นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 690 ขอโทษ ข้าไม่ดีใจสักน้อย
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 690 ขอโทษ ข้าไม่ดีใจสักน้อย
เฟิ่งชิงเฉินทำท่าทางเหมือนไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย นางเอ่ยถามถึงชื่อผู้ป่วย อายุ แล้วจดไว้บนกระดาษ รวมไปถึงอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วยโดยละเอียดก็ได้บันทึกลงไปด้วย
เซวียนเส้าฉีอยู่ใกล้นางมากที่สุด เขามองเห็นเม็ดเหงื่อบนหน้าผากของนางได้อย่างชัดเจน มืออยากจะหยิบผ้าเช็ดหน้ายื่นไปเช็ดให้แก่เฟิ่งชิงเฉิน แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เปลี่ยนใจละทิ้งความคิดนั้น เพราะเขาไม่อยากสร้างความวุ่นวายหรือไม่สบายใจให้เฟิ่งชิงเฉินเพิ่มขึ้น
เขาก้มหน้ามองดูประวัติผู้ป่วยที่เฟิ่งชิงเฉินเขียนเอาไว้ เซวียนเส้าฉีรู้สึกตกตะลึงกับความคิดของเฟิ่งชิงเฉินมากยิ่งนัก เนื่องจากประวัติคนไข้เหล่านั้นใช้ดินสอถ่านในการเขียน ตัวอักษรจึงเขียนออกมาได้ขนาดเล็กไม่เปลืองพื้นที่ แต่ก็มองได้อย่างชัดเจน ไม่เหมือนกับการที่ใช้พู่กันเขียน ต้องคอยดูว่าน้ำหมึกจะเลอะซึมหรือไม่ และยังไม่ต้องกังวลว่าจะถูกลบเลือน
ลายมือของเฟิ่งชิงเฉินไม่เหมือนกับหมอทั่วไปที่เขียนค่อนข้างตวัด ลายมือของนางนั้นมองได้ชัดเจนสะอาดสะอ้านดุจดั่งรูปลักษณ์ภายนอกของนาง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเข้าใจถึงวิธีการรักษาของนาง ชื่อยาต่างๆ ที่ใช้ในการรักษาก็ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน
หลังจากเขียนประวัติคนไข้เรียบร้อยแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็จะนำกระดาษใบนั้นส่งให้แก่ผู้ป่วย กำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างด้วยความอดทนว่า “ใบนี้จงเก็บไว้ให้ดี เนื่องจากมีผู้ป่วยทำจำนวนมาก ข้าคงจะลืมไปบ้าง กระดาษใบนี้ได้เขียนการตรวจอาการของข้าเอาไว้ เวลาจ่ายยาข้าจะต้องดูใบนี้”
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าโชคดีเหลือเกิน เนื่องจากว่าสภาพแวดล้อมและอาหารในสมัยโบราณนับว่ายังค่อนข้างจะปลอดภัย จึงไม่มีผู้ป่วยที่อาการแปลกๆ ปรากฏขึ้น และไม่มีผู้ที่ป่วยเป็นโรคติดต่อในที่นี้
ในสมัยโบราณแม้เพียงแค่เป็นหวัดก็อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ ที่ว่ากันว่าอาการหนักนั้นไม่ได้มีความน่ากลัวดังที่เฟิ่งชิงเฉินคิดเอาไว้ อีกทั้งอาการก็ไม่ได้หนักหนาเสียจนเกินไป อย่างน้อยก็ไม่ได้ถึงขนาดที่ว่าไม่อาจหายามารักษาได้ และอาจจะสิ้นใจในทันควัน
“ขอบคุณ ขอบคุณแม่นางมากยิ่งนัก แม่นางชั่งใจดีประเสริฐแท้” คำพูดเช่นนี้ไม่ได้ออกมาจากปากของคนเพียงแค่สองสามคน ดังนั้นเมื่อเฟิ่งชิงเฉินได้ยิน นางแทบจะไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งใจได้สักเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ
“แม่นาง ไม่รู้ว่าจะบอกชื่อเสียงเรียงนามของเจ้าให้แก่พวกเราได้หรือไม่”
“นั่นสิแม่นาง เจ้าช่วยพวกเราเอาไว้ แต่พวกเรากลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าเป็นใคร”
ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนเริ่มต้นก่อน จากนั้นผู้คนทั้งหลายแหล่ก็พากันเข้ามาเอ่ยถามชื่อของเฟิ่งชิงเฉิน แม้แต่ผู้คนที่อยู่ด้านนอกห้องก็พากันชะโงกหน้าเข้ามามอง อยากจะรู้นักหนาว่าสตรีซึ่งกล่าวถึงวิธีการรักษาโรคภัยต่างๆ ออกมาโดยไม่ปิดบังผู้นี้ชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร
เฟิ่งชิงเฉินชะงักลงเล็กน้อย จากนั้นนางก็ยิ้มขึ้นแต่ไม่ได้ตอบสิ่งใดกลับไป นางก้มหน้าทำงานของตนต่อ
เนื่องจากมีกระเป๋าแพทย์อัจฉริยะอยู่ด้วย ดังนั้นการทำงานของนางจึงค่อนข้างมีประสิทธิภาพ แม้จะตรวจรักษาอาการผู้ป่วยที่ค่อนข้างหนัก แต่ความวุ่นวายในการทำงานของนางก็เทียบเท่าได้กับซุนซือสิงที่อยู่ข้างนอกรักษาเพียงคนไข้ธรรมดาทั่วไป เพียงแต่ว่าซุนซือสิงค่อนข้างใจดีและเป็นกันเองมากกว่านาง
ซุนซือสิงค่อนข้างมีความอดทนสูง เขาเข้าถึงและใกล้ชิดกับผู้ป่วยได้มากกว่า ในตอนแรกผู้ป่วยต่างพากันสงสัยว่า หมอหนุ่มที่อายุน้อยเพียงนี้จะรักษาพวกเขาได้จริงหรือ
เพียงแต่ทุกคนเห็นว่าไม่ต้องเสียเงินรักษาจึงไม่กล้าที่จะเอ่ยสิ่งใดออกมาก็เท่านั้น แต่เมื่อยามที่พวกเขาทั้งหลายเห็นวิธีการจัดการกับบาดแผล ที่เกิดขึ้นจากความหนาวเหน็บด้วยความชำนาญและสะอาดสะอ้าน พวกเขาก็พากันดวงตาแดงเรื่อ บาดแผลที่ดูน่ารังเกียจเหล่านี้แม้แต่คนในครอบครัวของพวกเขายังไม่อยากจะแตะต้องมัน แต่ซุนซือสิงคุณชายที่ดูสง่างามผู้นี้กลับไม่รังเกียจพวกเขาแม้แต่น้อย
ผู้ป่วยเอ่ยถามคำถามใดออกมา ซุนซือสิงก็ตอบอย่างใจเย็น ไม่ได้มีท่าทางอันเยือกเย็นและห่างเหินดุจดั่งหมอคนอื่นๆ เลย ทำให้พวกเขารู้สึกอบอุ่นใจยิ่งนัก
หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินตรวจคนไข้ของนางเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ตั้งใจจะไปจับจ่ายยา คนจากจวนเฟิ่งได้นำกล่องยาแบกมาไว้ให้แต่เนิ่นๆ แล้ว ทั้งยังจัดหาห้องไว้สำหรับวางยา มีผู้คุ้มกันคอยดูแลอยู่หน้าห้องอย่างแน่นหนา
“จงไปรับยากับข้า” เฟิ่งชิงเฉินว่างประวัติคนไข้ไว้บนโต๊ะแล้วหันไปกล่าวกับเซวียนเส้าฉี
เนื่องจากตอนนี้คนมีไม่พอ เซวียนเส้าฉีที่อยู่ข้างกายของนางนี่ก็ว่างอยู่ หากไม่ใช้ก็คงจะเสียประโยชน์เปล่า
“อืม” เซวียนเส้าฉีเดินตามเฟิ่งชิงเฉินไปดุจดั่งลูกศิษย์ตัวน้อยอย่างว่าง่าย ทั้งสองคนพากันเดินออกไปจากห้อง ภายรอบห้องนั้นผู้คนต่างพากันหลีกทางให้ทั้งสองได้เดินออกไปเป็นแถว แต่ละคนดูท่าทางกระสับกระส่ายก้มหน้าก้มตา ด้วยเกรงว่าเฟิ่งชิงเฉินจะตำหนิพวกเขาและไม่พึงพอใจ
ในเวลานี้ เฟิ่งชิงเฉินจึงพบว่าด้านนอกห้องเต็มไปด้วยผู้คนรายล้อมมากมาย นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาแม้แต่คำเดียว แต่ทำเพียงก้าวไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วไม่หยุดหย่อน
ภายในห้องนั้นไม่มีใครที่เป็นโรคติดต่อ แม้ผู้คนที่ยืนรออยู่ด้านนอกจะกลัวว่าพวกเขาเองก็จะป่วยตามไปด้วย แต่……นางเองก็เข้าใจดีถึงความเป็นห่วงกังวลคนในครอบครัว
เฟิ่งชิงเฉินเดินตรงออกไป คนเหล่านี้ดูเหมือนจะเคยชินกับการวิ่งไล่ติดตามเฟิ่งชิงเฉินไปเสียแล้ว มีใครคนหนึ่งตะโกนขึ้น เมื่อครั้นเดินตามหลังเฟิ่งชิงเฉินไปว่า “แม่นางผู้นี้ดูเหมือนข้าจะเคยเห็น”
“นั่นสินั่นสิ นางดูคุ้นตามากยิ่งนัก ราวกับว่าเคยเห็นที่ใดมาก่อน”
แม้คนที่รู้จักเฟิ่งชิงเฉินจะมีไม่น้อย แต่ชาวบ้านที่เคยเห็นสภาพนางโดยมากแล้วมักจะเป็นคนที่เห็นนางตอนน่าสมเพช ยามที่นางปรากฏกายอย่างสง่างามและสดใสล้วนมีทหารคอยปกป้องเอาไว้ ชาวบ้านทั่วไปจึงทำได้เพียงมองนางจากระยะทางห่างและคลุมเครือ ประกอบกับ……
ทักษะทางการแพทย์ของเฟิ่งชิงเฉินถูกเผยแพร่ไปเพียงแค่ชนชั้นสูงเท่านั้น ชาวบ้านธรรมดาที่รู้จักนางค่อนข้างน้อยจนนับนิ้วได้ ต่อให้รู้จักนางพวกเขาก็ไม่ได้เอาไปพูดต่อ ดังนั้นการที่ไม่รู้จักเฟิ่งชิงเฉินก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ
เมื่อได้ยินมีคนกล่าวว่าเฟิ่งชิงเฉินมองไปช่างคุ้นตายิ่งนัก ผู้คนที่ล้อมรอบอยู่ด้านข้างกายจึงได้พากันครุ่นคิด ทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งวัยกลางคน ดวงตาเป็นประกายพูดขึ้นแทบกระโดดขึ้นมาจากพื้นว่า “ข้าจำได้แล้วข้าจำได้แล้ว แม่นางเฟิ่ง เป็นแม่นางเฟิ่งนั่นเอง!”
“แม่นางเฟิ่ง แม่นางเฟิ่งคนใดกัน?” มีคนเอ่ยถามด้วยความงุนงง
“เฟิ่งชิงเฉินไง บุตรสาวของแม่ทัพเฟิ่ง แม่นางคนที่ถูกชาวบ้านโยนผักเน่าและไข่เน่าใส่ที่ประตูเมือง!” หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดังลั่น และเมื่อนางกล่าวจบใบหน้าของนางก็แดงเรื่อ
หากเฟิ่งชิงเฉินอยู่ที่นั่น นางคงจะรู้สึกว่าประโยคนี้ดุจดั่งเข็มพิษที่ทิ่มแทงเข้ามาใน ใจ แต่ละคนพากันเหลือบมองดูผู้ที่อยู่ข้างกาย
“หา……เป็นแม่นางเฟิ่งหรือ? ใช่แล้ว ข้านึกขึ้นได้แล้วข้าจำได้แล้วล่ะ ข้ายังเคยเอาไข่เน่าโยนใส่นางเลย ทำอย่างไรดีเล่าพวกเรา?”
“ข้าเองก็เคยด่าทอนางเช่นกัน แล้วก็ยัง……เคยถ่มน้ำลายรดนางอีกด้วย!”
“ข้าเองก็เคยด่านาง ข้าเคยด่านางด้วยเช่นกัน!”
“ทำยังไงกันดีล่ะทีนี้พวกเรา ตายแน่ๆ!”
“หากแม่นางเฟิ่งรู้เข้าละก็จะโกรธพวกเราหรือไม่ นางจะไม่รักษาพวกเราหรือเปล่า?”
“แม่นางเฟิ่งช่างเป็นคนดีเหลือเกิน เป็นคนดียิ่งนัก!”
“ในตอนนั้นข้ามีตาหามีแววไม่ เหตุใดข้าจึงได้รถน้ำลายใส่นางกันเล่า ข้านี่ปากเสียเหลือเกิน!”
“เพียะ……” น้ำเสียงฝ่ามือดังขึ้น ชายกลางคนผู้หนึ่งตบปากของตนเองอย่างดัง วินาทีต่อมาใบหน้าของเขาก็แดงเรื่อ เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่ที่เขาตบหน้าตนเองใช้กำลังไม่น้อยเลยทีเดียว
“ในตอนนั้นข้าเองก็เอาผักเน่าโยนใส่แม่นางเฟิ่งด้วย มือของข้านี่ช่างสกปรกสิ้นดี!”
“เพียะ……!” เสียงฝ่ามือดังขึ้นอีกครั้ง
น้ำเสียงความรุนแรงที่ได้ยินนั้นดูไม่เหมือนกับการตบมือของตนเองอย่างเบาๆ ทั่วไป คล้ายกับการอาฆาตแค้นซึ่งฆ่าบรรพบุรุษของตนมากกว่า ขณะที่เฟิ่งชิงเฉินและเซวียนเส้าฉีเดินอุ้มยากลับมา พวกเขาก็พากันได้ยินเสียงฝ่ามือดังขึ้นติดกันรัว
“เกิดอะไรขึ้นกัน?” เฟิ่งชิงเฉินเลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น น่าเสียดายที่น้ำเสียงนางบางเบา ชั่วพริบตาเดียวก็จางหายไปไม่มีใครได้ยิน
“ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้นะ หากจะทะเลาะกันจงออกไปเสีย อย่ามารบกวนผู้ป่วยที่นี่!” เฟิ่งชิงเฉินเพิ่มระดับน้ำเสียง ในครั้งนี้มีคนได้ยินเสียงของนางพูดแล้ว
“แม่นางเฟิ่ง เป็นแม่นางเฟิ่ง!”
“แม่นางเฟิ่งกลับมาแล้ว เร็วเข้า เร็วเข้าพวกเรา รีบมาขอโทษขอโพยแม่นางเฟิ่งเร็ว”
ขณะที่กำลังกล่าวอยู่นั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นคนที่ตบปากตนเองหรือคนที่ไม่รู้เรื่องราวก่อนหน้านี้ ล้วนพากันคุกเข่าลง แต่ในครั้งนี้พวกเขาไม่ได้หันหน้าไปทางพระราชวัง แต่กลับหันหน้ามาทางเฟิ่งชิงเฉินที่ยืนอยู่
“แม่นางเฟิ่ง พวกเราสมควรตาย……”
“แม่นางเฟิ่ง ได้โปรดเมตตา พวกเราด้วย……”
“แม่นางเฟิ่ง พวกเรานั้นปากเสียและทำตัวสกปรก……”
……
พวกเขาพากันเอ่ยออกมาคนละประโยคสองประโยคอย่างไม่รู้จบ บางคนก็ร้องไห้ออกมาตะโกนจนน้ำเสียงแหบแห้ง ทำให้เฟิ่งชิงเฉินไม่สามารถฟังได้ชัดเจนสักประโยคหนึ่ง นางได้ยินเพียงน้ำเสียงอันแสบแก้วหู
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ คงจะต้องไปหาหมอรักษาหูกันเสียแล้ว เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วตะโกนว่า “เงียบเสียงได้แล้ว!”
น่าเสียดายเหลือเกิน แม้ว่าน้ำเสียงของนางจะดัง แต่น้ำเสียงของพวกเขาก็ดังกว่า บัดนี้พวกเขาทุกคนต้องการเพียงแค่ให้เฟิ่งชิงเฉินให้อภัยยกโทษแก่พวกเขาทั้งหลาย จึงทำได้เพียงใช้วิธีที่ง่ายดายที่สุดนั่นก็คือคุกเข่าอ้อนวอนร้องขอคารวะ
เฮ้อ……เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงหันไปกำชับกับเซวียนเส้าฉีว่า “เรื่องนี้คงต้องฝากเจ้าแล้วล่ะ ช่วยทำให้พวกเขาเงียบเสียงสักที”
เซวียนเส้าฉีไม่ทำให้เฟิ่งชิงเฉินต้องรู้สึกผิดหวัง เขาตะโกนออกมาด้วยพลังภายในว่า “แม่นางเฟิ่งกล่าวว่าให้ทุกคนเงียบเสียงลง!”
ชู่ว์……ดูเหมือนทุกคนจะไม่ได้ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายขึ้นแล้ว น้ำเสียงร้องไห้โห่ร้องก็หยุดลง ทุกคนอ้าปากค้างตกตะลึงและมองไปทางเฟิ่งชิงเฉิน ใบหน้าของพวกเขายังเต็มไปด้วยคราบน้ำตา จับจ้องไปทางเฟิ่งชิงเฉินเพื่อรอว่านางจะให้อภัยพวกเขาหรือไม่
“ทุกคนลุกขึ้นมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกไม่คุ้นเคยกับการที่จะทำตัวเป็นใหญ่ แล้วถูกคนอื่นเชิดชูบูชาดังพระพุทธรูป ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เพราะนางเองไม่ใช่คนดีอะไร
“แม่นางเฟิ่ง ท่าน……ท่าน ไม่ถือสาพวกเรางั้นหรือ?” สตรีคนหนึ่งที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับเฟิ่งชิงเฉินตะโกนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันดัง
“ถือสาพวกเจ้าเรื่องอะไรกัน?” เฟิ่งชิงเฉินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นางพลาดเหตุการณ์ใดไปอย่างงั้นหรือ นางเหลือบตาไปมองดูเซวียนเส้าฉี เซวียนเส้าฉีได้แต่ส่ายหน้า เขาเองก็ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้กำลังพูดถึงสิ่งใด
จู่ๆ ผู้คนกลุ่มนี้ก็คุกเข่าลง อีกทั้ง ตบตีตนเอง และตะโกนเอ่ยร้องด้วยเสียงอันดัง ใครไม่รู้คงคิดว่าเกิดเหตุถึงแก่ชีวิตขึ้น
เมื่อครู่ที่เซวียนเส้าฉีตะโกนด้วยน้ำเสียงอันดังออกมา ไม่เพียงแค่ทำให้ผู้คนภายในห้องสงบเสียงลงได้เท่านั้น แต่เสียงของเขาก็ดังออกไปถึงภายนอกด้วย
เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นหรือ เมื่อ
ไม่เพียงแค่ซุนซือสิง แต่ผู้ป่วยที่อาการไม่หนักคนอื่นๆ ซึ่งอยู่ด้านนอก ก็พากันสงสัยและวิ่งเข้ามาดู
“ท่านอาจารย์ ท่าน……” มือทั้งสองข้างของซุนซือสิงเต็มไปด้วยเลือด คีมหยุดเลือดยังไม่ทันจะได้วางลงเขาก็เดินมาที่นี่เพื่อดูสถานการณ์ก่อน อย่ามองว่าเขาดูร่างกายบอบบาง เมื่อเวลาวิ่งนั้นเขาวิ่งได้รวดเร็วกว่าใคร
“นี่มันอะไรกัน?” เมื่อเขาวิ่งเข้ามาก็พบว่าตรงหน้าของเฟิ่งชิงเฉินมีผู้คนมากมายคุกเข่าอยู่ ซุนซือสิงเองก็รู้สึกงุนงงเช่นกัน
พวกเขาทั้งหลายกำลังเอ่ยขอบคุณอาจารย์ของตนหรือ? แต่ท่านอาจารย์ของเขาบอกไว้แล้วว่าไม่ให้เขาบอกกับคนภายนอกว่าการรักษาในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับนาง ให้บอกเพียงว่าเป็นผู้ที่มาเปิดโรงทาน ได้จัดหาหมอมาให้การรักษาด้วย พวกเขาเพียงแค่เดินทางมาช่วยเหลือเท่านั้น
ใครจะไปรู้ว่านี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น เฟิ่งชิงเฉินได้แต่กลอกตามองอย่างเบื่อหน่าย ผู้คนที่อยู่รอบข้างมากขึ้นเรื่อยๆ เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้วเข้าหากัน อย่างอดไม่ได้ คนพวกนี้ช่างทำให้นางเสียเวลายิ่งนัก “เอาล่ะ ถ้าตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วทุกคนแยกย้ายเถิด อย่าให้เสียเวลาการรักษามากกว่านี้เลย”
นางไม่อยากจะรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“แม่นางเฟิ่ง ท่าน ท่านไม่โกรธพวกเราแล้วจริงงั้นหรือ ท่านยินดีที่จะรักษาพวกเราอย่างงั้นหรือ?” สตรีวัยกลางคนเมื่อครูเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“ข้าจะโกรธพวกเจ้าเรื่องอะไรกัน ข้าบอกเมื่อไหร่ว่าจะไม่รักษาอาการเจ็บป่วยของพวกเจ้าแล้ว?” หรือมีใครในที่นี้เอ่ยวาจาไร้สาระออกไปอีก? เฟิ่งชิงเฉินกวาดมองไปทางพวกเขาด้วยแววตาอันเยือกเย็น แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใด
“จริงงั้นหรือ? แม่นางเฟิ่งยินดีที่จะรักษาพวกเรา ท่านไม่ถือสาวที่พวกเราเคยด่าทอและโยนผักเน่าไข่เน่าใส่ท่าน ท่านไม่สื่อสารเรื่องที่พวกเราเคยถ่มน้ำลายรดท่านด้วยหรือ?”
เมื่อประโยคนี้กล่าวออกมา ทุกคนในที่นั่นก็รู้ได้ทันทีว่าเรื่องราวเป็นไปมาเช่นไร ผู้คนที่เพิ่งเดินทางมาเมื่อครู่ก็พากันส่งเสียงฮือฮาขึ้นอีกครั้ง
“สตรีผู้นี้คือแม่นางเฟิ่ง แม่นางเฟิ่งแห่งจวนเฟิ่งน่ะหรือ?”
“ข้าบอกแล้วว่านางดูคุ้นตามากยิ่งนัก เมื่อคราก่อนนางคุกเข่าอยู่ที่ประตูเมือง ข้าเองก็ปาไข่เน่าไปถูกใบหน้าของนางพอดีด้วย”
“ตาเฒ่านี่ เจ้ากล้าดีอย่างไรปาไข่เน่าใส่คุณหนูเฟิ่ง!”
“ข้าสมควรตาย ข้าสมควรตาย……”
“แม่นางเฟิ่ง ข้าขอโทษ ได้โปรดให้อภัยข้าเธอ พวกเราขอโทษ ……”
“พวกเรามันไม่ใช่มนุษย์ จิตใจต่ำช้าเหลือเกิน ……”