นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 72 เทพอสุรา
ประตูเปิดไม่ออก!
จู่ ๆ ก็พลันมีเรื่องราวที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นจนได้ เฟิ่งชิงเฉินหาได้มีท่าทีกระวนกระวายใจไม่ กลับกัน นางกลับมีท่าทีสงบมากขึ้นกว่าเดิม
การวิ่งมาเคาะประตูเพื่อร้องขอความช่วยเหลือเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์ยิ่งนักในเมื่อพวกเขาปิดประตูขังนางเช่นนี้แล้ว พวกเขาย่อมล็อคกลอนประตู เพื่อให้นางเปิดประตูได้ง่าย ๆ มิเช่นนั้น จะเรียกว่าปิดประตูตีสุนัขได้อย่างไร
เฟิ่งชิงเฉินมิได้วิ่งโร่เพื่อร้องขอให้ “เปิดประตู” อะไรเช่นนั้น หากแต่ นางกลับหมุนตัวเอาหลังพิงประตูเพื่อเผชิญหน้ากับบุรุษทั้งสี่ที่กำลังไล่ตามมาในทันที
“คุณหนูเฟิ่ง ท่านอย่าได้ดิ้นรนอีกเลย ท่านทำตัวเชื่อฟังและมาร่วมสวนุกกับพวกข้าจักดีกว่า พวกกระหม่อมหาได้ต้องการเอาชีวิตของท่านไม่” บุรุษทั้งสี่หาได้รีบร้อนเข้าไปจับเฟิ่งชิงเฉินไม่ หากแต่ค่อย ๆ พูดจาเกลี้ยกล่อมกับเฟิ่งชิงเฉินแทน
“กับพวกเจ้านะหรือ? พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าคู่ควรหรือไม่?” เฟิ่งชิงเฉินหาได้มีท่าทางวิตกกังวลอันใดไม่ สายตาที่มองตรงไปที่พวกเขา กลับให้ความรู้สึกหนาวเหน็บยิ่งนัก
ยามที่หลานจิ่วชิงตามหาเฟิ่งชิงเฉินจนเจอนั้น ก็พลันมาเห็นฉากที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังจะเผชิญหน้ากับบุรุษทั้งสี่เข้าพอดี ในยามที่กำลังจะเข้าไปช่วยนั้น เขาพลันเหลือบไปเห็นท่าทีที่นิ่งสงบของเฟิ่งชิงเฉินเข้าเสียก่อน จึงได้แอบดูเหตุการณ์อย่างเงียบ ๆ
มิรู้ว่าเป็นเพราะอันใด หลานจิ่วชิงถึงได้รู้สึกว่า เฟิ่งชิงหลิงจะสามารถเอาตัวรอดจากเหตุการณ์นี้ไปได้ เขาจึงมิได้รู้สึกรีบร้อนเข้าไปช่วยอันใดมากนัก พร้อมกับยืนเอามือกอดอกอยู่บนกำแพงเพื่อรอชมเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าแทน
บุรุษทั้งสี่เมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกทั้งอับอายและโมโห เมื่อรวมไปถึงยาปลุกกำหนัดที่ได้รับเข้าไป พวกเขาจึงรีบก้าวเข้าไปหาเฟิ่งชิงเฉินในทันที
“ในเมื่อเตือนดี ๆ แล้วไม่ฟัง เช่นนั้น อย่าได้ริมาอาจมาร้องขอความเมตตาจากพวกข้าเล่า”
“แต่เดิมข้าก็อยากจะให้พวกเจ้าไม่เจ็บปวดมาก ในเมื่อพวกเจ้าอยากจะให้ข้าร้องขอความเมมตตา ได้ เช่นนั้นข้าก็จะให้โอกาสพวกเจ้าแล้วกัน”
สีหน้าที่เย็นชาพร้อมกับแววตาที่แผ่ไอสังหารออกมา ในยามนั้น เฟิ่งชิงเฉินเสมือนกับเทพอสูรกายที่กำลังผุดขึ้นมาจากยมโลกยิ่งนัก พร้อมกับปืนกระบอกสีดำที่เล็งไปยังหัวใจของบุรุษที่อยู่ตรงหน้าในทันที
พลางหลี่ตาลงและเล็งไปที่เป้าหมาย !
“นั่นมันคืออะไรกัน?” หลานจิ่วชิงที่คิดว่าตนเองรอบรู้เรื่องโลกภายนอกมามากมายแล้วนั้น ทว่า เมื่อมองไปยังอาวุธที่อยู่ในมือของเฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ มันมีลักษณะคล้ายเลข “7” ก็พลันตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
หลานจิ่วชิงมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ว่าเขาไม่เคยเห็นอาวุธเช่นนี้มาก่อน อีกทั้ง เมื่อเห็นท่าทีของเฟิ่งชิงเฉินที่เต็มไปด้วยความมั่นใจแล้ว หลานจิ่วชิงก็พลันรับรู้ได้ในทันทีว่า อานุภาพของมันย่อมอาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามถึงตายได้
หลานจิ่วชิงจึงตัดสินใจไม่ยื่นมือเข้าไปช่วย พร้อมกับลอบสังเกตุการณ์ต่อไป
“ฮ่าฮ่าฮ่า คุณหนูเฟิ่ง ท่านตกใจจนเป็นบ้าไปแล้วหรือ” บุรุษทั้งสี่โง่งมยิ่งนัก
“นั่นสิ ข้าคงบ้าไปแล้ว”
สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินพลันเย็นเยียบ จากนั้นก็เหนี่ยวไกปืนตรงไปที่ฝ่ายตรงข้ามในทันที
“ปั้งปั้งปั้งปั้ง”
เสียงที่ดังติดกันทั้งสี่ครั้ง หลานจิ่วชิงที่มองเห็นแต่เพียง มือของเฟิ่งชิงเฉินเคลื่อนตัวจากทางด้านซ้ายไปขวา เพียงชั่วครู่ก็พลันได้กลิ่นเขม่าดินปืนลอยเข้ามา พร้อมกับบุรุษทั้งสี่คนล้มลงไปนอนที่พื้นในทันที
“เป็นไปได้อย่างไร เฟิ่งชิงเฉินหาได้เข้าใกล้พวกเขาไม่” หลานจิ่วชิงรู้สึกฉงนใจยิ่งนัก
เมื่อมองไปยังอาวุธที่อยู่ในมือของเฟิ่งชิงเฉินนั้น ก็พลันเห็นเขม่าควันออกสีขาวลอยออกมาจากอาวุธที่อยู่ในมือของนางในทันที หลานจิ่วชิงรู้สึกสงสัยยิ่งนัก เฟิ่งชิงเฉินมีอาวุธที่แปลกประหลาดเช่นนี้ได้อย่างไร แท้จริงแล้วนางเป็นผู้ใดกันแน่?
หากเป็นไปได้ละก็ หลานจิ่วชิงอยากจะกระโดดลงไปด้านล่าง พร้อมกับแย้งอาวุธที่อยู่ในมือของนางมาวิเคราะห์ให้หมดเลยทีเดียว
น่าเสียดาย เฟิ่งชิงเฉินหาได้ปล่อยโอกาสให้หลานจิ่วชิงไม่ ยามที่บุรุษทั้งสี่ล้มลงไปแล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินจึงเดินเข้าไปในตำหนัก พร้อมกับนำกระบอกปืนจ่อไปที่กลางกระหม่อมของนางกำนัลทั้งสองและเหนี่ยไกปืนในทันที
“อย่าได้โทษว่าข้าโหดร้ายเลย เพราะข้าเองก็ไม่มีทางเลือก มีเพียงคนตายเท่านั้น ที่ไม่อาจเปิดเผยความลับออกไปได้” ริมฝีปากของเฟิ่งชิงเฉินพลันยกยิ้มขึ้น พร้อมกับเอ่ยคำพูดที่ทั้งเย็นชาและไร้ความปราณีออกมา
เฟิ่งชิงเฉินพลันเก็บปลอกกระสุนปืนกลับมา จากนั้นก็ล้วงเอามีดผ่าตัดเล่มเล็กในอกออกมา แล้วจึงนั่งลงตรงหน้าของร่างบุรุษทั้งสี่ในทันที
เมื่อบุรุษร่างใหญ่ทั้งสี่คนเห็นเช่นนั้น ต่างก็หลงลืมวิธีร้องให้คร่ำครวญไป พร้อมทั้งเอาแต่พยายามจะถอยห่างออกจากเฟิ่งชิงเฉิน สายตาที่แฝงไปด้วยเพลิงราคะและอารมณ์โกรธเกรี้ยวต่างก็อันตธานหายไปในทันที หลงเหลือไว้แต่เพียงความวิตกกังวลและความหวาดกลัวเท่านั้น
“คุณหนูเฟิ่ง ได้โปรด ไว้ชีวิตพวกข้าไปเถิด พวกข้าแค่ทำตามคำสั่งที่ได้รับมาเท่านั้น พวกข้าไม่กล้าแล้ว ต่อไปไม่กล้าทำอะไรเช่นนี้อีกแล้ว”
เลือดค่อย ๆ ไหลออกมาจากทรวงอกของบุรุษทั้งสี่ ทั่วร่างพลันรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบ ทว่า ยามที่เห็นเฟิ่งชิงเฉินหยิบมีดผ่าตัดออกมานั้น พวกเขาก็หวาดกลัวจนถึงขีดสุดในทันที
“ทำตามคำสั่ง? เป็นเหตุผลที่ดี หากแต่ มันเกี่ยวข้องอันใดกับข้ากัน? ข้าฟังคำของพวกเจ้า จึงได้ปล่อยให้พวกเจ้ามีชีวิตรอดเช่นนี้ เพลิดเพลินไปกับโอกาสครั้งสุดท้ายเสียเถิด”
เฟิ่งชิงเฉินจึงเตะไปที่ร่างของบุรุษร่างใหญ่หนึ่งครั้ง จากนั้นก็ใช้มีดผ่าตัดแทงเข้าไปในร่างกายทันที
“อ๊ากกก” บุรุษร่างใหญ่พลันส่งเสียงร้องออกมา ทั่วร่างพลันกระตุกไปด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับบิดร่างกายไปมาอย่างไร้การควบคุม
“อย่าได้ดิ้นไปมา มิเช่นนั้นพวกเจ้าอาจจะตายเร็วกว่าเดิมก็เป็นได้” เฟิ่งชิงเฉินหาได้มีเศษเสี้ยวความเมตตาให้พวกเขาไม่ พร้อมทั้งใช้มีดผ่าตัดกรีดเนื้อเข้าไป เพื่อนำกระสุนปืนที่ฝังร่างของพวกเขาอยู่ออกมา
เฟิ่งชิงเฉินจึงเช็ดลูกกระสุนทุกนัดจนสะอาดเอี่ยม จากนั้นก็เก็บเข้าไปตามเดิม
“พวกเจ้าก็นอนรอความตายอย่างช้า ๆ ก็แล้วกัน” ชั่วพริบตาเดียว มีดผ่าตัดเล่มเล็กพลันตัดเข้าที่กล่องเสียงของพวกเขาในทันที ทว่า พวกเขายังมิได้สิ้นลมไปในทันที แต่ต้องใช้เวลายกใหญ่กว่าจะสิ้นใจตาย
“ไม่ ไม่เอา คุณหนูเฟิ่ง ได้ปล่อยไว้ชีวิตพวกข้าเถิด” บุรุษร่างใหญ่เห็นเช่นนั้น พลันร้องโวยวายราวกับขาดสติไปในทันที
“ไว้ชีวิตหรือ? มันสายไปเสียแล้ว เจ้าคิดว่าข้าเป็นแม่พระงั้นหรือ ที่ถูกคนมาตบตีแล้วจึงต้องกล่าวขอบคุณ ข้าหาใช่คนที่หยาบคายไม่ หากว่าข้าไม่มีแรงตอบโต้พวกเจ้า พวกเจ้าก็จักไว้ชีวิตข้างั้นหรือ? ก็ไม่” เฟิ่งชิงเฉินหาได้รู้จักคำว่าเกรงใจไม่ พร้อมทั้งนำมีแทงเข้าไปในร่างของพวกเขาและเก็บกระสุนปืนกลับมาในทันที
ชั่วชีวิตนี้ สิ่งที่นางเกลียดที่สุด ก็คือคนที่ใช้พละกำลังทำร้ายยหรือรังแกสตรีด้วยกัน
พระเจ้าให้พละกำลังพวกเขามามากกว่าสตรี หาใช่ เพื่อเอามารังแกสตรีไม่ หากแต่ให้พวกเขาใช้พละกำลังเหล่านั้น เพื่อปกป้องสตรีต่างหาก ทว่า จะอย่างไร ก็ย่อมต้องมีคนประเภทนี้โผล่ออกมาให้เห็นอยู่ดี เมื่อตนเองมีพละกำลังขึ้นมา ก็นำมาใช้กับผู้ที่ไร้ทางสู้
โดยเฉพาะคนพวกนี้แล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินหาได้มีคสามรู้สึกเห็นอกเห็นใจให้กับพวกเขาไม่ การฉีดยาชาให้กับพวกเขา ล้วนแต่เป็นสิ่งของที่สิ้นเปลืองไปโดยเปล่าประโยชน์
เหลือเพียงบุรุษร่างใหญ่ผู้ดียว เมื่อเขาเห็นเฟิ่งชิงเฉินลงมือด้วยความโหดเหี้ยวเช่นนี้ จึงรู้ว่า หากตนเองตกไปอยู่ในมือของเฟิ่งชิงเฉินแล้วไซร้ ย่อมมีแต่หนทางตายทางเดียวเป็นแน่ มิสู้ต่อสู้กับนางจนตัวตายดีกว่าหรือ อีกทั้งมีดที่อยู่ในมือของนางก็เล่มเล็กยิ่งนัก เขาจึงใช้แรงที่เหลือทั้งหมด วิ่งเข้าใส่เฟิ่งชิงเฉินในทันที
ทว่า น่าเสียดายยิ่งนัก เฟิ่งชิงเฉินหาใช่สตรีที่ไร้เดียงสาเช่นนั้นไม่ นางได้เตรียมการป้องกันตนเองไว้ตั้งแต่แรกแล้ว นางจึงก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยเพื่อเอียงหลบเขา
ชายผู้นี้ถูกยิงเข้าที่หัวใจและปอด เมื่อรวมไปถึงยาปลุกกำหนัดที่ได้รับนั้น จึงทำให้พละกำลังของเขาอ่อนกำลังลงเป็นอย่างมาก
“ข้าเกลียดคนที่ต่อต้านข้า” เฟิ่งชิงเฉินจึงหยิบปืนออกมาจากอกอีกครั้ง และยิงเข้าไปที่ด้านหลังของเขาในทันที
บุรุษร่างใหญ่เสมือนกับงูที่ตายไปแล้ว พลันกระตุกไปครู่หนึ่ง จากนั้นทั่วร่างพลันค่อย ๆเกิดอาการชาขึ้นมา
เฟิ่งชิงเฉินรู้ ว่าเขายังมิได้ตาย
แต่นางลงมืออย่างมีสติ ถึงแม้ว่านางจะปลิดชีพฝ่ายตรงข้าม แต่ก็หาได้ทำเพราะเกิดจากความโมโหไม่
พร้อมทั้งก้มตัวลงไปหยิบลูกกระสุนปืนคืนมา ด้วยวิธีการเช่นเดียวกันกับที่ผ่านมา เฟิ่งชิงเฉินพลันเดินไปหานางกำนัลทั้งสองนาง พร้อมทั้งถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “แต่เดิม ข้าไม่ต้องการจะฆ่าพวกเจ้าเลย แต่ทว่า การมีชีวิตอยู่ของพวกเจ้า จักเป็นภัยต่อข้า ฉะนั้นแล้ว ชาติหน้าก็ใช้ชีวิตให้ดี อย่าได้ริอาจเข้ามาเป็นนางกำนัลในวังหลวงอีก”
เฟิ่งชิงเฉินพลันเอื้อมมือไปปิดตาทั้งสองข้างของสาวใข้ให้หลับลง จากนั้นก็นำกระสุนปืนออกมาจากร่างกายด้วยวิธีการเช่นเดิม
ในระหว่างที่ลงมือฆ่าผู้คนและนำหลักฐานของตนเองออกมานั้น เฟิ่งชิงเฉินหาได้มีท่าทีอึดอัดใจไม่ มือทั้งสองข้างก็มิได้เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดอีกเช่นกัน
เฟิ่งชิงเฉินที่ยืนอยู่ตรงกลางศพที่มากมายเหล่านี้ พลันแผ่กลิ่นอายความสงบออกมาให้เห็น เสมือนว่า เฟิ่งชิงเฉินหาได้เคยปลิดชีพศพทั้งหกชีวิตนี้มาก่อนไม่
หลานจิ่วชิงพลันรู้สึกว่า ตนเองไม่เข้าใจสตรีตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
แต่เดิม หลานจิ่วชิงคิดว่า เฟิ่งชิงเฉินเป็นสตรีที่ทั้งใจดีและมีเมตตามาโดยตลอด เนื่องจากว่า นางมีจิตใจเมตตาที่เหมาะสมกับแพทย์
ในระหว่างที่นางพบกับโจวสิงนั้น นางก็ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ยามที่อยู่ตระกูลเซี่ย ที่จริงแล้ว เรื่องราวหาได้เกี่ยวข้องอันใดกับนางไม่ แต่นางก็ยังเอาตนเองเข้าไปเสี่ยง เพื่อช่วยฮูหยินรองทำความสะอาดบาดแผล ทว่า ในยามนี้เล่า?
นางฆ่าคน โดยที่มิได้มีท่าทีตื่นตระหนกหรือตกใจกลัวเลยแม้แต่น้อย เสมือนกับว่า ในสายตาของนางนั้น การฆ่าคนหรือการช่วยชีวิตคน ล้วนแต่มิได้แตกต่างกัน
ถ้าหาหลานจิ่วชิงกระโดดลงไปถามนางในยามนี้ นางย่อมตอบเขากลับมาด้วยท่าทีภาคภูมิใจในตนเองว่า “เหตุใดข้าต้องกลัวด้วย ในเมื่อพวงกเขาต้องการจะฆ่าข้า ข้าก็ย่อมที่จะฆ่าพวกเขาได้เช่นกัน ข้า เฟิ่งชิงเฉินจะฆ่าเฉพาะคนที่สมควรจะต้องฆ่า และจะช่วยเหลือเฉพาะบุคคลทึ่สมควรจะช่วยเท่านั้น การฆ่าคนและหารช่วยเหลือคน หาได้มีความขัดแย้งกันไม่ ในเมื่อบางครั้ง การฆ่าพวกเขาก็เสมือนเป็นการช่วยพวกเขาอีกทางหนึ่งเช่นกัน”
สตรีนางฟ้าในชุดขาวกับยมทูตชุดขาว มีเส้นบาง ๆ กั้นอยู่ก็เท่านั้นเอง
ขอเพียงแค่เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ด้านหน้าผู้ป่วย นางย่อมกลายเป็นคุณหมอที่ช่วยชีวิตและรักษาผู้คน นั่นก็คือความเมตตาในความเป็นหมอ
หากเมื่อใดที่ชีวิตของนางต้องเจอกับภัยอันตราย นางย่อมไม่ลังเลที่จะเลือกปลิดชีพบุคคลที่อยู่ตรงหน้า เพื่อให้ตนเองมีชีวิตรอดเช่นเดียวกัน
นางเลือกที่จะใจดีกับตนเอง แล้วค่อยไปใจดีกับผู้อื่น!