอันยิ่งใหญ่ เฟิ่งชิงเฉินมีความรู้สึกว่าอยากจะวิ่งออกไปจากประตู
นางรู้สึกเสียใจที่ได้เจอคนผู้นี้
“แน่นอนว่าคุ้มค่า แม่นางเฟิ่ง เจ้ารู้จักหยกชิ้นนี้หรือไม่?” เซวียนเส้าฉีชี้ไปที่หยกในมือเฟิ่งชิงเฉิน นั่นคือหยกของเขา
“รู้จัก” ถ้าหากไม่รู้จัก นางไม่มีทางออกมาพบอีกฝ่าย ต้องรู้ก่อนว่าแม้แต่ชื่อของอีกฝ่ายยังไม่รู้จัก แต่กลับนำหยกชิ้นนี้ออกมาเพื่อขอเข้าพบ
“ในมือของเจ้าเองก็มีหยกที่คล้ายกันอยู่ใช่หรือไม่?”
“มีอยู่ แต่มันเป็นของแม่ข้า” เฟิ่งชิงเฉินเองหลังเล็กน้อย นี่เป็นท่าทางที่นางแสดงออกมาตอนทำการป้องกันอีกฝ่ายเท่านั้น อีกฝ่ายอันตรายเกินไป จำเป็นต้องทิ้งระยะห่างของทั้งสองเอาไว้
“แบบนี้ไม่ผิดแน่ ตอนแรกแผ่นหยกนี้ก็มีไว้เพื่อมอบให้ป้าโม่” ดวงตาของเซวียนเส้าฉีเป็นประกาย เมื่อพูดถึง “ป้าโม่” เฟิ่งชิงเฉินเห็นแววตาที่ตื่นเต้นของเซวียนเส้าฉี เฟิ่งชิงเฉินพอจะเดาได้ว่าป้าโม่ที่เซวียนเส้าฉีพูดถึงนั้นเป็นใคร แต่ก็ยังถามออกมาว่า “ป้าโม่?”
เป็นไปไม่ได้ เซวียนเส้าฉีผู้นี้เรียกออกมาว่าป้า งั้นหยกชิ้นนี้……
เฟิ่งชิงเฉินก้มหน้ามอง แอบคิดอยู่ในใจว่าตอนนี้มันสายเกินไปหรือไม่ที่จะทำลายมัน?
“ป้าโม่ก็คือแม่ของเจ้า ตอนเด็กข้าเรียกนางว่าป้าโม่ หยกบนข้อมือของเจ้านั้นเรียกว่าหยกสามีภรรยา มีอยู่ด้วยกันสองชิ้น ชิ้นหนึ่งเล็ก อีกชิ้นหนึ่งใหญ่กว่า หยกนี่ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน เมื่อนำมารวมกันแล้วจะกลายเป็นชิ้นเดียว ถ้าหากไม่เชื่อเจ้าลองนำหยกของเจ้ามาประกอบดู”
“เป็นไปไม่ได้” เฟิ่งชิงเฉินลองตรวจสอบดู หยกในมือของนางไม่มีช่องว่าง ไม่สามารถรวมกับชิ้นอื่นได้
“แม่นางเฟิ่งไม่เชื่อก็ลองประกอบดู” เซวียนเส้าฉีเองก็ไม่กังวล หยกทั้งสองชิ้นนี้ ตอนที่เขายังเด็กเขานำมันออกมาเล่นอยู่เป็นประจำ มันสามารถนำมาประกอบกันได้หรือไม่ ตัวเขารู้ดีกว่าใคร
เฟิ่งชิงเฉินได้ยินเช่นนั้นก็รีบนำหยกของตนเองออกมา “หยกทั้งสองชิ้นอยู่ในสภาพสมบูรณ์ มันจะนำมาประกอบกันได้อย่างไร”
เฟิ่งชิงเฉินตรวจสอบดูอย่างละเอียด ไม่ว่าจะมองดูอย่างไงหยกทั้งสองก็ไม่มีทางนำมาประกอบกันได้
“แม่นางเฟิ่ง เจ้าลองนำหยกทั้งสองมาทับซ้อนกัน วางไว้ในมือก็ได้” เซวียนเส้าฉีกล่าวออกมาอย่างไม่ตื่นตระหนก
เฟิ่งชิงเฉินทำตามที่เซวียนเส้าฉีพูด ผลที่ออกมา……