นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 703 ตราบใดที่เจ้ายังไม่แต่งงาน ข้าจะรอ
การเคลื่อนไหวของตระกูลชุย ทำให้เซวียนเส้าฉีถึงกับหน้าซีดเซียว การมาในครั้งนี้ของเสด็จอาเก้าพูดได้เลยว่าคุ้มค่ามาก บรรลุเป้าหมาย เสด็จอาเก้ามิได้อยู่นานนัก เพียงเสวนาอยู่ชั่วครู่ เสด็จอาเก้าก็ลุกขึ้นมา
“นี่ก็สมควรแก่เวลาแล้ว ข้ามิขอรบกวนเวลาพักผ่อนของคุณชายชุยแล้วหล่ะ”
เมื่อเสด็จอาเก้ากล่าวจบก็เดินออกไป เฟิ่งชิงเฉินดีใจมากถึงกับรีบลุกพรวดพราดขึ้นมา พร้อมกับพาเขาออกไป
อันที่จริง เฟิ่งชิงเฉินก็เหมือนกับระเบิดลูกหนึ่งที่น่ากลัว หากพกพาติดตัวไปด้วย นางก็คงจะเกรงว่าซุนซือสิงคงจะหนีมิพ้นเงื้อมมือของเขา แม่นางคนนี้มีความเจ้าเล่ห์เพทุบาย อาจทำให้เขาเดือดร้อนได้
อาการของเฟิ่งชิงเฉินดูรีบร้อนที่จะไปส่งเขา นั่นทำให้เสด็จอาเก้ามิสะดวกใจนัก เดินไปเพียงสองสามก้าว เสด็จอาเก้าก็หันกลับไปหาเฟิ่งชิงเฉินแล้วพูดขึ้นว่า “ทำไมเหรอ?เฟิ่งชิงเฉินเจ้ามิอยากให้ข้ากลับงั้นหรือ?”
แน่นอนว่ามันไม่ใช่แบบนั้น……
เฟิ่งชิงเฉินเกือบพูดประโยคนั้นออกมา เงยหน้ามองเสด็จอาเก้าด้วยแววตาที่เย็นยะเยือก เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนที่มีปฏิภาณไหวพริบ จึงรีบเก็บคำพูดที่ต้องการพูดได้ทันท่วงที
เสด็จอาเก้าค่อยๆ แสยะยิ้ม แล้วพูดขึ้นว่า “คืนนี้ข้ายังต้องไปที่เวชศาลา มิทราบว่าเสด็จอาเก้าต้องการไปที่เวชศาลากับข้าหรือไม่”
เจ้าหมอนี่ยังมิไปอีก ถ้างั้นให้ตามข้าไปที่เวชศาลา ดูสิว่าถ้าต้องไปที่คนเยอะแบบนั้นยังจะมีท่าทีแบบนี้อีกไหม
ในเมื่อเฟิ่งชิงเฉินต้องการจี้จุดอ่อนของเสด็จอาเก้า เพราะด้วยสถานะของเขาเอง มิควรที่จะไปยังเวชศาลา หากเขาไปยังเวชศาลาในเวลานี้ มิเพียงแค่ทำให้จักรพรรดิต้องหวาดวิตก ผู้คนมากมายที่นั่นต่างต้องคาดเดาไปต่างๆ นานา และในกาลข้างหน้าเขาจะทำการสิ่งใดก็อาจจะมิราบรื่นได้
ในที่สุดสตรีผู้นี้ก็มิได้โง่เขลาอีกต่อไป เสด็จอาเก้ามองไปยังเฟิ่งชิงเฉินด้วยสีหน้าเต็มใจ “ในเมื่อชิงเฉินมีใจอยากให้ข้าไปด้วย ข้าก็ยินดีนักที่จะไปเป็นเพื่อน……”
หา? ไปจริงหรือนี่?
เฟิ่งชิงเฉินส่ายหน้า มองเสด็จอาเก้าด้วยความกังวล พร้อมถอยหลังไปสามก้าว เสด็จอาเก้าคงจะยังมิรู้ว่าหากไปยังเวชศาลาในเวลานี้มันจะเป็นเยี่ยงไรสินะ หรือเขาจะเสียสติไปเสียแล้ว
หึๆ หรือเสด็จอาเก้าจะเสียสติไปแล้วจริงๆ ……
ความกังวลของเฟิ่งชิงเฉินเพิ่มขึ้น คำพูดของเสด็จอาเก้าทำให้นางรู้สึกลำบากใจที่จะปฏิเสธ
เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจออกมา ด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยว
เฟิ่งชิงเฉินค่อยๆ กัดฟัน มิได้พูดอะไรกับเสด็จอาเก้า พร้อมกับพาเสด็จอาเก้าไปส่ง เมื่อเห็นเสด็จอาเก้าเดินออกไปสักพักแล้ว เฟิ่งชิงเฉิงจึงค่อยโล่งใจ ยืนพิงกับประตู ถอนหายใจอย่างโล่งอก ราวกับเมื่อครู่ได้ทำศึกวิวาทะครั้งใหญ่
เซวียนเส้าฉีที่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้าง ก็ยื่นผ้าเช็ดหน้าออกมาให้เฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินรับเอาไว้ พร้อมกับกล่าวขอบคุณ แล้วค่อยๆ เช็ดเหงื่อ หลังจากนั้นก็เตรียมที่จะคืนให้กับเซวียนเส้าฉี แต่ก็พบว่าผ้าเช็ดหน้านั้นสกปรกเสียแล้ว นางจึงเก็บผ้าเช็ดหน้ากลับมา “ข้าขอซักให้สะอาดเสียก่อนแล้วข้าจะคืนให้เจ้า”
“มิเป็นไร มันก็แค่ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่ง ข้างนอกนี่อากาศเย็นนัก เรากลับเข้าไปข้างในกันเถอะ” เซวียนเส้าฉีที่ถูกเสด็จอาเก้ากดดันจนนั่งไม่ติด แต่ท่าทางก็ยังคงปกติ เฟิ่งชิงเฉินหันไปมอง จากนั้นก็พยักหน้าแล้วก็เดินเข้าไปด้านใน
มิเกิดเรื่องขึ้นก็ดีแล้ว!
ระหว่างเดินเข้าไป ทั้งสองมิได้กล่าวอะไรกัน พวกเขาต่างคิดถึงเรื่องที่เสด็จอาเก้าพูดกับคุณชายหยวนซี
เสด็จอาเก้าอาจมิได้เล่าออกมาทั้งหมด แต่เรื่องนี้มันคงเป็นเรื่องจริง เสด็จอาเก้าหามีทางมาโกหกเรื่องอะไรแบบนี้ได้ไม่ แต่การที่เสด็จอาเก้าพูดต่อหน้าเซวียนเส้าฉีก็ไม่ได้ที่จะทำให้เซวียนเส้าฉีต้องรู้สึกลำบากใจหรืออับอายขายหน้า
เรื่องที่เสด็จอาเก้าพูดกับคุณชายหยวนซี มันเกี่ยวกับตระกูลชุย และมันก็เกี่ยวข้องกับเซวียนเส้าฉีด้วย มันทำให้เซวียนเส้าฉีต้องกดดัน และทำให้เซวียนเส้าฉีถึงกับนั่งไม่ติด
คนปกติหากได้ยินว่าขั้วฝ่ายตรงข้ามต้องการมาทำร้ายตัวเอง ก็ย่อมโกรธเป็นธรรมดา จากนั้นคงต้องเตรียมตัวรับมือกับการปะทะจากฝ่ายตรงข้าม
เสด็จอาเก้าต้องการทำให้เซวียนเส้าฉีสติแตก
นี่มันคือแผนการอะไรกันแน่นะ เฟิ่งชิงเฉินกังวลว่าเซวียนเส้าฉีจะกดดัน ตอนนี้ดูออกเลยว่านางคิดเยอะมาก
เฟิ่งชิงเฉินมิได้คิดเยอะ ที่จริงแล้วเซวียนเส้าฉีแสร้งทำตัวปกติ แต่ที่แท้เซวียนเส้าฉีเมื่อได้ยินเรื่องแบบนี้ก็แทบสติแตก เซวียนเส้าฉีจะมิกังวลใจไปได้เยี่ยงไรกัน หากเป็นเช่นนั้น เขาก็คงเป็นคนที่มิมีหัวจิตหัวใจเป็นแน่
เซวียนเส้าฉีเดินเข้าไปด้านใน และยังแสร้งทำตัวปกติ โดยที่เฟิ่งชิงเฉินก็ดูมิออกเลยว่าเซวียนเส้าฉีมีท่าทางผิดปกติแต่อย่างใด
ปกติเซวียนเส้าฉีจะหยุดส่งเฟิ่งชิงเฉินที่บริเวณหน้าประตู และรอเฟิ่งชิงเฉินเข้าไปก่อน แต่ว่าวันนี้เขาเดินมุ่งตรงไปโดยมิหยุด
เห้อ……
เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจออกมา “นายท่านน้อย หากกังวลสิ่งใดก็พูดมาเสียเถอะ”
“หา?” เซวียนเส้าฉีที่กำลังก้าวเดินอยู่ ก็หยุดชะงัก สายตาพร่ามัว มองไปรอบๆ ด้าน จนสายตาที่พร่ามัวกลับมาชัดเจนอีกครั้ง “ขอโทษด้วย ที่ข้าเสียมารยาทแบบนี้”
เซวียนเส้าฉีมิได้กล่าวอะไรต่อ เขาหันและเดินกลับออกมา มิได้ปฎิเสธอะไรกับเฟิ่งชิงเฉิน อย่างไรเสียเขาก็จะอยู่ข้างกายเฟิ่งชิงเฉิน ทั้งสองต่างมีสัญญาต่อกัน ว่าเขาจะจะไม่มีวันทำอะไรให้เฟิ่งชินเฉินต้องลำบากใจ จะมิทำอะไรเลยเถิดจะเป็นผู้พิทักษ์และคอยปกป้องเฟิ่งชินเฉิน
ด้วยเหตุนี้เฟิ่งชินเฉิงจึงพยายามรักษาเขาไว้ และการที่เซวียนเส้าฉีเดินเลยไปแบบนี้ เฟิ่งชิงเฉิงได้แต่มองด้วยสายตาประหลาดใจ และปวดใจเป็นอย่างยิ่ง
เฟิ่งชิงเฉินรีบวิ่งเข้าไป ขวางเซวียนเส้าฉี “นายท่านน้อย เรื่องราวที่เสด็จอาเก้าพูดในวันนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง ถ้าหากนายท่านน้อยอยากปกป้องเผ่าเสวียนเซียวกง ก็ต้องรีบลงมือเตรียมการแล้ว”
เห้อ นี่มันนับว่าเป็นค่าตอบแทนที่เซวียนเส้าฉีปกป้องสินะ?
ตั้งแต่เสด็จอาเก้าพูดถึงเรื่องนั้นในวันนี้ นางก็เข้าใจว่าถ้าไม่ใช่เพราะเซวียนเส้าฉีมีนางซึ่งมีสถานะที่ยังไร้ซึ่งสามี แถมยังถูกข่มเหงรังแกจากเสด็จอาเก้า หวังจิ่นหลิง และซีหลิงเทียนเหล่ย ซึ่งมันนับเป็นเรื่องที่เผ่าเสวียนเซียวกงต้องจารึกเอาไว้แน่นอน
การร่วมมือกันระหว่างเสด็จอาเก้ากับซีหลิงเทียนเหล่ย แทบเหมือนกับการร่วมมือกันระหว่างสองแคว้นอย่างมิต้องสงสัย แถมยังมีหวังจิ่นหลิงมาเสริมกำลังให้มีมากยิ่งขึ้น
“ข้ามิต้องลงมือทำอะไร เผ่าเสวียนเซียวกงก็ยังอยู่รอด” เห็นได้ชัดว่าเซวียนเส้าฉีรู้จุดนี้ดี แต่พอคิดถึงจุดนี้ขึ้นมา ความโกรธแค้นก็ปะทุขึ้น
นี่มันเป็นการให้ทานเหรอ!
เสด็จอาเก้ากับหวังจิ่นหลิงทำราวกับว่าให้ทานกับเขา หรือว่าทั้งสองคนนี้คิดว่า เขาไร้ซึ่งความสามารถมารถในการปกป้องเผ่าเสวียนเซียวกงงั้นเหรอ?
“มันอาจไม่เหมือนที่ท่านคิดไว้ก็ได้ นายท่านน้อยกลับไปก่อนเถอะ อย่าเก็บไปคิดให้เสียพละกำลัง มันไม่คุ้มกัน” ประโยคที่พูดออกมาล้วนมีความหมายคล้ายกัน เฟิ่งชิงเฉินซึ่งพูดออกมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งทำไมเซวียนเส้าฉีถึงยังไม่เข้าใจอีกนะ
ตราบใดที่ยังมีเวลาอยู่ เฟิ่งชิงเฉินเชื่อว่ายังไงนางก็ต้องพูดให้เซวียนเส้าฉีรับฟังให้ได้
เซวียนเส้าฉีก็เป็นคนทนงตัว เขาพร้อมที่จะปกป้องเผ่าเสวียนเซียวกงโดยไม่พึ่งพาใคร เฟิ่งชิงเฉินเชื่อว่า เขาคงไม่นั่งอยู่เฉยๆ เพื่อรอเสด็จอาเก้ากับหวังจิ่นหลิงมาเอาชัยชนะและมอบสิ่งที่เหลืออยู่ในเผ่าเสวียนเซียวกงแก่เขา
“คุ้มค้า! เจ้ามันคุ้มค่า!” เห็นได้ชัดว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังดูถูกเซวียนเส้าฉี เขาคิดว่ากำลังจะกลับไปจัดการปัญหาเกี่ยวกับเผ่าเสวียนเซียวกง แต่ก็ปล่อยเฟิ่งชิงเฉินไว้ไม่ได้ มันทำให้รู้สึกใจหายเล็กน้อย
“ไม่คุ้มค่า” เฟิ่งชิงเฉินส่ายหีว มองเซวียนเส้าฉีด้วยสีหน้าที่ไม่เห็นดีด้วย แล้วกล่าวต่อว่า “นายท่านน้อย เรื่องระหว่างเรามันไม่มีทางเป็นไปได้ ข้าไม่มีทางตกลงปลงใจกับท่าน ข้าไม่มีวันตกลงปลงใจกับใคร”
การปฎิเสธและไม่ตกลงปลงใจกับเขา เป็นเรื่องที่เฟิ่งชิงฉินตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว
“เพราะอะไร?”เฟิ่งชิงเฉินเคยพูดไว้ก่อนแล้ว ปกติเซวียนเส้าฉีได้ฟังแบบนั้นก็ปล่อยเลยไป แต่ครั้งนี้เกิดคำถามขึ้นมาหนึ่งคำถาม ซึ่งนั่นทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกทั้งสงสัยทั้งตกใจเป็นอย่างมาก
“นั่นเป็นเพราะ……” เฟิ่งชิงเฉินกัดริมฝีปาก มิกล้าที่จะสบสายตา มันต้องพูดออกมาจริงๆ หรือ แม้ว่านางจะมิได้คิดอะไรมาก แต่หากพูดออกไปจากปากตัวเอง มันก็รู้สึกกระดากใจ
ขณะที่เฟิ่งชิงเฉินดูกระวนกระวายใจ เซวียนเส้าฉีก็ช่วยถอยให้หนึ่งก้าว “ถ้ามิอยากพูดก็มิต้องพูดออกมาหรอก มิเป็นไร”
“มิใช่เยี่ยงนั้น เพียงแต่ข้า มิรู้ว่าจะพูดออกมาได้เยี่ยงไร” เฟิ่งชิงเฉินพยายามที่จะยิ้มออกมา “นายท่านน้อย ท่านเคยได้ยินข้าข่าวลือเรื่องที่ข้าเสียความบริสุทธิ์มาก่อนใช่หรือไม่?”
“เคยได้ยิน” ใจของเซวียนเส้าฉีเต้นผิดจังหวะ หรือว่าข่าวลือมันจะเป็นเรื่องจริง?
“ข่าวลือพวกนั้นมันเป็นเรื่องจริง” เฟิ่งชิงเฉินหลับตา พูดออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เจ็บปวดใจยิ่งนัก
เซวียนเส้าฉีถอยไปหนึ่งก้าว ใบหน้าซีดเผือด มิคิดว่าข่าวลือที่เขาที่เคยได้ยินมาจะเป็นเรื่องจริง เขาทำให้ผู้หญิงที่อยู่เบื้องหน้าเขาต้องเจ็บปวด
เซวียนเส้าฉีพูดด้วยเสียงกระอึกกระอักว่า “ชิงเฉิน มิเป็นไรหรอก ข้าไม่ถือ เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป และต่อแต่นี้มันจะต้องมีแต่เรื่องที่ดีๆ แน่นอน”
เซวียนเส้าฉีรู้สึกโกรธ ที่ตนทำให้เฟิ่งชิงเฉินต้องเจ็บปวดหัวใจ หนำซ้ำยังโกรธเกลียดตัวเองที่มาช้าเกินไป
“นายท่านน้อย มันมิใช่อย่างที่ท่านคิด” เฟิ่งชิงเฉินยังมิได้ลืมตาขึ้น แต่นางก็รู้ปฏิกิริยาของเซวียนเส้าฉีเป็นอย่างดี นางจึงมิรู้เลยว่าจะพูดต่อเยี่ยงไร แต่เรื่องพวกนี้หากมิพูดหรือกล่าวออกมา เซวียนเส้าฉีก็คงจะสู้มิยอมถอย นางจึงต้องหยุดเซวียนเส้าฉีไว้
เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วพูดว่า “นานท่านน้อย ข้าสมยอมเอง ข้าชอบชายผู้นั้น ข้าชอบชายผู้นั้นจริงๆ ”
หู้ว……
เมื่อได้ยินเฟิ่งชิงเฉินพูดออกมาแบบนั้น เซวียนเส้าฉีรู้สึกราวกับจิตใจแตกสลาย และนึกถึงชายคนที่นางพูดถึง แล้วถามกลับไป “ชายผู้นั้นใช่เสด็จอาเก้าหรือไม่?
“ใช่” เฟิ่งชิงเฉินบอกเซวียนเส้าฉีด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ถึงว่า……” ถึงว่าชายผู้นั้นดูวางอำนาจ และเห็นว่าเขามิใช่ขั้วตรงข้าม ที่แท้ก็……
เขาคว้าหัวใจของชิงเฉินไปแล้ว
จะยอมมิได้!
“ชิงเฉิน เขาหามีทางได้แต่งงานกับเจ้าไม่” เซวียนเส้าฉีมิได้ใส่ร้ายเสด็จอาเก้าแต่อย่างใด เขาเพียงแค่พูดความจริง เรื่องที่เสด็จอาเก้ากับเฟิ่งชิงเฉินได้ครองรักกัน เป็นเรื่องที่มิมีทางเกิดขึ้นกับเขาทั้งสองคน
“ข้ารู้ดี ข้าถึงได้พูดออกมา ว่าข้ามิอาจจะตกเป็นภรรยาของผู้ใดได้อีก” เพราะว่านางรู้ดีที่สุดว่าคงมิมีทางที่คนที่นางอยากจะเป็นภรรยาด้วย จะมาของนางแต่งงาน
ในเมื่อเฟิ่งชิงเฉินพูดออกมาแบบนี้แล้ว เซวียนเส้าฉีจะทำเยี่ยงไรได้ ความขมขื่นทั้งหมดไม่สามารถเก็บกลืนเอาไว้ได้ ใครจะไปคิดว่าตนที่มาเร็วแล้ว แต่กลับมิได้เร็วอย่างที่คิด
แต่ก็ต้องถอดใจเหรอ?
นี่มันมิใช่เหตุผลของเขาเลย แต่มันเป็นความมิสมยอมของเฟิ่งชิงเฉิน ดังนั้นเขาต้องการเวลา เวลาเท่านั้นที่จะมาเยียวยาสิ่งเหล่านี้ได้
“ชิงเฉิน เรื่องนี้มันมิได้ผิดที่เจ้า แต่ผิดที่ข้ามาช้าไป แต่นั่นก็มิเป็นไร ข้าจะรอเจ้า หากเจ้ามิได้เป็นคู่ครองของใคร ข้าก็จะรอเจ้าตลอดไป หากมีวันได้ที่เจ้าออกเรือนแล้ว จำไว้ว่าข้าก็จะยังรอเจ้าอยู่” เซวียนเส้าฉีพูดให้สัญญาต่อเฟิ่งชิงเฉิน
เมื่อพูดออกไป เขามิรอโอกาสให้เฟิ่งชิงเฉินได้พูด เขาเดินออกไปจากตรงหน้าเฟิ่งชิงเฉิน ปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ตรงจุดเดิมท่ามกลางสายลมและความมืด
เรื่องพวกนี้มันควรจะต้องประกาศออกไปไหมนะ?