นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 715 โต้ตอบ ชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่
โชคดีเพียงอย่างเดียวของเสด็จอาเก้าก็คือ เขาได้ทำการปรับแผนการไปเล็กน้อย ไม่ได้ทำให้ชื่อของเสด็จอาเก้ารั่วไหล และด้วยตัวตนอันลึกลับที่เข้าไปช่วยบรรเทาภัยพิบัติ ทำให้พวกเขาอยู่ในตำแหน่งซึ่งสามารถรุกและถอยได้ตลอดเวลา
เสด็จอาเก้าไม่คิดจำเรื่องเรื่องนี้อย่างสุดกำลัง ตอนแรกเขาวางแผนแค่อยู่ในตำแหน่งซึ่งสามารถถอยออกได้ตลอดเวลา และตอนนี้มันก็ช่วยพวกเขาจากสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หัวใจของเฟิ่งชิงเฉินรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย “แม้พวกเราจะถูกฝู่หลินโจมตีอย่างกะทันหัน แต่ยังดีที่สามารถปกป้องความลับไม่ให้รั่วไหลได้ เรื่องทั้งหมดยังไม่ถึงจุดที่แก้ไขไม่ได้ จริงอยู่ที่พวกเราสูญเสียสิ่งของบางอย่าง แต่อย่างน้อยพวกเราก็ยังไม่สูญเสียชื่อเสียง”
แต่ความไม่พอใจก็ยังคงหลงเหลืออยู่!
พวกเขาลงทั้งแรงลงทั้งกำลังคน เสียทั้งเงินเสียทั้งทรัพยากร พวกเขาจะถึงจุดหมายอยู่แล้วแต่กลับถูกจักรพรรดิแย่งชิงไปเสียก่อน ความรู้สึกนี้เหมือนกับการสร้างบ้านให้ผู้อื่น ไม่ได้อะไรแถมยังต้องจ่ายเป็นจำนวนมาก
“นี่เป็นเพียงเรื่องเดียวที่น่ายินดี” ด้านในและนอกของจวนเฟิ่งล้วนเป็นคนของตนเอง รวมถึงสายลับซึ่งแอบทำการปกป้องอยู่ทั้งวันทั้งคืน ทั้งสองคนจึงไม่ได้ระวังคำพูดอะไรมากมาย แค่ปิดบังส่วนสำคัญบางอย่างเอาไว้เท่านั้น
“ใช่ ถ้าหากมันถูกเผยแพร่ออกไปก่อนเวลา พวกเราคงไม่ต่างอะไรกับตัวตลก ภายใต้แสงศักดิ์แห่งจักรพรรดิ ไม่ว่าพวกเราจะทุ่มเทไปมากเพียงใด สุดท้ายก็ถูกจักรพรรดิทำลายอยู่ดี” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวเย้ยหยันตนเอง คิดไม่ถึงเลยว่าแผนการอันยิ่งใหญ่ซึ่งดำเนินการมาเป็นระยะเวลาครึ่งเดือน สุดท้ายจะมาพ่ายแพ้ให้กับการบูชาฟ้าดินเพียงครั้งเดียว
การชี้นำของพระเจ้า มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเขาไร้อำนาจต่อต้าน ต่อให้พวกเขารู้ว่าความจริงเป็นเช่นไรแล้วมันมีประโยชน์อะไร พูดความจริงออกไปแล้วมันมีผลอะไร ไม่มีใครเชื่อพวกเขาอยู่แล้ว……
“หลังจากนี้พวกเจ้ายังมีแผนอะไรอยู่อีกหรือไม่? การบรรเทาภัยพิบัติยังคงดำเนินไปต่อหรือไม่?” แม้การบรรเทาภัยพิบัติจะเป็นการช่วยเหลือประชาชน แต่พวกเขาเป็นคนลงเงิน ลงแรง ผลลัพธ์ที่ได้กลับตกอยู่ในมือของจักรพรรดิแต่เพียงผู้เดียว มันทำให้พวกเขาไม่พอใจอย่างมาก แต่การจะมายอมแพ้อะไรครึ่งๆกลางๆมันก็ไม่ใช่เรื่องดี
ซูเหวินชิงส่ายหน้า “ข้าวางแผนจะเคลื่อนย้ายอาหารและธัญพืชที่เหลืออยู่ไปยังหนานหลิงและเป่ยหลิง ที่นั่นยังพอทำการแลกเปลี่ยนได้บ้าง ทั้งนี้ก็เพื่อชดเชยความเสียหายของพวกเรา” สถานการณ์ภัยพิบัติในตงหลิงดีขึ้นแล้ว ประกอบกับกลยุทธ์ที่จักรพรรดิใช้ การรวมตงหลิงให้เป็นหนึ่งไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป พวกเขาจึงทำได้เพียงก้าวถอยออกมา
“แต่จะให้ถอยแบบนี้ข้ารับไม่ได้” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวอย่างโกรธเคือง
พวกเขาลงทุน ลงแรง ช่วยชีวิตผู้ตกเป็นเหยื่อของภัยพิบัติ จักรพรรดิกับฝู่หลินทำอะไร? ใช้ประโยชน์จากผู้รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า จากนั้นแสร้งจัดพิธีบูชาฟ้าขึ้นมา พูดออกมาเพียงไม่กี่คำก็นำความดีความชอบทั้งหมดไป นี่มันช่างน่าเจ็บใจยิ่งนัก
“เจ้ามีความคิดเช่นไร?” พูดตามตรง ซูเหวินชิงเองก็ไม่พอใจเช่นกัน แม้เมื่อวานนี้เขาได้ตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางเคลื่อนย้ายอาหารไปตั้งแต่เมื่อคืน แต่สถานการณ์เมื่อคืนมันไม่ได้เป็นเช่นนี้ เมื่อคืนเขาคิดว่าวิธีการนี้คือการตอบโต้จักรพรรดิ แต่ตอนนี้ล่ะ?
ต่อให้ตอบโต้กลับไป แต่มันก็เป็นเพียงการโจมตีซึ่งไร้กำลัง มันเป็นความพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์และต้องถอยกลับอย่างน่าเศร้า
แน่นอนว่ามีหลายวิธี แต่ในระยะเวลาอันสั้นไม่สามารถทำให้เห็นผลได้ แววตาของเฟิ่งชิงเฉินส่องประกาย มุมปากของนางเผยให้เห็นรอยยิ้มที่แสนเจ้าเล่ห์ “เหวินชิง ตัวตนลึกลับของผู้คอยช่วยเหลือบรรเทาภัยพิบัติ สำหรับพวกเราแล้วมันไม่มีประโยชน์เลยงั้นหรือ?”
ซูเหวินชิงไม่รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขาก็พยักหน้าและตอบว่า “ไม่มีประโยชน์แล้ว และในอนาคตเองก็ไม่น่าจะมีประโยชน์เช่นกัน ต่อให้เราช่วยบรรเทาภัยพิบัติได้มากแค่ไหนก็ไม่สามารถเทียบกับจักรพรรดิได้ พูดออกไปก็มีแต่สร้างปัญหาให้ตัวเองเท่านั้น”
หากไม่บรรลุผลตามที่คาดไว้ เจ้าจะยังฝืนทนไปเพื่ออะไร? ชื่อเสียงอันโด่งดังนั้นต้องคู่ควรกับความเป็นจริง แรกเริ่มเสด็จอาเก้าไม่ได้ป่าวประกาศออกไปว่าตนเองคือผู้ให้ความช่วยเหลือในการบรรเทาภัยพิบัติในครั้งนี้ เขาทำเพียงแค่เตรียมพร้อมสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นเท่านั้น เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ
เจ้ายกตัวเองเป็นผู้เมตตาอันยิ่งใหญ่ หากในอนาคตมีภัยพิบัติเช่นนี้เกิดขึ้นมาอีก เจ้าจำเป็นต้องออกหน้ามารับมือกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้น หากเจ้าไม่ก้าวออกมาเจ้าจะกลายเป็นคนหลอกลวง และเจ้าจะจมน้ำตายเพราะน้ำลายของประชาชน
“ในเมื่อใช้ประโยชน์ไม่ได้ งั้นก็มอบชื่อเสียงนี้ให้กับฝู่หลิน บรรเทาภัยพิบัติในตงหลิงต่อไป ให้คนที่ออกไปบรรเทาภัยพิบัติเหล่านั้นเปิดเผย ผู้นำในการช่วยเหลือครั้งนี้คือคุณชายของตระกูลสันโดษ แซ่ฝู่” ทรัพยากรและแรงงานที่ใช้ในช่วงหลังนั้นน้อยกว่าช่วงแรกมาก หากผลักฝู่หลินออกไปรับหน้า มันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เลว
“แบบนี้เท่ากับว่าเป็นโอกาสที่ทำให้ตัวตนของเขาถูกเปิดเผยใช่หรือไม่?” ซูเหวินชิงรู้ว่าการสร้างชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ให้กับตนเองในโลกใบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่นี่ก็เป็นสัญญาณที่ดีที่สุด พวกเขาสามารถผลักดันให้ฝู่หลินกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงได้ในชั่วพริบตา
นี่พวกเขากำลังช่วยหรือว่าทำร้ายฝู่หลินอยู่กันแน่?
“เจ้าไม่มอบโอกาสให้เขา ด้วยผลงานของเขาในครั้งนี้ จักรพรรดิต้องใช้งานเขาในครั้งต่อไปอย่างแน่นอน และเพื่อเป็นการตอบแทนเขา จักรพรรดิจะต้องมอบทรัพย์สมบัติให้แก่เขา แต่งตั้งเขาในตำแหน่งอันสูงส่ง หากเป็นเช่นนั้นไม่สู้ให้พวกเราเป็นคนลงมือ อย่างไรก่อนหน้านี้พวกเราสูญเสียทรัพยากรไปตั้งมากมาย แต่ไม่ได้อะไรกลับมาแม้แต่น้อย ช่างเสียเปล่าเหลือเกิน”
ตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินต้องการเดิมพันสักครั้ง ไม่ว่าอย่างไรครั้งนี้พวกเขาก็พ่ายแพ้ไปแล้ว 9 ส่วน งั้น 1 ส่วนที่เหลือจะเหลือไว้เพื่ออะไร ไม่สู้เอามันมาเดิมพัน ไม่แน่ว่าอาจจะพลิกสถานการณ์ขึ้นมาก็ได้ หากทำไม่ได้……มันก็ไม่เป็นไร เสียไปแล้วตั้ง 9 ส่วน เสียไปอีก 1 ส่วนมันก็ไม่เห็นเป็นไร
“หากเป็นฝู่หลิน เกรงว่าจักรพรรดิเองก็คงมีความสุขน่าดู” ซูเหวินชิงกล่าวออกมา
เวลาที่หิมะหยุดตกนั้นอยู่ในการคำนวณของฝู่หลิน แต่จักรพรรดิและฝู่หลินคงไม่มีทางยอมรับ แม้ศัตรูจะรู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นจากการกระทำของจักรพรรดิ ไม่ใช่ความศักดิ์สิทธิ์เลยแม้แต่น้อย ต่อให้คนของประเทศอื่นต่างรู้เรื่องราวเหล่านี้ทั้งหมดพวกเขาก็ไม่มีทางพูดออกมา เนื่องจากพูดออกมาก็ไม่มีใครเชื่ออยู่ดี
จักรพรรดิของแต่ละประเทศย่อมเข้าใจประชาชน แม้รู้ว่าปาฏิหาริย์ดังกล่าวนั้นจอมปลอม แต่พวกเขาก็ไม่มีทางพูดออกมา เนื่องจากหากเปิดเผยปาฏิหาริย์ของผู้อื่นว่าเป็นเรื่องจอมปลอมในวันนี้ ในวันข้างหน้าปาฏิหาริย์ของเจ้าก็จะถูกเปิดเผยเช่นกัน ดังนั้น……ในจุดนี้ ทุกคนต่างเข้าใจโดยปริยาย มันขึ้นอยู่กับโอกาสและความสามารถของแต่ละคน
และสำหรับฝู่หลิน จักรพรรดิไม่มีทางกำจัดเขาอย่างแน่นอน ไม่เพียงแค่ไม่ถูกกำจัดเท่านั้น แต่ยังจะใช้งานเขาซ้ำอีกด้วย และการจะนำฝู่หลินกลับมาใช้งานอีกครั้งจะต้องมีเหตุผล หากเป็นเช่นนั้นแทนที่จะปล่อยให้จักรพรรดิมอบความดีความชอบให้ฝู่หลินด้วยตัวเอง ไม่สู้พวกเขาเป็นคนมอบให้ คล้องโซ่ตรวนไว้ที่คอของฝู่หลิน
การกระทำเช่นนี้ของเฟิ่งชิงเฉินอาจจะดูบ้าระห่ำเกินไป เหมือนกับการเดิมพันด้วยชีวิต พุ่งเข้าไปโดยไม่สนใจสิ่งใด ต้องบอกเลยว่านี่ทำให้ซูเหวินชิงใจสั่นเป็นอย่างมาก “เรื่องนี้ข้าจำเป็นต้องถามเสด็จอาเก้าก่อน ข้าตัดสินใจด้วยตัวเองไม่ได้”
ลงทุนไปมากมาย และการเดิมพันทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับมัน หากเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง ฝู่หลินจะถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องในทันที ไม่ว่าเขาจะยินยอมหรือมีความสามารถนั้นหรือไม่ เขาก็ต้องแสดงตัวออกมาเพื่อบรรเทาภัยพิบัติ
แต่ถ้าหากไม่มีภัยพิบัติเกิดขึ้นอีก ฝู่หลินจะได้รับผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่
“ข้าเข้าใจ เรื่องนี้พวกข้าได้คิดกันมาตั้งแต่แรกแล้ว โต้กลับได้ก็โต้กลับ โต้กลับไม่ได้ก็ถอย ถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อรักษากำลังของตนเองไว้ ณ ตอนนี้จักรพรรดิไร้ซึ่งคู่ต่อกร พวกเราควรหลีกห่างเพื่อความปลอดภัย อ่า……เรื่องของเวชศาลา ถือว่าจบสิ้นแต่เพียงเท่านี้ จักรพรรดิน่าจะส่งหมอหลวงมารับช่วงต่อ” เรื่องราวได้สงบลงเป็นอันเรียบร้อย แต่ฝ่ายราชการเพิ่งจะปรากฏตัวออกมา เรื่องนี้เรียกได้ว่าเป็นการชุบมือเปิบ และคนที่ขโมยผลงานของพวกเจ้าก็คือจักรพรรดิ แบบนั้นเจ้าจะไปทำอะไรได้
“อ่า……เจ้าไม่พูดข้าคงลืมไปแล้ว เสด็จอาเก้าให้ข้ามาเพื่อย้ำเตือนเจ้าว่าให้จบเรื่องของเวชศาลา ฝ่ายบรรเทาภัยพิบัติของทางรัชการจะเป็นคนรับช่วงต่อเอง” ซูเหวินชิงตบศีรษะและพูดอย่างโกรธเคืองตนเอง
โชคดีที่เฟิ่งชิงเฉินเองก็เข้าใจ ในช่วงสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ อย่าทำให้จักรพรรดิแย่งความดีความชอบไปได้เด็ดขาด เพราะความต้อยต่ำคือหนทางแห่งราชา ตอนนี้การปกครองแบบเผด็จการของจักรพรรดิแข็งแกร่งขึ้น ถ้าเข้าปะทะกับพวกเขา ไม่ตายก็ต้องได้รับความเสียหาย
ตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ รู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก แต่พวกเขากลับจำเป็นต้องหลบหลีก ชีวิตนี้มีแค่ชีวิตเดียว ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่จักรพรรดิสามารถใช้ประโยชน์จากทุกสิ่งอย่างได้ หากพวกเขายังดื้อดึงจะพุ่งเข้าไป แบบนั้นพวกเขาก็จะดูโง่เขลาเป็นอย่างมาก
หลังจากซูเหวินชิงเดินทางกลับและนำความเห็นของเฟิ่งชิงเฉินรายงานแก่เสด็จอาเก้า ตอนแรกคิดว่าเสด็จอาเก้าจะปฏิเสธในทันที คิดไม่ถึงเลยว่าเสด็จอาเก้าไตร่ตรองเพียงครู่เดียวก็พยักหน้าแสดงความเห็นด้วย “ทำตามวิธีของเฟิ่งชิงเฉิน พวกเราจะช่วยจักรพรรดิอีกแล้ว ผลักดันให้ฝู่หลินกลายเป็นพลับพลาแห่งเทพเจ้า”
ใช่ พลับพลาแห่งเทพเจ้า!
พลับพลาแห่งเทพเจ้ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถนั่งได้ หากคนธรรมดาขึ้นไปนั่งบนพลับพลาแห่งเทพเจ้า ตอนแรกอาจจะตื่นเต้นดีใจ เมื่อวันเวลาผ่านไปนานจะรู้สึกเปล่าเปลี่ยวและกระวนกระวายใจ
“จะเกิดอะไรขึ้นหากในอนาคตไม่มีภัยพิบัติเกิดขึ้นอีก? หรือว่าจะยกผลประโยชน์ให้กับฝู่หลินไปทั้งอย่างนั้น?” ซูเหวินชิงไม่พอใจ การโจมตีอันสง่างามของจักรพรรดิในครั้งนี้ทั้งหมดเป็นเพราะฝู่หลิน หากไม่ใช่เพราะเจ้าบ้านี่พวกเขาคงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
“โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาโดยไม่เสียอะไร ไม่มีภัยพิบัติเกิดขึ้นพวกเราก็แค่สร้างมันขึ้นมา สิ่งซึ่งมีมากที่สุดในโลกนี้ก็คือประชาชนผู้ยากไร้ รอเฟิ่งชิงเฉินแข่งขันกับตระกูลซูเรียบร้อยแล้ว จะนำแผ่นเงินที่ได้ไปมอบให้กับประชาชนผู้ยากไร้ ไม่ต้องมอบให้กับฝู่หลินโดยตรง ข้าต้องการทำให้ทุกคนในใต้หล้ารู้จักเขาในนายของผู้เมตตาอันยิ่งใหญ่” เสด็จอาเก้าไม่เพียงแค่เห็นด้วยกับวิธีการของเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้น แต่ยังเพิ่มเงื่อนไขอีกข้อด้วย
“หา? นี่พวกเราต้องช่วยเหลือฝู่หลินงั้นหรือ? แบบนั้นจักรพรรดิจะเชื่อหรือไม่?” ซูเหวินชิงไม่เข้าใจว่าความจริงเป็นเช่นไร
“เป็นการช่วยเหลือเขาและผูกมัดในคราเดียวกัน สู้กับพระเจ้า จำเป็นต้องใช้วิธีการของพระเจ้า จุดประสงค์ของฝู่หลินคือทำให้ตระกูลของเขากลับมาบนแผ่นดินใหญ่ของจิ่วโจวได้อีกครั้ง ให้จักรพรรดิสร้างอารามเทพ เลี้ยงดูสกุลฝู่ และด้วยจุดประสงค์นี้ เขาจำเป็นต้องวางแผนต่างๆเพื่อจักรพรรดิ และกลายเป็นคนสนิทของจักรพรรดิในที่สุด”
เดิมทีฝู่หลินไม่ได้มีอำนาจมากขนาดนั้น เขาทำได้แค่พึ่งพาอำนาจของจักรพรรดิ ตอนนี้สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือการสร้างชื่อเสียงให้เขากลายเป็นคนดีผู้ยิ่งใหญ่ ใช้สิ่งเหล่านี้ในการผูกมัดเขา ในขณะเดียวกันก็มอบโอกาสให้เขาได้พัฒนากองกำลังของตนเองให้แข็งแกร่ง ทำให้เขาแตกแยกกับจักรพรรดิ อย่าลืมว่าคนที่เจอกับฝู่หลินก่อนคือข้ากับเฟิ่งชิงเฉิน ด้วยเหตุนี้จะทำให้จักรพรรดิเปลี่ยนความคิดและใช้ประโยชน์จากเขาโดยปราศจากความเชื่อใจ
ต่อให้อารามเทพแข็งแกร่งแค่ไหนก็ต้องพึ่งพาอำนาจของจักรพรรดิอยู่ดี ไม่มีจักรพรรดิให้การสนับสนุน ต่อให้เจ้าเป็นพระเจ้าก็ไม่สามารถพัฒนามันได้ เดิมทีฝู่หลินก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากมายขนาดนั้น เขาไม่ได้ต่างอะไรกับขุนนางในพระราชวัง พวกเขาต่างเรียนรู้เพื่อหาผลประโยชน์จากราชวงศ์
“ก็ได้ อย่างไรพวกเราก็เสียหายไปมากพอแล้ว เสียหายอีกสักเล็กน้อยคงไม่เป็นไร ข้าจะลองเดิมพันกับมันดูอีกสักครั้ง” เดิมพันว่าฝู่หลินไม่สามารถทนรับแรงกดดันของพระเจ้าได้ บนโลกใบนี้นอกจากจักรพรรดิแล้ว ใครก็ไม่สามารถแบกรับชื่อเสียงของพระเจ้าไว้ได้
ที่ผ่านมาจักรพรรดิเป็นคนใจหนักและช่างสงสัย เขาเชื่อฝู่หลินได้ครั้งหนึ่ง แต่เขาจะเชื่อเป็นร้อยครั้งได้หรือไม่?
เอาเถอะ ซูเหวินชิงยอมรับว่าตนเองไม่มีสายตากว้างไกลเหมือนเสด็จอาเก้ากับเฟิ่งชิงเฉิน แต่ว่า…..นั่นมันแผ่นเงิน!
ใบหน้าของซูเหวินชิงดูขมขื่น ไม่ต้องคิดเสด็จอาเก้าก็รู้ว่าเขากำลังเจ็บปวดเรื่องใดอยู่ คิดไปคิดมาเสด็จอาเก้าเอ่ยปากออกไปว่า “หากเจ้าขาดแคลนแผ่นเงิน งั้นเจ้าจงเอากระจกชุดนี้ออกไปขาย”
“กระจกนั่นเอาไปขายได้งั้นหรือ?” ได้ยินเช่นนั้น จิตวิญญาณของซูเหวินชิงกลับมาทันที
ราคาของกระจกบานนั้นเขารู้ดี หากนำออกไปขายจะดึงดูสายตาของเหล่าหญิงสาวสูงศักดิ์ ต่อให้แพงแค่ไหนหญิงสาวพวกนั้นก็จะซื้อกลับไปอย่างน้อยหนึ่งบาน และเรื่องเงินก็จะไม่ใช่ปัญหาของพวกเขาอีกต่อไป
“ตกลง” ประโยชน์ของกระจกมันน้อยมากหากถือครองไว้ ไม่สู้เอาไปแลกเป็นแผ่นเงิน
ตอนนี้พวกเขากำลังขาดแคลนแผ่นเงินอยู่ไม่ใช่หรือ?
“ข้าจะจัดการเดี๋ยวนี้ จะต้องนำสิ่งที่สูญเสียไปกลับคืนมาให้ได้” เขาเสียประโยชน์จากการต่อสู้ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องได้ประโยชน์จากการค้าขาย ไม่อย่างนั้นคงทำให้หัวใจดวงน้อยของเขากลับมาเป็นปกติไม่ได้
“อือ กลับไปบอกปู้จิงหยุน สิบวันหลังจากนี้ข้าจะไปเผ่าเสวียนเซียวกงด้วยตัวเอง” เสด็จอาเก้ากำลังดำเนินแผนการอันยิ่งใหญ่อีกครั้ง
เนื่องจากจำเป็นต้องหลบแสงของจักรพรรดิ เขาจึงจำเป็นต้องออกห่าง ไม่สามารถตอบโต้กลับไปได้ ดังนั้นเขาจึงหันมีดใส่เผ่าเสวียนเซียวกง จักรพรรดิร่วมมือกับเผ่าเสวียนเซียวกงไม่ใช่หรือ? เขาอยากจะรู้ว่า จักรพรรดิซึ่งกำลังหมกมุ่นอยู่กับการสร้างภาพลักษณ์อันงดงาม เขาสามารถดูแลพันธมิตรของเขาได้หรือไม่
เมื่อทำลายเผ่าเสวียนเซียวกงเรียบร้อยแล้ว ยังมีเมืองเย่เฉิง ไม่ต้องรีบ เขาค่อยๆเดินไปทีละก้าวได้…..
เมื่อเดินทางนี้ไม่ได้ก็ต้องหาทางเดินใหม่ เขาไม่ใช่คนที่นั่งนี่เพื่อรอความตาย……