นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 696 ในวังก็ดี แต่ข้าชอบจวนอ๋องเก้ามากกว่า
ในวันที่ 10 ของภัยพิบัติ และวันที่ 9 ของการช่วยบรรเทาภัย จักรพรรดิได้รับรายงานว่าอาหารที่มีอยู่ได้ใช้จนหมดสิ้น ส่วนอาหารที่โยกย้ายมาจากเขตแดนอื่น บัดนี้ก็ยังลำเลียงมาไม่ถึงเสียที หากว่าอาหารยังมาไม่ถึงเช่นนี้ล่ะก็ อาหารที่มีอยู่นั้นก็คงหมดและคงต้องหยุดการช่วยเหลือแจกจ่ายอาหาร ซึ่งจะกลายเป็นเรื่องตลกในสายตาชาวบ้าน
องค์จักรพรรดิจึงได้ออกคำสั่งอีกครั้ง กำหนดให้ขุนนางและตระกูลใหญ่นำธัญพืชที่เก็บเอาไว้ออกมาใช้ ทั้งยังให้สัญญาว่าในปีหน้าจะคืน อาหารให้แก่พวกเขา
การนำธัญพืชใหม่ไปแลกกับพันธุ์พืชเก่า นี่เป็นเรื่องที่ดียิ่งนัก แต่ในมือก็ต้องมีของด้วย
บรรดาตระกูลใหญ่ทั้งหลายล้วนมีความสัมพันธ์อันแนบชิดกับองค์จักรพรรดิ แต่ตระกูลใดบ้างเล่าที่ไม่ต้องเลี้ยงดูผู้คนหลายหมื่นคน พวกเขาเองก็ต้องกินข้าว ต่อให้พวกเขาต้องการจะเข้าไปช่วยบรรเทาภัย แต่ก็คงไม่อาจทำให้คนของตนเองต้องอดตายได้
เมื่อถูกองค์จักรพรรดิบีบคั้นอย่างหนัก บรรดาขุนนางทั้งหลายรวมถึงบุคคลสำคัญต่างๆ ในตระกูลใหญ่ จึงหากันร่ำไห้กล่าวว่าพวกเขาช่างยากจน ยามที่องค์จักรพรรดิกล่าวถึงอาหาร
พวกเขาเองก็ใกล้จะอดตายอยู่แล้ว จะไปเอาธัญญาหารที่ใดให้องค์จักรพรรดิช่วยเหลือเลี้ยงดูผู้ประสบภัย เมื่อครั้งก่อน จู่ๆ ตลาดก็มีอาหารจำนวนมากเพิ่มขึ้น จึงทำให้ราคาของธัญพืชตกลง ส่งผลให้พวกเขาไม่เพียงแต่ขาดทุนไปมากมาย อีกทั้งธัญญาหารที่มีอยู่ก็ได้เอาออกมาขายเกือบสิ้นแล้ว เนื่องจากกลัวว่าหากเอาไว้ในกำมือมากเกินไปจะด้อยค่า ด้วยเหตุนี้เอง ในมือของพวกเขาบัดนี้จึงมีอาหารไม่มากนัก จะไปหาอาหารที่ได้มาให้ฝ่าบาทใช้สำหรับบรรเทาภัยเล่า?
หลายวันมานี้ การประชุมเช้าของทางราชวงศ์เรียกได้ว่าน่าหดหู่เหลือเกิน ฝ่าบาทกล่าวว่าชาวบ้านช่างน่าสงสาร ส่วนขุนนางทั้งหลายกล่าวว่าตนช่างอย่าใจยิ่งนักแล้วร้องไห้ร้องห่ม ทำให้องค์จักรพรรดิไม่อาจพูดสิ่งใดได้ ในวันนี้เพื่อองค์จักรพรรดิเอ่ยถึงเรื่องการบรรเทาภัยขึ้นอีกครั้ง บรรดาขุนนางทั้งหลายก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาถึงความน่าสงสารของตน แล้วพยายามลองให้คำแนะนำขององค์จักรพรรดิดู
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ พวกเราไม่มีอาหารแล้วจริงๆ บัดนี้หิมะตกหนักเป็นเวลาหลายสิบวัน นี่มันหนักหนามากทีเดียว ต่อให้มีธัญพืชมากมายเพียงไรก็ไม่เพียงพอหรอก ทางเจียงหนานนั้นสามารถรวบรวมธัญญาหารได้แล้ว แต่ต้องรอประมาณหนึ่งเดือนจึงจะลำเลียงอาหารมาถึงที่นี่ได้”
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ……มีบุคคลนิรนามออกมาแจกจ่ายโจ๊กอยู่ไม่ใช่หรือ บัดนี้เขาได้แจกจ่ายอาหารมานับสิบวันแล้ว และยังมีธัญญาหารอยู่ พวกเรา พวกเราสู้ไปขอยืมธัญญาหารจากคนผู้นั้น รอให้ธัญญาหารจากเจียงหนานลำเลียงมาถึงที่นี่เมื่อไหร่ พวกเราก็คืนให้แก่เขาเป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ความคิดเห็นนี้ดียิ่งนัก ที่สำคัญก็คือจะต้องไปสืบหามาให้ได้ว่าผู้ที่ดูลึกลับ คนนั้นเป็นใคร บัดนี้ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำแล้วจะไปยืมอาหารจากเขามาได้อย่างไร?
ไม่ใช่ว่าองค์จักรพรรดิไม่เคยส่งคนออกไปตรวจสอบ เขาได้เรียกซูเหวินชิงเข้ามาในพระราชวัง และเอ่ยถามมากมายครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่ากลับไม่ได้ข้อความใดๆ เนื่องจากซูเหวินชิงเองก็ไม่รู้
ซูเหวินชิงแทบจะร้องไห้ออกมา “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมถูกเข้าใจผิดไปแล้ว กระหม่อมไม่รู้จริงๆ ว่าบุคคลลึกลับผู้นั้นคือใคร กระหม่อมเป็นเพียงแค่พ่อค้าคนหนึ่ง และบุคคลผู้นั้นนำเงินมาชำระให้กระหม่อมจึงได้ขายอาหารไป ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หากทรงไม่พอพระทัย กระหม่อมจะ ให้คนของกระหม่อมกลับมาก็ได้”
ด้วยข้อมูลของซูเหวินชิง เขาส่งคนไปตรวจสอบมากมาย แต่ก็ไม่รู้อีกเช่นกันว่าอาหารเหล่านั้นมาจากที่ใด อาหารมากมายจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นในเมือง โดยไม่เหลือร่องรอยใดๆ ไว้แม้แต่น้อย
ความเป็นจริงนั้นก็คือ หลังจากที่ซูเหวินชิงทำแคร่เคลื่อนหิมะออกมาเรียบร้อยแล้ว เขาก็พักผ่อนในตอนกลางวันและรีบเร่งในตอนกลางคืน เพราะถึงอย่างไรหิมะเหล่านั้นก็ส่องแสงสีขาวราวกลางวัน ประกอบกับร่องรอยของการเดินทางค่อนข้างบางเบา เพียงไม่เท่าไรก็ถูกหิมะกลบไปแล้ว องค์จักรพรรดิจึงไม่อาจสืบได้ว่าลำเลียงอาหารมาจากที่ใด
หากฝ่าบาทจะบีบบังคับซูเหวินชิงอีกเช่นนี้ต่อไป คาดว่าซูเหวินชิงคงจะสิ้นใจตายเพื่อการแสดงออกถึงความจริงใจ เขาไม่ทำแล้วก็ได้ เขาเป็นเพียงแค่พ่อค้าคนหนึ่งที่ต้องการหากำไรรายได้ แต่กลับต้องเอาชีวิตเข้าไปข้องเกี่ยว
ไม่ทำแล้วงั้นหรือ? แน่นอนว่าไม่ได้ หากซูเหวินชิงไม่ทำต่อไปล่ะก็คงจะไม่มีผู้ใดออกมาแจกจ่ายอาหาร ซึ่งบรรดาประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนเหล่านั้นคงจะออกมาสร้างความโกลาหล ก่อนหน้านี้ไม่มีการแจกจ่ายอาหารก็ยังไม่เท่าไร แต่บัดนี้เมื่อมีการแจกจ่ายอาหารมาเพื่อช่วยบรรเทาภัย หากว่าหยุดลงละก็ ประชาชนเหล่านั้นคงจะต้องด่าทอองค์จักรพรรดิอย่างแน่นอน
องค์จักรพรรดิเองก็ไม่รู้จะทำเช่นไร พอบัดนี้เขายังต้องพึ่งพิงชายลึกลับผู้นั้น ในการแจกจ่ายอาหาร
บรรดาชาวบ้านต่างรู้สึกซาบซึ้งกับบุคคลลึกลับผู้นั้นที่ออกมาแจกจ่ายอาหาร แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าบุคคลลึกลับผู้นั้นเป็นใคร การที่ขุนนางเสนอนี้ออกมาแล้วจะให้เข้าไปหาที่ได้เล่า……
จักรพรรดิรู้สึกโมโหยิ่งนักและไม่สนใจว่าขุนนางเหล่านี้จะมีความสามารถหรือไม่ เขาได้ทำการประกาศลงไป พรุ่งนี้ตอนเช้าจะต้องหาอาหารจำนวนห้าพัน หากหาไม่ได้จะถูกลงโทษข้อหาไม่เชื่อฟังคำสั่ง
อาหารจำนวนห้าพันสือ หากเป็นเมื่อก่อนช่างง่ายดายเหลือเกิน แต่บัดนี้……
“ใต้เท้าหยู พวกเราจะไปหาอาหารมากมายเช่นนั้นมาจากที่ใดกันเล่า บัดนี้คนในจวนของเราก็กินอิ่มได้เพียงแค่ประทังชีวิต หากเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเราเองก็คงจะอดตายด้วย พิบัติหิมะในครั้งนี้ช่างลำบากทำให้พวกเขาลำบากยิ่งนัก แต่บุคคลลึกลับที่ออกมาแจกจ่ายอาหาร ทำให้พวกเขาลำบากมากกว่า
หากไม่ใช่เพราะเขาผู้นั้นปรากฏกายขึ้น พวกเขาทั้งหลายจะวิตกกังวลขนาดนี้หรือ ชาวบ้านเหล่านั้นอดตายก็ให้อดตายไปสิขุดหลุมฝังก็สิ้นเรื่อง ในปีหน้ายังมีผู้ประสบภัยอีกมากมายนับไม่ถ้วน ประชาชนเหล่านี้มากมายเหมือนฝูงมด ตายก็ตายไปจะไปสนใจทำไมเล่า
ก่อนหน้านี้เมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น ก็มักจะมีผู้คนอดอยากจนเสียชีวิตลงเรื่องราวเหล่านี้พวกเขาล้วนรู้ดี แต่รู้แล้วอย่างไรเล่า เพียงแค่ปิดเอาไว้ให้ดีองค์จักรพรรดิก็คงไม่รู้เรื่อง
แต่บังเอิญว่าในปีนี้…… ภัยพิบัติค่อนข้างรุนแรงและมีคนเข้ามาก่อสร้างความวุ่นวาย ในครั้งนี้บรรดาชาวบ้านนับว่ามีบุญ แต่พวกเขากลับพบกับความย่ำแย่ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการแสวงหากำไรจากภัยพิบัติ แม้แต่ชีวิตตนเองก็แทบจะรั้งไว้ไม่ได้
“ในครั้งนี้ ฝ่าบาทตั้งใจจะบรรเทาภัยพิบัติจริงๆ พวกเราจำเป็นต้องไปพยายามรวบรวมอาหารมา คำนวณไว้ให้คนในบ้านของเราพอกิน สักเดือนก็พอ หลังจากนี้หนึ่งเดือนอาหารจากทางเจียงหนานจะลำเลียงมาถึง พวกเราก็ไม่ต้องกังวลสิ่งใดแล้ว” ใต้เท้าหยู ผมเผ้าหงอกขาวแต่ดูท่าทางเปี่ยมไปด้วยพลัง มองดูแล้วเขาคงจะเป็นหัวหน้าขุนนาง หลายต่อหลายคนเข้ามารายล้อมอยู่รอบกายเขา แน่นอนว่าโดยมากแล้วจะเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น เพราะขุนนางฝ่ายบู๊หลวมพากันไปรายล้อมอยู่รอบกายเซียวชินอ๋อง
ขุนนางฝ่ายบุ๋นนั้นช่างเจ้าเล่ห์ ส่วนขุนนางฝ่ายบู๊จะตรงไปตรงมา เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง หลังจากที่ฝ่าบาทได้บีบบังคับขุนนางทั้งหลาย พบว่าขุนนางฝ่ายบู๊ล้วนนำอาหารออกมาจนตัวเองแทบไม่มีกิน แต่สำหรับขุนนางฝ่ายบุ๋นพวกเขายังคงมีอาหารกินพอเพียง
บรรดาผู้ที่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นโดยมากมักจะเป็นผู้ที่ศึกษาตำราหรือเรียกว่านักปราชญ์ เรื่องนี้ยืนยันได้ ขุนนางฝ่ายบู๊แต่ละคนต่างพากันร่ำไห้กล่าวว่า “ท่านอ๋อง เราไม่อาจหาอาหารออกมาให้ได้แล้ว บัดนี้ครอบครัวของข้ายังไม่มีอาหารในพรุ่งนี้ที่จะกินเลย”
“ขอรับท่านอ๋อง ครั้งแรกที่ฝ่าบาทตรัสว่าให้นำอาหารออกมาช่วยเหลือ กระหม่อมก็ได้นำอาหารออกมาช่วยเหลือจนสิ้นแล้วเหลือไว้เพียงสำหรับพอกินในครอบครัวจำนวนหนึ่งเดือน ต่อมาก็ได้ขอให้บริจาคอีก และกระหม่อมก็ได้นำมาบริจาค บัดนี้เป็นเวลาหลายวันมาแล้วที่กระหม่อมไม่รู้ว่าการกินอิ่มเป็นเช่นไร”
ทุกคนทำเต็มที่ก็เพียงพอแล้ว หากไม่อาจหามาได้ก็ไม่เป็นไร เซียวชินอ๋องรู้ดีว่าพวกเขาทั้งหลายไม่ได้โกหก ขุนนางฝ่ายบู๊ทั้งหลายไม่ได้เป็นเช่นขุนนางฝ่ายบุ๋น พวกเขาไม่ต้องการที่จะใช้โอกาสนี้ในการทำกำไร หากไม่มีสงครามพวกเขาก็ไม่มีโอกาสในการหากำไร อีกทั้งขุนนางฝ่ายบู๊โดยมากจะยากจน พวกเขาไม่ได้มีอาหารมากมาย
“เมื่อมีประโยคนี้ของท่านอ๋องพวกเราก็วางใจสักที”
ผู้คนกลุ่มหนึ่งพากันสนทนาแล้วเดินออกไปข้างนอก ขุนนางบู๊บุ๋นพากันเดินออกไปเป็นสองแถว
องค์จักรพรรดิมองดูภาพตรงหน้า เห็นท่าทางอันหดหู่ของขุนนางทั้งหลาย สีหน้าของเขาดูเศร้าโศกเล็กน้อย ราวกับว่าชราไปหลายสิบปี ข้าทำเกินไปหรือไม่?
องค์จักรพรรดิถอนหายใจออกมา เขารู้ดีว่าเขากำลังบีบบังคับขุนนางบู๊บุ๋นของตน แต่เขาก็ทำไปเพราะความจำเป็น
ในฐานะจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ตงหลิง เขาไม่มีอาหารมากมายในมือนัก แต่บุคคลลึกลับผู้นั้นเอาอาหารมากมายเช่นนี้มาจากไหน ทั้งยังสามารถบริจาคอาหารได้อีกมากมายอย่างไม่หยุดหย่อน ดูเหมือนโจ๊กที่พวกเขาต้มจะเข้มข้นกว่าโจ๊กของทางการเสียอีก นี่ไม่เท่ากับเป็นการตบหน้าเขาหรอกหรือ?
อีกอย่างสิ่งที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือภายใต้การปกครองของเขามีคนคนหนึ่งซึ่ง มีความสามารถมากมายเพียงนี้เขาจะรู้สึกวางใจได้อย่างไร ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาจะต้องไปตามหาคนลึกลับผู้นั้นให้ได้
หากคนผู้นั้นไม่มีความคิดอื่นใดก็คงดี แต่หากว่ามีความคิดแอบแฝงล่ะก็เขาจะตามหาอีกฝ่ายและฆ่าทิ้งให้ได้
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงคิดเพื่อประชาชนส่วนมาก ทุกคนล้วนเข้าใจดี” หลายวันมานี้มีรายงานว่าผู้เสียชีวิตจากการประสบภัยครั้งนี้น้อยลงเรื่อยๆ ชาวบ้านล้วนได้รับการช่วยเหลือและขอบคุณฝ่าบาท ขันทีคนหนึ่งเข้ามาประจบประแจงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียง อันบางเบาในที่สุด
กำลังหลักในการบรรเทาภัยครั้งนี้ไม่ใช่ทางการ แต่เป็นบุคคลลึกลับผู้นั้น บุคคลที่มีอาหารมากมายอย่างปริศนา
“หึๆ……” ฝ่าบาทจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร หากไม่ใช่เพราะคนลึกลับผู้นั้นภัยพิบัติในครั้งนี้คงจะคร่าชีวิตผู้คนไปไม่ต่ำกว่าสามแสนคน แต่เนื่องจากมีชายลึกลับที่ออกมาช่วยทำให้ผู้คนเสียชีวิตน้อยลงอย่างมาก มีเพียงแค่หกหมื่นกว่าคนเท่านั้น
เดิมทีเขาควรจะขอบคุณชายปริศนา แต่บัดนี้เขาราวกับมีก้อนหินอยู่ในใจ ทำให้องค์จักรพรรดิรู้สึกว่ากำลังถูกคุกคาม
ขันทีทั้งหลายพากันมองดูสีหน้าของฝ่าบาทด้วยความระแวดระวัง และพบว่าสีหน้าของเขาดูไม่ดีนัก ขันทีน้อยใหญ่จึงได้กลอกตามองกันแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ เสด็จอาเก้าประทับอยู่ในวังตั้งหลายวันแล้ว ฝ่าบาทคิดว่า……”
หากฝ่าบาททรงโมโหก็จงไประบายกับเสด็จอาเก้าเถิด พวกเขาคงไม่อาจรับความคับแค้นของฝ่าบาทเอาไว้ได้
เสด็จอาเก้า?
แววตาขององค์จักรพรรดิกรอกมองในทันใด
นั่นน่ะสิเหตุใด เขาจึงลืมไปได้เล่า เสด็จอาเก้าคือผู้สนับสนุนซุนซือสิง บุคคลลึกลับผู้นั้นอาจจะเป็นเสด็จอาเก้าก็ได้ เพียงแต่องค์จักรพรรดิไม่อาจเชื่อได้เลยว่าเสด็จอาเก้าจะมีอาหารกักตุนเอาไว้มากมาย ทั้งๆ ที่อยู่ในการดูแลของเขาเช่นนี้ และยิ่งไม่เชื่อว่าเสด็จอาเก้าจะมีความสามารถนั้น
เพราะถึงอย่างไรก็ตามการที่ชินอ๋องจะมีอาหารไว้มากมายไม่ใช่เรื่องง่าย เสด็จอาเกาคงจะต้องการเก็บเอาไว้เพื่อกบฏ การนำออกมาใช้ในตอนนี้คงจะโง่เง่าเกินไป
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามลองไปดูสักหน่อยเถิด องค์จักรพรรดิไม่กล่าวสิ่งใดแล้วรีบเสด็จไปยังที่ประทับของเสด็จอาเก้าในทันที
องค์จักรพรรดิไม่ได้แสดงท่าทีอันน่าตกใจใดๆ ออกมา เขาเดินตรงไปข้างในแล้วพบเสด็จอาเก้านั่งอ่านหนังสืออยู่ริมหน้าต่างอย่างสบายใจชวนให้คนอิจฉา
เมื่อองค์จักรพรรดิเสด็จเข้าไปใกล้ เสด็จอาเก้าจึงได้เห็นว่าองค์จักรพรรดิเดินทางมาดังนั้นจึงวางมือลงแล้วหันไปโค้งคำนับ “ถวายบังคมฝ่าบาท”
“น้องเก้าช่างสง่ายิ่งนัก” องค์จักรพรรดิโบกมือเป็นการบอกให้เสด็จอาเก้าไม่ต้องมีพิธีรีตอง จากนั้นนั่งลงโดยไม่มีใครต้องเชื้อเชิญ เสด็จอาก้าว ยืนอยู่ด้านข้างโดยไม่กล้านั่งหากไม่มีคำสั่งขององค์จักรพรรดิ เพียงแต่ว่า ……
ท่าทางของเสด็จอาเก้าแตกต่างไปจากขุนนางทั่วไปอย่างสิ้นเชิง เสด็จอาเก้ายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับต้นไม้ที่ไม่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนเอาเสียเลย
องค์จักรพรรดิรู้สึกโมโหหงุดหงิดเมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นแต่ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา องค์จักรพรรดิเพียงชี้ไปที่กระดานหมากด้านข้างแล้วกล่าวว่า “น้องเก้า มาเล่นมากเป็นเพื่อนข้าสักตาเถิด”
“ตามคำบัญชา” เสด็จอาเก้าเข้าใจดีว่าเหตุใดองค์จักรพรรดิจึงเดินทางมาที่นี่ ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อน รอให้เล่นหมากรุกเสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน เพราะถึงอย่างไรคนที่เป็นกังวลก็ไม่ใช่เขา
หลังจากจบกระดานหมากหนึ่งแล้ว ปรากฏว่าเสด็จอาเก้าทำการรุกโดยไม่ไว้หน้า ทำให้องค์จักรพรรดิไม่อาจมีทางหนีได้เลย สีหน้าขององค์จักรพรรดิดูมืดมนลงไม่มีใครกล้าเดินหมากกับเขาเช่นนี้ น้องเก้าของเขาคนนี้ใจกล้ายิ่งนัก ถูกกักขังไว้เป็นเวลานานแต่ยังไม่รู้จักปรับปรุงตัว ช่างน่าหงุดหงิดเหลือเกิน!