นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 720 เป่ายิงฉุบ สายลับรายงานว่า
เอ่อ……
เห็นใบหน้าบิดเบี้ยวของซูเหวินชิง ด้วยท่าทางของความเจ็บปวดและเสียใจ เฟิ่งชิงเฉินเลิกทำใบหน้าเยือกเย็น แต่ก็ยังไม่ใช้ใบหน้าที่ดีเท่าไหร่นัก
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้โกรธ นางกลอกตามองซูเหวินชิง “เจ้ายังกล้ามาโทษข้า เจ้าเคยให้โอกาสข้าได้พูดออกไปบ้างไหม? พอข้าบอกว่าไตเจ้าไม่ดี เจ้าก็ร้องตะโกนออกไป ทำให้ทุกคนรู้ว่าไตของเจ้ามีปัญหา กลัวว่าคนอื่นไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้ากำลังสุขภาพไม่ดี”
“ข้าก็แค่ตกใจกลัวเองไม่ใช่หรือไง” ซูเหวินชิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ไตมีปัญหา มันก็เท่ากับว่าต้องตายเร็วกว่าเดิม ทำเอาหน้าตาของเขาดูไม่ได้
“เข้าใจแล้ว ข้ารู้แล้วว่าเจ้าแค่ตกใจ เพื่อลดความตื่นตระหนกให้เจ้า ครั้งนี้ข้าจะไม่เก็บค่ารักษา” เฟิ่งชิงเฉินโบกมือ เมื่อนึกถึงอาชีพของซูเหวินชิง นางจึงกล่าวเสริมออกมาว่า “หรือจะจ่ายทองคำหนึ่งพันตำลึง?”
“เจ้ากำลังทำการปล้น แค่นี้ถึงกับต้องจ่ายทองคำหนึ่งพันตำลึงเลยงั้นหรือ? ข้าทำงานหนึ่งปียังไม่ได้มากถึงขนาดนี้” หมอเป็นอาชีพที่ป่าเถื่อน ไม่แปลกเลยว่าทำไมตาแก่แห่งหุบเขาซวนยีไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นอยู่ ซูเหวินชิงรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะช่วงนี้ที่เขาเพิ่งจะได้รับความเสียหายครั้งยิ่งใหญ่มา
“สิ่งที่ข้าทำคือเก็บค่ารักษาสามปี หลังจากนั้นสามปีก็จะไม่เก็บข้ารักษา ก่อนหน้านี้ข้าทำการรักษาโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย แม้แต่ค่ารักษาของชุยห้าวถิงก็ไม่ได้เก็บ และค่ารักษาของเย่เย่ก็ไม่ได้เก็บเช่นกัน ข้าไม่ได้เก็บค่ารักษามานานมากแล้ว…..ใช่แล้ว เย่เย่บอกว่าจะจ่ายค่ารักษาให้กับข้า เมื่อกลับไปแล้วเตือนข้าด้วย อย่าคิดว่าร่างกายของเขาอ่อนแอเช่นนั้นแล้วข้าจะลืม” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวอย่างชั่วร้าย ถ้าหากมอบมีดให้นาง ซูเหวินชิงคงไม่สงสัยในอาชีพของเฟิ่งชิงเฉิน แน่นอนว่านางไม่ใช่หมอแต่เป็นคนเชือดสัตว์
แต่สภาพของเฟิ่งชิงเฉินในตอนนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากคนเชือดสัตว์สักเท่าไหร่ คนเชือดสัตว์มีหน้าที่ถือมืดเพื่อฆ่าสัตว์ ส่วนเฟิ่งชิงเฉินเป็นผู้ถือมีดเพื่อควบคุมชีวิตของพวกเขา ซูเหวินชิงขดตัว “จัดยาให้ข้า ข้าจะกลับแล้ว”
ซูเหวินชิงเกรงว่าหากตนเองอยู่นานเกินไปเฟิ่งชิงเฉินจะต้องเสียใจ จึงรีบให้อีกฝ่ายจ่ายใบสั่งยา เงินทองเป็นสิ่งล้ำค่า แต่สุขภาพล้ำค่ามากกว่า ทองคำหนึ่งพันตำลึงเมื่อแลกกับการรักษาไตของเขาแล้วถือเป็นสิ่งที่คุ้มค่า แต่……เฟิ่งชิงเฉินบอกแล้วว่าจะไม่เก็บค่ารักษา เมื่อได้โอกาสแล้วจะไม่คว้าไว้ได้อย่างไร อีกอย่างเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้ขาดแคลนเรื่องเงิน
“เดี๋ยวก่อน” เฟิ่งชิงเฉินหันกลับไปทางห้องของนาง รอนางกลับออกมาจากห้องของนางอีกครั้ง นางถือตะกร้ายาอยู่ในมือ “นี่คือตัวยารักษา ข้าได้เขียนวิธีการใช้งานไว้หมดแล้ว เจ้าก็ลองกลับไปดูเอง มีตรงไหนไม่เข้าใจก็มาหาข้า”
นางไม่เชี่ยวชาญด้านการรักษาไต ดังนั้นจึงมอบยาบำรุงร่างกายเท่านั้น เพื่อไม่ให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเหนื่อยมากเกินไป และฟื้นฟูร่างกายให้ดี
“แค่นี้เองงั้นหรือ? ทำไมเจ้าไม่ให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย หรือว่าเป็นเพราะไม่เก็บค่ารักษา จึงลดตัวยาให้ข้า?” ซูเหวินชิงมองดูตัวยาดังกล่าว เฟิ่งชิงเฉินเขียนไว้ละเอียดมาก ไม่มีอะไรต้องสงสัย แม้แต่ข้อควรระวังก็เขียนไว้ รวมถึงอาหารที่ไม่ควรกินเข้าไปก็ด้วย
เป็นห่วงเป็นใย เป็นหมอที่ดีจริงๆ
เฟิ่งชิงเฉินขี้เกียจที่จะพูดกับชายที่เป็นโรคไตผู้นี้ “เจ้ากินยาให้หมดก่อนค่อยกลับมาหาข้าใหม่ เจ้าคิดว่ายาเป็นอาหารหรืออย่างไรที่ยิ่งกินเยอะยิ่งดี พักผ่อนให้เต็มที่ อย่าทำงานหนักเกินไป นอกจากนั้น……ทางที่ดีช่วงนี้มีเพศสัมพันธ์ให้น้อยลง”
เฟิ่งชิงเฉินพบว่า นางในตอนนี้ขี้อายมากขึ้น นางไม่สามารถพูดเรื่องเพศได้โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เป็นอย่างที่คิด……เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร ก็จะเป็นเช่นนั้นด้วย นางได้ก้าวเข้าสู่โลกใบนี้เต็มตัว และไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย
“แฮ่ม แฮ่ม ข้ารู้แล้ว” ซูเหวินชิงกระแอมออกมาสองครั้งโดยไม่ตั้งใจ ในสายตาของเฟิ่งชิงเฉินมันเป็นเรื่องน่าอาย แต่ในสายตาของซูเหวินชิงนั้น การพูดเรื่องนี้ถือเป็นความกล้าอันยิ่งใหญ่ และมันก็เป็นเหมือนเช่นเคย ซูเหวินชิงมองว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนกล้าหาญ
เมื่อเรื่องราวทั้งหมดจบลง ซูเหวินชิงก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่ต่อไป รับยาจากเฟิ่งชิงเฉินพร้อมจากไป “ไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อน” เขารีบกลับไปกินยา
“เจ้าไปเถอะ” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รั้งเอาไว้ โบกมือเป็นสัญญาณบอกซูเหวินชิงว่ากลับไปได้แล้ว
ราวกับซูเหวินชิงได้รับอภัยโทษ เขาเดินออกไปด้านนอกพร้อมกับยาในมือ พบเจอกับคนรับใช้ในตระกูลเฟิ่ง ทุกคนหยุดการเคลื่อนไหวและหันมากล่าวทักทาย “คารวะคุณชายซู”
“คารวะคุณชายซู”
หากปกติ ด้วยความสง่างามของตนเอง ซูเหวินชิงจะหยุดและหันมายิ้มทักทายให้กับทุกคน แต่วันนี้……
เขากลับรู้สึกว่าสายตาที่ทุกคนมองมาที่เขา ต่างกำลังบอกเขาว่าที่แท้คุณชายซูก็เป็นโรคไต
น่าสงสาร อายุเท่านี้ก็เป็นโรคไตเสียแล้ว
คุณชายซูเพิ่งจะอายุเท่านี้เอง แต่กลับเป็นโรคไตเสียแล้ว น่าสงสาร!
ลองนึกดู เขาที่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้จะยิ้มออกมาได้อย่างไร เขาจะสงบได้อย่างไร เขาจะเดินออกไปอย่างสบายใจได้อย่างไร
ซูเหวินชิงเห็นคนรับใช้ในจวนเฟิ่งราวกับเห็นผี เขาจึงวิ่งหนี ทำให้ยาในตะกร้าหล่นลงมาโดยไม่ตั้งใจ “คุณชายซู คุณชายซู ยาของท่านหล่นลงพื้นแล้ว”
คนรับใช้คนหนึ่งหยิบขวดยาขึ้นมา วิ่งไล่ตามคุณชายซูออกไป ซูเหวินชิงหยุดลง ในตอนที่กำลังจะกล่าวคำว่าขอบคุณ เขาเห็นตัวอักษรขนาดใหญ่ข้างขวดยา “ยาบำรุงไต”
บำรุงไตบ้าอะไร…..
ราวกับการไล่ล่าอันโหดเหี้ยม ซูเหวินชิงแย่งยาในมือและรีบขึ้นรถม้าทันที
จวนเฟิ่ง เขาจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว มันช่างน่าปวดใจเหลือเกิน
เกิดเป็นชาย เจ้าจะป่วยไม่ได้!
คนรับใช้ยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยความมึนงง คิดไม่ออกว่าตนเองทำอะไรผิด
เฮ้อ……หากเฟิ่งชิงเฉินอยู่ตรงนี้ นางจะต้องบอกกับซูเหวินชิงอย่างแน่นอนว่า เจ้าเป็นแค่โรคไตแต่กลับหวาดกลัวถึงขนาดนี้ และเหล่าคนรับใช้ของเขามีแค่ไม่กี่คนที่อ่านออกเขียนได้ ก็แค่โรคไตไม่ใช่หรือไง เจ้าจะต้องไปอายอะไร เจ้าทำแบบนี้คนที่ไม่รู้ต่างคิดว่าเจ้าเป็นโรคเพศสัมพันธ์กันไปหมดแล้ว
บนต้นไม้ต้นที่สูงที่สุดในจวนเฟิ่งต้นหนึ่ง สายลับแอบมองความสนุกทั้งหมดอยู่ด้านบน ตอนนี้เรื่องราวความสนุกได้จบสิ้นลงแล้ว ถึงเวลาที่พวกเขาต้องทำงาน
เป่ายิ้งฉุบตัดสิน ใครแพ้จะต้องเป็นคนไปรายงานเรื่องราวทั้งหมดยังจวนอ๋องเก้า ให้คุณชายได้รู้ว่าซูเหวินชิงป่วยเป็นโรคไต หลังจากนั้นสายลับคนหนึ่งก็โชคไม่ดีจากการเป่ายิ้งฉุบ
“เรื่องเล็กแค่นี้ต้องนำไปรายงานให้คุณชายทราบด้วยงั้นหรือ? ข้าว่าไม่รายงานจะดีกว่าไหม?” สายลับที่เป็นผู้แพ้แสร้งพูดออกมาด้วยความถูกต้อง
สายลับคนอื่นมองมาที่เขาด้วยสายตารังเกียจ “เมื่อสักครู่คนที่เสียงดังโวยวายมากที่สุดก็คือเจ้า ตอนนี้เจ้าแพ้แล้วกลับมาบอกว่าจะไม่ไป อะไรมันจะดีขนาดนั้น รีบไป……”
ถ้าหากเป็นเรื่องสำคัญ พวกเขาจะใช้การเป่ายิ้งฉุบตัดสินไหม
“ไปก็ไป มีอะไรที่ข้าทำไม่ได้ ใช่แล้ว……บางอย่างที่แม่นางเฟิ่งพูดออกมา ข้าว่ามีหลายอย่างที่สอดคล้องกับพวกเรา เอาอย่างไรดี? เจ้าว่าพวกเราควรจะนำไปรายงานกับคุณชายด้วยหรือไม่ ให้แม่นางเฟิ่งตรวจร่างกายพวกเราสักครั้ง หรือว่าพวกเราควรไปแย่งยามาจากคุณชายซูโดยตรงเลย?” สายลับผู้นั้นไม่ยอมแพ้ กล่าวออกมาด้วยความไม่อยากจากไป
หากเขานำเรื่องดังกล่าวรายงานต่อคุณชาย คุณชายน่าจะทุบตีเขาจนตาย เสียเวลา เจ้าพวกบ้า นี่เป็นความคิดของใคร ทุกวันนี้พวกเจ้าว่างกันมากหรือไง รู้สึกเบื่อกันมากใช่ไหม……
“ขโมยยาจากคุณชายซูคงเป็นเรื่องยาก นั่นน่าจะเป็นยาสำหรับรักษาโรคไต คุณชายซูจะต้องรักษามันไว้เป็นอย่างดี แต่เรื่องที่ให้แม่นางเฟิ่งตรวจสอบร่างกายของพวกเรายังพอเป็นไปได้ แม่นางเฟิ่งเป็นหมอที่ดีคนหนึ่ง พวกเราอนุญาตให้เจ้าเป็นตัวแทนของพวกเราในการนำเรื่องนี้ไปรายงานต่อคุณชาย ขอแค่คุณชายเห็นด้วย พวกเราก็ไม่มีความเห็นอะไร” เหล่าสายลับหัวเราะออกมา
ทำงานหนักมาทั้งวันทั้งคืน ใช้ชีวิตอย่างเหน็ดเหนื่อยมาหลายปี ทุกวันมีความตึงเครียดเป็นอย่างมาก จะต้องประจำตำแหน่งเดิมอยู่วันละหลายชั่วโมง ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ต่อให้พวกเขาใช้ยาบำรุงร่างกายอันล้ำค่าตลอดเวลาที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็คงหนีไม่พ้นโรคบางอย่าง
แต่การนำเรื่องนี้ไปรายงานต่อคุณชาย เจ้าคิดว่ามันเป็นการเสนอความดีความชอบหรือเป็นการยอมรับว่าตนเองไม่ดีพอ?
หากเป็นการเสนอความดีความชอบ เจ้าจงตัดใจกับมันไปเสียเถิด คุณชายจะต้องไม่พอใจกับเจ้าเป็นอย่างมาก หากยอมรับว่าตนเองไม่ดีพอ แบบนั้นเจ้าก็กลับไปฝึกฝนมาใหม่
เรื่องนี้มันไม่ควรนำไปรายงานต่อคุณชายจริงๆ หากจะพูดควรพูดออกมาเช่นนี้ “ช่างมันเถอะ เรื่องนี้พูดกับแม่นางเฟิ่งเองยังพอว่า พูดกับคุณชาย……ข้าไม่กล้า”
สายลับผู้เป่ายิ้งฉุบแพ้ส่ายหน้าอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การกระตุ้นของทุกคน เขาออกเดินทางอย่างไม่เต็มใจ ไปยังจวนอ๋องเก้าด้วยก้าวอันหนักหน่วง
สายลับเหมือนวิญญาณ เขาหลบการเฝ้าระวังรอบจวนอย่างเชี่ยวชาญ เข้ามาถึงห้องหนังสืออย่างไร้ร่องรอย เสียงคุกเข่าดังขึ้น กล่าวออกมาด้วยเสียงอันหนักแน่น “คุณชาย วันนี้คุณชายซูพาแม่นางเฟิ่งออกไปนอกเมือง สถานที่ตั้งสุสานของแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินได้เลือกเป็นอันเรียบร้อย ตอนเดินทางกลับคุณชายซูรู้สึกไม่สบาย แม่นางเฟิ่งวินิจฉัยว่าคุณชายซูเป็นโรคไต”
สายลับกล่าวอย่างรวบรัด มีแต่เขาเท่านั้นที่เข้าใจว่าตอนนี้เขารู้สึกประหม่าและกังวลขนาดไหน
“อ่า” เสด็จอาเก้าตอบกลับมา แสดงออกว่าตนเองเข้าใจแล้ว ขณะเดียวกันก็เป็นการบ่งบอกให้สายลับพูดเรื่องต่อไป แต่……
เหงื่อเย็นไหลท่วมตัวของสายลับ เขาไม่มีเรื่องอะไรให้รายงานแล้ว เขาไม่กล้ารบกวนเวลาของเสด็จอาเก้า สายลับก้มหน้าพร้อมกล่าวว่า “คุณชาย ข้าขอตัวก่อน”
“อ่า” เสด็จอาเก้ายังคงไม่พูดอะไรออกมามากไปกว่านั้น แค่แสดงท่าทีบอกอีกฝ่ายว่าตนเองรู้แล้ว สายลับรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่คลายตัวลง รีบถอยออกมา เกรงว่าช้าไปกว่านี้สักก้าวแล้วจะถูกเสด็จอาเก้าลงโทษ
หลังจากสายลับจากไป เสด็จอาเก้าเคาะโต๊ะเบาๆ นัยน์ตาส่วนลึกของเขามีคลื่นของความแปลกประหลาด หากสายลับยังอยู่คงต้องร้องไห้ออกมาให้เสด็จอาเก้าเห็นอย่างแน่นอน เนื่องจาก……
เสด็จอาเก้าคิดว่า แม้สายลับที่อยู่ข้างกายเฟิ่งชิงเฉินตลอดเวลาจะดูฉลาดขึ้น แต่ก็ไม่รู้จักหนักเบา เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ไม่จำเป็นต้องนำมารายงาน
ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะว่างเกินไป คงต้องเพิ่มการฝึกฝนให้กับพวกเขา
อีกอย่าง แม้แต่ซูเหวินชิงที่ได้รับการเลี้ยงดูและบำรุงเป็นอย่างดียังเป็นโรคไต ร่างกายของสายลับพวกนี้เองก็อาจจะมีปัญหาเกิดขึ้น เพื่อความแข็งแกร่งทางร่างกายของพวกเขา พวกเขาควรจะได้รับการฝึกฝนเพิ่ม เพื่อให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น!
เสด็จอาเก้าหาเหตุผลมากมายในการเพิ่มการฝึกฝนให้แก่เหล่าสายลับ แต่ไม่เคยคิดจะให้เหล่าสายลับเข้าทำการตรวจร่างกายเลยแม้แต่น้อย เรื่องจากไม่อยากเสียค่าตรวจให้เฟิ่งชิงเฉินโดยเปล่าประโยชน์
แฮ่ม แฮ่ม……คิดมากเกินไปหรือเปล่า สายลับมีหมอทำหน้าที่ดูแลโดยเฉพาะอยู่แล้ว หมอเหล่านี้เข้าใจเรื่องยาเป็นอย่างดี ร่างกายของเหล่าสายลับล้วนได้รับการพัฒนามาจากยา หมอเหล่านี้รู้ดีกว่าควรทำการรักษาสายลับอย่างไร
เฟิ่งชิงเฉินจัดการเรื่องสุสานกับซูเหวินชิงเป็นอันเรียบร้อย เขาเองก็จัดการกับฝู่หลินเรียบร้อยแล้วเช่นกัน จริงอยู่ที่ฝู่หลินเข้ามาพูดคุยกับเขาด้วยความจริงใจ แต่แล้วมันยังไง?
ฝู่หลินมีหน้าที่และภารกิจที่ตนเองต้องรับผิดชอบ แถมยังต้องรับผิดชอบเรื่องของตนเองอีก เขาไม่มีทางยอมแพ้เพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำของฝู่หลิน และไม่มีทางเชื่อใจฝู่หลินเพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำ
และหลังจากที่ฝู่หลินออกไปจากจวนอ๋องเก้า เขาก็เข้าไปในพระราชวังทันที ไม่จำเป็นต้องรายงาน ฝู่หลินจะต้องไปพบจักรพรรดิอย่างแน่นอน จักรพรรดิกำลังเล่นหมากรุกอยู่ ตั้งแต่แพ้ให้กับเสด็จอาเก้า จักรพรรดิก็ชอบเล่นหมากรุกทันที
เห็นฝู่หลินเข้ามา จักรพรรดิถามออกมาโดยไม่เงยหน้า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“เสด็จอาเก้าไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด” ฝู่หลินไม่ได้ก้มหน้าเหมือนคนทั่วไป เขาอยู่ในระดับเดียวกับจักรพรรดิ ด้วยท่าทางนี้……มันบ่งบอกถึงความเย่อหยิ่งในตัวเขา และแสดงความคิดทั้งหมดต่อหน้าจักรพรรดิ ทำให้จักรพรรดิรับรู้ได้ว่าเขาไม่ได้มีความคิดร้ายแต่อย่างใด
“ไม่สะทกสะท้าน? จิตใจน้องเก้าของข้าผู้นี้หยั่งลึกขึ้นอีกแล้ว” จักรพรรดิพยักหน้า วางหมากต่างๆไว้บนกระดานหมากรุกพร้อมตรัสว่า “เล่นกับข้าสักเกม”
“ขอรับ” ฝู่หลินพยักหน้าและก้าวขึ้นไป
เขาไม่ชอบเล่นหมากรุกกับจักรพรรดิ เล่นหมากรุกกับจักรพรรดิมันช่างเจ็บปวดหัวใจ เขาไม่ใช่เสด็จอาเก้า เขาไม่กล้ากินหมากของจักรพรรดิโดยไม่เหลือเอาไว้ หากทำเช่นนั้น มันคงเป็นเรื่องที่ลำบากใจมากเกินไป……