นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 695 อาหารหมด จักรพรรดิเข้าบรรเทาทุกข์
เป็นไปดังที่เฟิ่งชิงเฉินคิดเอาไว้ หลังจากที่เซียวชินอ๋องได้ยินรายงานจากทงจือก็ได้ยิ้มแล้วให้คนพาพยุงลุกขึ้น ก่อนจะกล่าวอย่างเต็มปากเต็มคำว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องกังวลใจไป เรื่องนี้เขาจะจัดการเอง แล้วจะเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ผู้ประสบภัยเหล่านั้นอย่างแน่นอน
ทงจือเคยทำความรู้จักกับขุนนางมากมายและเข้าใจดีถึงการกระทำอันผิวเผินเช่นนี้ ที่ทำแต่สัญญาต่อหน้า และลับหลังก็ทำอีกแบบหนึ่ง ดังนั้นนางจึงทำสีหน้าผิดหวัง นั่นหมายความว่าเรื่องนี้คงล้มเหลวเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าเซียวชินอ๋องจะหันหลังกลับไปพร้อมกับท่าทางน่าเกรงขาม
“จงไปนำชุดราชสำนักมา ข้าจะเข้าวัง”
บรรดาเหล่าทหารผ่านศึกที่ยอมสละชีวิตของตนเพื่อออกไปสู้รบ สิ่งที่ต้องการนั้นก็คือความสงบสุขของบรรดาประชาชนมิใช่หรือ ไม่อย่างนั้น เขาจะยอมออกไปสูญเสียทั้งชีวิตและความสงบสุขต่างๆ ได้อย่างไร แต่ไอ้พวกทาสรับใช้เหล่านั้น กลับรังแกประชาชนชาวบ้านภายใต้การดูแลของเขา เรื่องนี้ไม่อาจให้อภัยได้
เซียวชินอ๋องเดินทางเข้าวังในทันที ทงจือยืนอยู่ตรงด้านนอกประตูแล้วแส่งสายตามองไปจนกระทั่งเซียวชินอ๋องหายลับตา เมื่อนางไม่อาจมองเห็นเซียวชินอ๋องได้ จึงได้หันหลังกลับมุ่งตรงไปที่นอกเมือง
ไม่น่าแปลกใจเลยที่คุณหนูรู้จักขุนนางระดับสูงมากมาย แต่กลับเดินทางมาหาเซียวชินอ๋องผู้ที่ไม่สนใจเรื่องขนบธรรมเนียม ที่แท้เพราะเซียวชินอ๋องเป็นเช่นเดียวกับตงหมิงซื่อจื่อ เป็นผู้ไม่ชื่นชอบความชั่วร้าย
คุณหนูกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เพียงแค่นางกล่าวตามที่ถูกกำชับมา บ่งบอกถึงสถานการณ์ความเป็นจริงของผู้ประสบภัยเหล่านั้นให้แก่เซียวชินอ๋องฟัง เซียวชินอ๋องก็จะเข้ามาจัดการเรื่องนี้ เมื่อมีเซียวชินอ๋องรับมือด้วยตนเองพวกเขาจะเกรงกลัวอะไรเล่า
เพียงแค่หัวหน้าทหารราบคนหนึ่ง ไม่คู่ควรด้วยซ้ำที่จะถือรองเท้าให้แก่เซียวชินอ๋อง
เซียวชินอ๋องรีบบุกเข้าไปในพระราชวังและขอเข้าพบองค์จักรพรรดิอย่างรวดเร็ว เซียวชินอ๋องไม่ได้เป็นเช่นตี๋ตงหมิงและเฟิ่งชิงเฉิน อีกอย่างที่นี่ไม่ใช่นอกเมือง แต่เป็นพระราชวัง เซียวชินอ๋องไม่จำเป็นจะต้องกังวลสิ่งใดต่อองค์จักรพรรดิ ดังนั้นเขาจึงได้เล่าเรื่องของขุนนางจากทหารราบเก้าประตูทั้งหมดออกมาให้องค์จักรพรรดิฟัง และไม่ลืมที่จะเล่าเรื่องผู้ประสบภัยต้องก้มลงไปเลียอาหารจากที่พื้นให้ฟัง
เซียวชินอ๋องเป็นคนจริงจัง เขาไม่ใส่สีตีไข่และไม่เข้าข้างใครทั้งนั้น เขาเพียงต้องการสะท้อนเหตุการณ์จริงให้เห็น แต่เพราะรู้ว่าเขาเป็นเช่นนั้น จึงทำให้องค์จักรพรรดิรู้สึกโมโห
ขายหน้า ขายหน้าเหลือเกิน!
ผู้บัญชาการทหารราบเก้าประตูแม้จะไม่ใช่ทหารของจักรพรรดิ แต่ก็นับว่าเป็นคนรู้ใจของจักรพรรดิ เขากล้าทำเรื่องเช่นนี้ในเมืองหลวงได้อย่างไร และยังถูกคนอื่นจับได้คาหนังคาเขา ช่างน่าอับอายเหลือเกิน
“เซียวชินอ๋องวางใจเถิด เรื่องนี้ข้าจะสอบสวนอย่างเคร่งครัด ไม่ปล่อยให้ทหารคนใดกดขี่ประชาชน ข้าจะมอบความยุติธรรมให้แก่บรรดาผู้ประสบภัยเหล่านั้น” องค์จักรพรรดิรู้สึกโมโหและให้คำสัญญาในทันที
เรื่องภัยพิบัติทางหิมะนั้นทำให้องค์จักรพรรดิปวดหัวเสียเต็มทน เนื่องจากบนโต๊ะเต็มไปด้วยรายงานภัยพิบัติในที่ต่างๆ ผู้ที่เสียชีวิตเนื่องจากภัยพิบัติทางหิมะมากขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์ของเขาก็ย่ำแย่ลงเช่นกัน
บัดนี้ใครก็ตามที่เอ่ยถึงเรื่องเหตุการณ์หิมะถล่ม ผู้นั้นมักเป็นคนโชคร้าย ในครั้งนี้ทหารราบเก้าประตูทำดีในสิ่งที่ไม่สมควรทำขึ้นเสียแล้วสิ
“ฝ่าบาททรงมีสติปัญญาลักษณ์แหลม หากมีฝ่าบาทอยู่ พวกเราคงจะสามารถเอาชีวิตรอดจากพายุหิมะครั้งนี้ร่วมกับพระองค์ได้อย่างแน่นอน” เซียวชินอ๋องรู้จักกาลเทศะดีกว่าตี๋ตงหมิง เขาจะไม่พุ่งหัวชนสุ่มสี่สุ่มห้า เมื่อได้รับคำสัญญาจากองค์จักรพรรดิแล้วเขาก็รีบเอ่ยสรรเสริญเชิญชม
ผู้ที่ทำผิดนั้นคือขุนนางชั้นต่ำ และผู้ที่ลงโทษขุนนางเหล่านั้นได้ก็คือองค์จักรพรรดิ แน่นอนว่าองค์จักรพรรดิจะต้องคืนความเป็นธรรมให้แก่ประชาชน
“ข้าเชื่อว่าประชากรของข้าจะต้องผ่านพ้นจากภัยพิบัติหิมะครั้งนี้ให้ได้” แววตาขององค์จักรพรรดิเป็นประกายด้วยความแน่วแน่ เขาไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับเทวดาฟ้าดินเขาก็ไม่ยอม
ภัยพิบัติทางหิมะครั้งใหญ่นี้เรียกได้ว่าหนึ่งร้อยปีมีครั้งเดียว แต่เขากลับเผชิญเข้ากับมัน อีกทั้งก่อนหน้านี้เหตุการณ์ที่เรียกว่า “ฟ้าผ่าในฤดูหนาว” จึงทำให้ประชาชนพากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องเขากันมากขึ้น หากในครั้งนี้เขาจัดการได้ไม่ดีล่ะก็ เขาคงจะไม่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาชน
จักรพรรดิผู้ไม่ได้รับหัวใจจากประชากรจะมีไว้ทำไมเล่า?
ภัยพิบัติทางหิมะในครั้งนี้สำหรับเขาถือว่าเป็นโอกาส เขาจะต้องระงับผลของภัยพิบัติครั้งนี้ให้ได้ และพยายามลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติทางหิมะลง
“กระหม่อมยินดีบริจาคอาหารทั้งหมดในตระกูลที่มีอยู่ เพื่อให้ชาวบ้านได้ผ่านพ้นจากความเดือดร้อนในครั้งนี้” เซียวชินอ๋องไม่เพียงแต่จะถอยออกมา เขายังเข้าอกเข้าใจถึงความคิดขององค์จักรพรรดิ คำพูดขององค์จักรพรรดิเมื่อครู่ก็เพียงเพื่อต้องการจะรับมือกับการบรรเทาภัย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สู้เขานำอาหารในคลังที่บ้านออกมามอบให้เพื่อเป็นตัวอย่าง และองค์จักรพรรดิจะได้ไปขอความช่วยเหลือจากขุนนางคนอื่นได้
“ขอบใจยิ่งนัก มีเซียวชินอ๋องคอยสนับสนุน ข้าจะไปกังวลสิ่งใดอีกเล่า” เป็นจริงดังนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวชินอ๋องดูเจิดจ้า
เขาคือจักรพรรดิผู้สง่างาม จะยอมให้คนที่ไม่รู้จักว่าเป็นใคร มาแย่งผลงานได้อย่างไรเล่า อีกฝ่ายหนึ่งได้มอบโจ๊กและหมั่นโถว เขาซึ่งเป็นถึงองค์จักรพรรดิจะทำไม่ได้หรือ
“องค์จักรพรรดิช่างมีเมตตายิ่งนัก นี่นับว่าเป็นโชคดีของประชาชน” เซียวชินอ๋องไม่กล้าที่จะกระทำการบุ่มบ่าม เขาจึงได้เอ่ยชมองค์จักรพรรดิออกมา และองค์จักรพรรดิก็รู้ถึงความหมายของเซียวชินอ๋อง จึงได้สั่งให้ทหารปิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ประตูเมืองเอาไว้
ในขณะเดียวกัน……
เขาตั้งใจจะเดินทางไปเอ่ยถามขุนนางทั้งหลายถึงเรื่องของเสบียง เนื่องจากเสบียงอาหารที่เหล่าผู้ประสบภัยต้องการมากมายจนไม่อาจนับได้ หากอาศัยเพียงกำลังของทางการจะไปเพียงพอได้อย่างไร
เป็นไปดังที่เฟิ่งชิงเฉินคิดเอาไว้ล่วงหน้า ในไม่ช้าเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงประตูเมืองก็ถูกระงับเอาไว้ ตี๋ตงหมิงเป็นผู้ที่ได้รับผลงาน และคนจากทหารราบเก้าประตูก็ถูกจับ ผู้บัญชาการถูกเปลี่ยนเป็นคนใหม่ ได้ยินว่าคนๆ นั้นมาจากตระกูลเวิน มองดูแล้วตระกูลใหญ่แต่ละตระกูลได้พากันเข้ามาพึ่งพาองค์จักรพรรดิ เหลือเพียงแค่ตระกูลหวังเท่านั้นที่ยังดิ้นรน
เมื่อตระกูลขุนนางชั้นสูงเหล่านั้นพากันมาพึ่งพาช่วยเหลือองค์จักรพรรดิ พวกเขาก็ไม่ห่างเหินกันอีกต่อไป พวกเขาทั้งหลายกลายเป็นหมากในมือขององค์จักรพรรดิตัวหนึ่งและให้องค์จักรพรรดิ หยิบยกพวกเขาเอามาใช้ได้ตามใจชอบ แต่ว่า …… หากไม่เข้าไปพักพิงพึ่งพิงองค์จักรพรรดิ ในไม่ช้าพวกเขาก็จะต้องล้มลง
แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเฟิ่งชิงเฉิน สิ่งที่นางกำลังทำอยู่ทุกวันนี้นั่นก็คือเดินทางมาระหว่างจวนเฟิ่งและโรงพยาบาลเพื่อประชาชน ส่วนซุนซือสิงช่วยดูแลชุยห้าวถิง
ไม่ใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินต้องการชื่อเสียงเพียงคนเดียว แต่นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าซุนซือสิงมีสมองที่โง่เง่า
เขาบอกว่าสถานการณ์โดยทั่วไปของชุยห้าวถิงอยู่ภายใต้การควบคุมได้แล้ว สั่งให้เหล่าฮูหยินตระกูลชุยคอยดูแลก็พอ เขาไม่จำเป็นจะต้องอยู่ที่นั่นเพื่อดูแลชุยห้าวถิงอีกต่อไป เขาสามารถใช้เวลาที่ค่อยดูอาการชุยห้าวถิงไปรักษาผู้ป่วยได้หลายสิบคน
เฟิ่งชิงเฉินแทบจะร้องไห้ออกมา เจ้าโง่เอ๋ย ชุยห้าวถิงไม่ใช่คนธรรมดา การที่ตีสนิทสัมพันธ์กับเขาสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด อาทิเช่นยามที่เจ้าหน้าที่ทหารทำลายหม้อโจ๊กและหมั่นโถว คนธรรมดาสามารถช่วยเจ้าจัดการขุนนางเหล่านี้ได้หรือ?
ไม่ได้ แต่ชุยห้าวถิงทำได้!
การผูกมิตรกับขุนนางระดับสูง บางครั้งก็ไม่ได้ทำไปเพื่อปกป้องตนเอง ทั้งยังต้องการปกป้องคนที่ต้องการปกป้องได้ด้วย และหมอก็เกิดมาพร้อมกับหน้าที่และทรัพยากรดังกล่าว แต่ซุนซือสิงกลับไม่ใช้ประโยชน์จากวิธีเหล่านี้ น่าหงุดหงิดเหลือเกิน!
เฟิ่งชิงเฉินลืมไปว่าตอนนั้นที่นางอยู่ในโรงพยาบาลทหารนางเองก็ไม่รู้จักใช้โอกาสนี้เพื่อผูกมิตรกับผู้มีอำนาจ และตอนนั้นนางเองก็ทำให้อาจารย์ใหญ่โมโหหงุดหงิด …… จนเกือบต้องส่งเข้าห้องพยาบาล
การผูกมิตรกับผู้มีอำนาจไม่ใช่เรื่องน่าอาย เพียงแค่รักษาทัศนคติของตนเอาไว้ อย่าได้ไปพึ่งพิงพวกเขาทั้งหมด อยู่ในจุดของตนเองอย่างเป็นสุข
ทั้งโรงทานและโรงพยาบาลเพื่อประชาชนดำเนินไปได้อย่างราบรื่นมาก ไม่เพียงแค่เมืองหลวงเท่านั้น ในเมืองอื่นๆ ก็ถูกจัดการอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เฟิ่งชิงเฉินไม่เข้าใจนั่นก็คือ เวลาผ่านไปหลายวันมาแล้ว ก็ยังไม่มีคำพูดใดเกี่ยวกับเสด็จอาเก้าว่าเป็นคนออกมาบริจาคอาหาร ทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกงุนงง
แต่ว่าเฟิ่งชิงเฉินก็พอจะเข้าใจถึงความหมายของเสด็จอาเก้าอยู่บ้าง นางจึงไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจเรื่องราวเหล่านี้ เพียงทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็พอ การตั้งโรงทานในวันที่ ซูเหวินชิงก็ได้เดินทางมาด้วยตนเอง
“ชิงเฉินช่วยด้วย” ไม่ได้พบกับซูเหวินชิงเพียงแค่ไม่กี่วัน ปรากฏว่าเขาดูผอมสูบลงไปไม่น้อย หากว่าไม่ได้มีเสื้อผ้าหนาๆ เหล่านี้ค่อยสวมห่อหุ้ม เฟิ่งชิงเฉินคงสงสัยว่า เขาเป็นท่อนไม้ไปแล้ว
ศีรษะเขามีขนาดใหญ่และแขนขาที่มีขนาดเล็ก
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน?” เมื่อกลับมาจากโรงพยาบาลเพื่อประชาชน เฟิ่งชิงเฉินก็บังคับให้ทุกคนไปอาบน้ำฆ่าเชื้อโรคก่อนเข้าไปในจวน ตอนที่ซูเหวินชิงเดินตรงเข้ามานั้น นางเพิ่งจะจัดการตัวเองเสร็จยังไม่ทันได้กินข้าว
“อาหาร อาหาร! อาหารสำหรับถามโจ๊ก หาไม่ทัน!” ซูเหวินชิงแทบจะร่ำไห้ออกมา เนื่องจากความต้องการของโจ๊กมากเกินสิ่งที่เขาจินตนาการเอาไว้ เขาพยายามอย่างยิ่งในการลำเลียงขนส่งอาหาร กว่าจะสามารถประคองมาได้ตั้งหลายวัน แต่อาหารเหล่านั้นกลับไม่สามารถเอาเข้ามาได้
หิมะตกหนักบิดบังเส้นทางจนสิ้น เขาส่งคนออกไปรับพันธุ์พืชเหล่านั้น และสามารถขุดถนนออกมาเส้นหนึ่งได้แต่มันก็ยังช้าเกินปกติ เทียบด้วยเวลาเช่นนี้ เขาไม่มีทางขนส่งธัญพืชไปเมืองอื่นที่ต้องการได้ในเวลาที่กำหนด
“ฮือๆๆ……” เขารู้สึกเสียใจเหลือเกิน เขาควรที่จะฟังเสด็จอาเก้าก่อนหน้านี้ และเดินทางมาเอ่ยถามเฟิ่งชิงเฉิน ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะสายเกินไปหรือไม่ และไม่รู้ว่าหากขาดแคลนอาหารแผนการของพวกเขาจะล้มเหลวหรือเปล่า
“ส่งมาไม่ทันหรือว่าไม่มีอาหารแล้ว?” เฟิ่งชิงเฉินได้ยินดังนั้นก็เข้าใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้ทันที นางเอ่ยถามขึ้นโดยไม่สนใจเรื่องความหิวของกระเพาะอาหาร
“ลำเลียงมาไม่ทัน อาหารอยู่ระหว่างทาง ถนนถูกหิมะปิดบังเอาไว้จึงทำให้ความเร็วของรถมาช้าลงมาก หากว่าอาหารยังไม่เข้ามาอีกล่ะก็ อีกสองวันพวกเราก็คงไม่มีอาหารแล้ว”
ปริมาณอาหารแต่ละวันเพื่อใช้เลี้ยงผู้ประสบภัยพิบัติ มากกว่ากองทัพที่มีทหารห้าแสนนายเสียด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะองค์จักรพรรดิมีพระราชฎีกาให้เปิดคลังหลวง อาหารของพวกเขาคงจะไม่สามารถอยู่ต่อได้ถึงสามวัน
“รถม้าหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโมโห หิมะตกหนักขนาดนี้ การที่พวกเขาใช้รถมาในการลำเลียงไม่เท่ากับว่าโง่เง่าหรอกหรือ? “หิมะตกหนักขนาดนี้รถมาจะเคลื่อนตัวได้อย่างไร ล้อจะติดอยู่ในหิมะ แน่นอนว่าความเร็วของมันคงจะช้ากว่าหอยทากเสียอีก หากเจ้าใช้รถม้า ต้องรอถึงเมื่อไหร่กันจึงจะลำเลียงอาหารเข้ามาในเมืองได้?”
ปัญหาเรื่องเสบียงของผู้ประสบภัยเป็นเรื่องสำคัญ แต่ซูเหวินชิงกลับมาบอกกับนางว่าอาหารกำลังจะขาดแคลน ทำให้นางไม่พอใจมากจริงๆ
“หากไม่ใช่รถม้าแล้วจะใช้อะไร?” ซูเหวินชิงทำท่าทางงุนงงแล้วมองไปทางเฟิ่งชิงเฉิน เพื่อการลำเลียงอาหารในครั้งนี้ เขาได้ใช้ม้าศึกที่ดีที่สุด ยามลำเลียงอาหาร และพวกมันได้เสียชีวิตลงระหว่างทางนับสิบตัว หัวใจของเขาเลือดหยดซิบๆ
“ท่ามกลางหิมะที่ตกหนักเช่นนี้ รถม้าไม่สามารถเดินบนหิมะได้อย่างแน่นอน การใช้รถม้าเพียงแต่จะทำให้เกิดข้อผิดพลาดมากขึ้นเท่านั้น และในเวลาเช่นนี้เราควรที่จะใช้แคร่เคลื่อนหิมะ”
“แคร่เคลื่อนหิมะคืออะไร?” ซูเหวินชิงมองไปด้วยทำสงสัย ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกเสียใจที่ไม่ยอมฟังคำพูดของเสด็จอาเก้าก่อนหน้านี้ว่าให้มาถามเฟิ่งชิงเฉิน
“แคร่เลื่อนหิมะคืออะไร? เป็นเครื่องมือที่สามารถทำให้เคลื่อนตัวไปด้านหน้าท่ามกลางหิมะได้อย่างรวดเร็วอย่างไรเล่า” เฟิ่งชิงเฉินอยากจะบีบคอซูเหวินชิงเสียเหลือเกินเหตุใดไม่มาเอ่ยถามนางให้เร็วก่อนหน้านี้
เฟิ่งชิงเฉินอธิบายเรื่องแคร่เคลื่อนหิมะให้ซูเหวินชิงฟังอย่างอดทนในขณะเดียวกันก็บอกกับเขาว่า “เพียงแค่ปรับปรุงรถม้าเล็กน้อยก็สามารถกลายเป็นแคร่เคลื่อนหิมะได้ และสามารถประหยัดเวลาไปได้มากทีเดียว”
ซูเหวินชิงได้วิธีการจัดการปัญหาจึงกลับจวนไปด้วยใบหน้าอันมีความสุข เมื่อเขากลับไปยังจวน ก็ได้สั่งให้คนนำรถม้ามาแล้วทำการดัดแปลงให้เป็นแคร่เคลื่อนหิมะ
ท่ามกลางหิมะอันตกหนักเช่นนี้ ใครเล่าที่ไม่ขาดแคลนอาหาร ปัญหาหนักใจของซูเหวินชิงได้รับการแก้ไขแล้ว แต่ทางด้านขององค์จักรพรรดิกลับกำลังประสบกับปัญหาใหญ่ พวกเขาขาดแคลนอาหาร องค์จักรพรรดิพบว่าพื้นที่ที่เขาปกครองนั้นขาดแคลนอาหารอย่างร้ายแรง
เขาคิดไม่ถึงว่าอาหารที่บรรดาตระกูลใหญ่ได้นำออกมาสละให้นั้นยังไม่เพียงพอสำหรับสามวันเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งยังมีเสบียงคลังหลวงอย่างมากก็สามารถช่วยชีวิตผู้ประสบภัยเหล่านั้นได้เพียงห้าวัน นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ พวกเขาพยายามประหยัดอาหารสู้กับชายนิรนามผู้นั้นที่ออกมาแจกจ่ายอาหาร
ห้าวัน ทางการจะสามารถทนได้อีกเพียงห้าวันแล้วทำอย่างไรเล่า?
บัดนี้องค์จักรพรรดิกังวลเสียจนผมหงอกขาว