นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 709 สารเลว ข้าถอนพิษมิได้หรอก
“ท่านจักรพรรดิ……” ขันทีใหญ่หน้าซีดเผือด
เรื่องพิธีเสกสมรสของชุนอ๋องกับองค์หญิงเหยาหวาจะเลื่อนออกไปมิได้แล้ว หากยังคงเลื่อนออกไป องค์หญิงเหยาหวาคงจะท้องโตขึ้นมา เมื่อถึงตอนนั้นมันคงจะถูกลือไปทั่ว ราชวงศ์ซีหลิงจะต้องเสียหน้า ส่วนตงหลิงนั้นคงไม่ต้องพูดถึง
“หือ?”
จักรพรรดิอุทานออกไปด้วยความที่มิพอพระทัยนัก สายพระเนตรดุดันแทบจะฆ่าคนได้ ขันทีใหญ่ตกใจกลัวจนเหงื่อแตกพลั่ก เสียงผงกหัวคุกเข่าอ้อนวอนอยู่กับพื้นดังอย่างต่อเนื่อง
ตุ้บตุ้บตุ้บ……ราวกับว่าศีรษะนี้มิใช่ของตัวเอง ศีรษะนั้นโขกอยู่กับพื้น จนพื้นแทบจะนองด้วยเลือด แต่ขันทีใหญ่ดูราวกับว่าแทบจะมิรู้สึกรู้สาอะไร หากจักรพรรดิยังมิทรงให้หยุด เขาก็จะทำเช่นนี้ต่อไป
จักรพรรดิเมื่อเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกพระทัยอ่อนลง ทรงกวักพระหัตถ์ “ลุกขึ้นมาเถอะ ข้าเข้าใจสิ่งที่ท่านต้องการจะสื่อแล้ว”
พิธีเสกสมรสขององค์หญิงเหยาหวามันคงเลื่อนออกไปมิได้แน่ๆ หากเลื่อนไปไม่กี่วันคงจะมิเป็นปัญหากระไร แล้วก็คงมิต้องไปแจ้งแก่ซีหลิงเทียนเหล่ย ซีหลิงเทียนเหล่ยเป็นพวกที่มิค่อยเชื่อฟังอยู่แล้ว แม้ว่าเขาจะให้เขาอยู่ในเขตของเรา แต่ก็คงจะมิให้โอกาสเขาเพื่อโจมตีเราหรอก
ที่นี่คือที่ของราชวงศ์ตงหลิง คำพูดของเขาถือเป็นสิทธิขาด!
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันจักดำเนินตามพระบรมราชโองการ” ขันทีใหญ่ตอบองค์จักรพรรดิ โดยมิกล้าที่จะพูดอะไรต่อ จักรพรรดิตรัสสิ่งใดแล้วมันก็ต้องเป็นเฉกเช่นนั้น ก็แค่เลื่อนพิธีเสกสมรส มิใช่การยกเลิกเสียหน่อย องค์จักรพรรดิยังมิทรงวิตก แล้วเขาจะต้องวิตกกังวลไปทำไมกัน
“อืม” จักรพรรดิทรงพยักหน้าด้วยความพอพระทัย “ไป ไปเขียนพระราชสาส์นเชิญซีหลิงกับจิ่นสิงมาร่วมพิธีเสกสมรสของชุนอ๋องด้วย”
เป็นดังที่คาดไว้ ขันทีใหญ่ยังคงหวาดกลัว มิบังอาจที่จะกล่าวอะไรออกไป ได้แต่ผงกหัวตอบรับ แต่ในใจกับชื่นชมจักรพรรดิที่มีการวางแผนได้อย่างแยบยล
เมื่อเลื่อนพิธีเสกสมรสองค์หญิงเหยาหวาออกไป มันก็ถือเป็นการแหกหน้าของราชวงศ์ซีหลิง และยังเป็นการเตือนไปถึงซีหลิงเทียนเหล่ย และการเชิญหนานหลิงจิ่นสิงมา ก็เพื่อเตือนหนานหลิงจิ่งฝาน เพื่อให้หนานหลิงจิ่งฝานช่วยสนับสนุนตงหลิงรวมไปถึงหนานหลิงจิ่นสิงด้วย……
จักรพรรดิต้องการที่จะสร้างคลื่นใต้น้ำ! หลังจากที่สั่งสอนท่านอ๋องเก้าไป ก็ทำให้ท่านอ๋องเก้าทำตัวดีขึ้น ครานี้จักรพรรดิทรงทำกับหนานหลิงกับซีหลิงแบบนี้อีก นี่มันคง……
เห้อ ขันทีใหญ่จิตใจยังร้อนรุ่ม รีบดับความคิดทั้งหมดที่มีในหัว มิกล้าที่จะเอ่ยอะไรออกมา ยิ่งอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิด้วยแล้วยิ่งต้องระวัง
ซีหลิงเทียนเหล่ยกับหนานหลิงจิ่งฝานทั้งสองยังไม่รู้ตัวว่าองค์จักรพรรดิได้เริ่มลงมือแล้ว ทั้งสองเพิ่งออกมาจากพระตำหนัก แต่ก็ได้กลิ่นตุๆอะไรบางอย่าง ทั้งสองมองตา และพยักหน้าให้กัน เขาทั้งสองออกมาพร้อมกับยังรู้สึกตงิดใจ……
หนานหลิงจิ่งฝานกับซีหลิงเทียนเหล่ยต่างพากันหัวเราะออกมา ราวกับวันนี้จะมีโอกาสได้ชดเชยกับสิ่งที่สูญเสียไปในวันนี้
“ท่านหลาน?”หนานหลิงจิ่งฝานจู่ๆก็เอ่ยชื่อนี้ขึ้นมา สายตาเขามองจ้องไปข้างหน้า
สำหรับตัวของหนานหลิงจิ่งฝานแล้ว เขาต้องกำจัดหลานจิ่วชิงผู้นี้ให้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องพึ่งมือคนอื่น และก็คงจะมิมีใครที่จะมาหยุดรั้งความคิดนี้ของเขาได้
เมื่อเห็นหลานจิ่วชิงพิงอยู่ตรงกำแพงอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง เขาก็เชื่อว่าซีหลิงเทียนเหล่ยก็คงจะรีบกำจัดคนอย่างหลานจิ่วชิง เขาแค่ยืนดูอยู่ข้างๆก็เพียงพอแล้ว
“องค์ชายเหล่ย องค์ชายจิ่งฝาง เจอกันอีกแล้ว” การใส่หน้ากากเข้าหา ทำให้มิมีใครเล่ารู้อารมณ์ ณ ขณะนั้นของหลานจิ่วชิง มีแค่น้ำเสียงของเขาเท่านั้น ที่ดูอ่อนแรงไป
“เจอกันอีกแล้ว ไม่คิดว่าท่านหลานที่เพียงแค่จะมาสมสู่กับนารี ก็เกือบจะมิมีชีวิตรอดเสียแล้ว” ความรู้สึกที่ซีหลิงเทียนเหล่ยมีต่อหลานจิ่วชิงค่อนข้างซับซ้อน เขาพยายามตีสนิทหลานจิ่วชิงมาโดยตลอด แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาพยายามเป็นศัตรูกับหลานจิ่วชิงทุกครั้ง ภายหลังที่เขาต้องการกำจัดหลานจิ่วชิง หลายจิ่วชิงกลับมาพบเขาเพื่อร่วมมือกัน แต่ตอนนี้……
โอกาสมันอยู่ข้างหน้าแล้ว เขาจะเริ่มสังหารเลยจะดีหรือไม่นะ?
ถ้าคนที่มีความสามารถเช่นนี้ต้องตายไปมันก็ช่างน่าเสียดาย แต่นั่นก็หาใช่คนของตนเองไม่ งั้นก็จัดการสังหารเสียเถอะ และอีกไม่นานนัก ซีหลิงเทียนเหล่ยก็คงจะวิเคราะห์ว่าการอยู่ต่อของหลานจิ่วชิงมันจะมีประโยชน์หรือไม่ประการใด และหากเขาจะคิดว่าการตายของหลานจิ่วชิงมีประโยชน์มากที่สุด หลานจิ่วชิงก็คงต้องตายอยู่ดี
“คงเป็นโชคดีของท่านทั้งสอง” หลานจิ่วชิงมองไปแววตาที่แหลมคมของซีหลิงเทียนเหล่ย เขาต้องการทำให้เกิดความสับสน เขารู้ดีว่ามันอยู่ในช่วงที่กำลังจะเจรจากันว่าผู้ใดจะเป็นผู้ลงมือก่อน
ซีหลิงเทียนเหล่ยทอดสายตาไปยังหนานหลิงจิ่งฝาน ดูเหมือนว่าทั้งสองพร้อมที่จะลงมือ ดังนั้น……ทั้งสองมีความคิดเฉกเช่นเดียวกันว่าหลานจิ่วชิงสมควรตาย มิใช่แค่มีผู้ใดผู้หนึ่งคิดแต่ฝ่ายเดียว
หนานหลิงจิ่งฝานพยักไหล่ ส่ายหน้า เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาจะมิเข้าไปยุ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
รู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรซีหลิงเทียนเหล่นคงจะตัดสินใจสังหารหลานจิ่วชิงแน่ๆ แล้วเขาจะโง่เข้าไปยุ่งทำไมกัน
เขายังไม่ลืมว่าหลานจิ่งชิงกับปู้จิงหยุนเป็นเพื่อนรักกัน และตอนนี้เขาก็มิได้ขุ่นข้องหมองใจอะไรกับหลานจิ่วชิง จึงมิจำเป็นจะต้องพูดถึงเรื่องเป็นเรื่องตาย และเขาก็ไม่ต้องการไปมีปัญหากับผู้มีอิทธิพลที่อื่นอีก การมีซีหลิงเทียนเหล่ยเป็นกำบัง และคอยกำจัดหลานจิ่วชิงให้เขา นั้นมันก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
ร้ายกาจนัก
หนานหลิงจิ่งฝานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา และแสดงว่าตนไม่ต้องการเข้าร่วมด้วย
ฮ่าๆ……เมื่อเผชิญหน้ากับซีหลิงเทียนเหล่ยและหนานหลิงจิ่นฝาง ก็ทำให้หลานจิ่งฝานหัวเราะออกมาเช่นกัน แม้ว่าจะหัวเราะเพียงเบาๆ แต่เสียงนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ซีหลิงเทียนเทียนเหล่ยของขึ้น ซีหลิงเทียนเหล่ยกวาดตามอง หลานจิ่วชิงมิได้รู้สึกรู้สาอะไร เอามือจับกำแพงไว้ เพื่อให้ยืนอย่างมั่นคง
“องค์ชายเหล่ย องค์ชายจิ่งฝาน ดูเหมือนท่านทั้งสองจะอยากจะประลองฝีมือนัก……ท่านพร้อมที่จะลงมือหรือยัง? แม้ว่ากายข้าจะบาดเจ็บแต่มือของของข้า ก็มิได้มีปัญหาอะไร” หลานจิ่วชิงซึ่งสวมใส่อาภรณ์สีดำ เผยให้เห็นเลือดบนกายของเขา ที่แสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขานั้นอาการสาหัสไม่น้อย
“ท่านหลานพูดแบบนี้หมายความว่ากระไรกัน? ข้าฟังมิค่อยเข้าใจนัก ข้าเห็นท่านบาดเจ็บ ก็เลยจะเข้ามาประคอง ข้ายังมิลืมว่าเรายังอยู่ในช่วงที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน”
หนานหลิงจิ่งฝานไม่ยอมลงมือ ซีหลิงเทียนเหล่ยก็มิกล้าที่จะเข้าสู้ แต่ก็ใช้คำพูดเข้าโจมตี เพื่อให้หลานจิ่วชิงไปสู่ทางตัน จะหาหนทางหนีก็หนีมิพ้น
“ข้าคงมิอาจให้องค์ชายเหล่ยมาประคองข้าหรอก แต่ถ้าองค์ชายจิ่งฝานอยากเข้ามาประคองข้า ข้าคงจะซาบซึ้งใจยิ่งนัก” หนานหลิงจิ่งฝานเป็นคนฉลาด เจ้าเล่ห์ เขาไม่มีทางพุ่งเจ้ามาจู่โจมก่อน คนผู้นี้น่ากลัวกว่าที่เขาคิดไว้มาก
หลานจิ่วชิงเตือนตัวเองอยู่ในใจเสมอว่า หนานหลิงจิ่งฝานคนนี้ เป็นคนไร่ซึ่งความซื่อสัตย์ และปลิ้นปล้อนกับทุกๆคน
หนานหลิงจิ่งฝานหันศีรษะกลับไป “ข้ามิทำหรอก”
แท้จริงอาการของหลานจิ่วชิงก็สาหัสมิใช่น้อย เห็นเขาเป็นเยี่ยงนี้ แต่ก็ยังคงมีพละกำลังอยู่ คง……มิเข้าไปยุ่งกับเขาหรอก
“ข้าก็มิบังอาจ” คำพูดเหล่านี้จุดประกายสายตาที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากของหลานจิ่วชิงให้เปล่งประกายออกมา
ดีที่มีทหารเข้ามาช่วยไว้
ขอบคุณที่ซีหลิงเทียนเหล่ยกับหลานหลิงจิ่งฝานไร้ซึ่งความสามัคคี พวกเขาทั้งสองได้พลาดโอกาสที่ดีที่สุดไป และเมื่อพลาดโอกาสครั้งนี้ไปแล้ว หลานจิ่วชิงเชื่อว่า พวกเขาจะมิมีโอกาสเป็นครั้งที่สองแน่นอน
หลานจิ่วชิงบาดเจ็บหนัก จนสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงได้ร่างกายของตน หนานหลิงจิ่งฝานกับซีหลิงเทียนเหล่ยหามีทางที่จะมิทราบไม่ แต่ด้วยความที่หลานจิ่วชิงคือผู้ที่ดูเงียบขรึมอยู่แล้ว
หลานจิ่วชิงซึ่งบาดเจ็บจนถึงขนาดต้องการความช่วยเหลือ แน่นอนว่าเขาไร้ซึ่งพละกำลัง ดังนั้นพวกเขาได้พลาดโอกาสที่ดีที่สุดไปเสียแล้ว
คนที่ช้ำใจที่สุดคงจะเป็นซีหลิงเทียนเหล่ย
ทหารที่มาช่วยหลานจิ่วชิงเข้ามาพอดี หากพวกเขาต้องการที่จะลงมือ มันก็คงจะเป็นเรื่องที่โง่มากๆ ซีหลิงเทียนเหล่ยเก็บดาบในมือของตนทันที เดินหันกลับไปโดยไม่แยแสหนานหลิงจิ่งฝานเลย เขาใช้สายตามองเข้าไป แล้วก็พูดว่า “ต้องโทษเจ้า!”
หนานหลิงจิ่งฝานกางมือออกโดยไม่สนใจ พร้อมสงสัยว่าตนนั้นเกี่ยวอะไรด้วย
ปล่อยให้ทั้งสองกัดกันเฉกเช่นสุนัขไป หลานจิ่วชิงรู้ดีว่าตนเองปลอดภัยแล้ว เพราะทหารที่เข้ามาช่วยเหลือเขาทั้งสามคนได้กระโจนกำแพงเข้ามา หลานจิ่วชิงจึงเอ่ยคำขอบคุณทั้งสอง “ ขอบคุณองค์ชายเหล่ยและองค์ชายจิ่งฝานมากๆ คนของข้ามาแล้ว อ่อ ใช่แล้ว คืนนี้ข้าจะจำการต้อนรับขององค์ชายเลยเป็นอย่างดีเลย พิธีเสกสมรสขององค์หญิงเหยาหวา ข้าอยากจะมอบของขวัญให้กับท่าน”
พูดจบ ก็มีเงาดำกระโจนลงมาจากกำแพง มายืนอยู่ด้านหลังของหลานจิ่วชิง หลานจิ่วชิงมิได้แข็งแกร่งอีกต่อไป เอื้อก……เลือดสำลักออกทางปากพุ่งไปด้านหน้า
สารเลวนัก โดนกลลวงเข้าเสียแล้ว!
ซีหลิงเทียนเหล่ยถอดสีหน้า ส่วนหนานหลิงจิ่งฝานยังคงตกใจ ไม่คิดว่า หลานจิ่วชิงจะอาการสาหัสถึงขนาดนี้
โอกาสมาถึงหน้าแล้วจริงๆ แต่พวกเขากลับพลาด สมควรตายจริงๆ
“ไป” การเคลื่อนไหวของเงามืดนั้นค่อยๆประคองหลานจิ่วชิงออกไป ทิ้งเพียงซีหลิงเทียนเหล่ยกับหลานหลิงจิ่งฝานเอาไว้ท่ามกลางความรู้สึกเสียดาย
ต่อแต่นี้ไป พวกเขาจะจดจำไว้เสมอว่าไม่ควรพลาดโอกาส!
ถ้าหาก……พวกเขาแน่วแน่ตั้งแต่แรก หรือถ้าหากเขาเกลียดหลานจิ่วชิงให้น้อยลงก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว!
เสียดายที่คำว่า “ถ้าหาก”บนโลกใบนี้มันไม่เกิดขึ้นจริง และนั่นมันทำให้เขาทั้งสองคนตอนนี้ต่างรู้สึกผิดหวังเสียใจไปตลอดชีวิต
ทหารทั้งสามแบ่งเดินเป็นสองทาง สองนายมาหลานจิ่วชิงไปส่งยังจวนตระกูลซู อีกนายนึงไปยังจวนตระกูลเฟิ่งเพื่อรับเฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินได้กลายเป็นแพทย์ประจำของหลานจิ่วชิงไปแล้ว หลานจิ่วชิงรู้ดีว่า ไม่ว่าเขาจะเจ็บสาหัสขนาดไหน ก็ขอเพียงแค่มีลมหายใจอุ่นๆอยู่ข้างเขา ดังนั้นพวกเหล่าทหารจึงต้องไปรับเฟิ่งชิงเฉินมา
เมื่อซูเหวินชิงเห็นไหล่ซ้ายที่เป็นรอยช้ำสีดำของหลานจิ่วชิงก็รู้เลยว่าเขาอาการมิค่อยสู้ดีนัก แม้ว่าจะเป็นกังวลแต่ก็มิได้ตีโพยตีพาย เขาเชื่อว่าถ้าเฟิ่งชิงเฉินมาถึงหลานจิ่วชิงก็คงจะมิเป็นอะไรมาก
ซูเหวินชิงเริ่มเดินกระสับกระส่ายเล็กน้อย และพึมพำตลอดว่าเฟิ่งชิงเฉิน เจ้าต้องรีบมาสิ เจ้าต้องรีบมา
เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินมาที่ถือกระเป๋าโอสถเวชภัณฑ์เข้ามา ซูเหวินชิงก็รีบเข้าไปต้อนรับ “ชิงเฉิน เร็วเข้า เร็ว จิ่วชิงถูกพิษเสียแล้ว เป็นพิษที่มีฤทธิ์ร้ายแรงมา ถ้าไม่ขับพิษออก เห็นทีคงมิได้การแล้ว”
“อะไรนะ?ถูกพิษ?” เฟิ่งชิงเฉินถลึงตากลมโต ยังคงมิเคลื่อนที่ไปไหน ซูเหวินชิงเห็นความผิดปกติของเฟิ่งชิงเฉินที่ยังคงตะลึงงันอยู่ ก็รีบเรียกนาง “ยังตะลึงงันอะไรอยู่ เร็วเข้า จิ่วชิงกำลังรอความช่วยเหลือจากเจ้าอยู่”
ซูเหวินชิงรีบร้อนมาก เขาไม่รู้ว่าจิ่วชิงไปถูกพิษอะไรมา และก็มิรู้ว่าจะให้ยาถอนพิษอะไรกับจิ่วชิง เพียงได้แต่ทนดูจิ่วชิงที่ลมหายใจค่อยๆแผ่วลงเรื่อยๆ เขานั้นได้แต่รอการช่วยเหลือจากเฟิ่งชิงเฉิน แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับพูดว่า “ข้าถอนพิษมิได้หรอก!”