นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 722 ข้าจะเป็นเขาผู้นั้นตลอดไป
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท……”
“ฝ่าบาท อันตราย อันตราย……”
“ปกป้องฝ่าบาท ปกป้องฝ่าบาท”
นิสัยเอาแต่ใจของหนานหลิงจิ่นสิงทำให้ขบวนขนาดใหญ่ต้องโกลาหล เหล่าทหารต่างพากันวุ่นวาย เหล่าองครักษ์รวมตัวกันเป็นวงกลม เข้าใกล้ตัวของหนานหลิงจิ่นสิงอย่างเงียบๆ ต้องการคุ้มกันหนานหลิงจิ่นสิงโดยมีเขาอยู่ตรงกลาง
“หลีกไป!” หนานหลิงจิ่นสิงตะโกนออกมา องครักษ์ผงะไปครู่หนึ่ง หนานหลิงจิ่นสิงพุ่งออกมาโดยตรง ภายใต้ความวุ่นวายนี้ เฟิ่งชิงเฉินเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน และการเคลื่อนไหวนี้ยังดึงดูดความสนใจของหนานหลิงจิ่นฝานและซีหลิงเทียนเหล่ยที่ยืนมองดูความวุ่นวายนี้อยู่ตรงมุมไกลๆ
“หากรู้ว่าเขาใจร้อนถึงขนาดนี้ ข้าน่าจะเตรียมมือสังหารไว้ ไม่แน่อาจจะสำเร็จก็ได้ ต่อให้ไม่สำเร็จก็ถือเป็นบทเรียนอันเล็กน้อยสำหรับเขา” หนานหลิงจิ่นฝานกล่าวด้วยความดูถูก
ซีหลิงเทียนเหล่ยไม่คิดเช่นนั้น เขาเฉยเมย เยาะเย้ยกึ่งล้อเล่น “เกรงว่าจักรพรรดิตงหลิงคงไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้แน่”
การที่หนานหลิงจิ่นสิงเสด็จมาในครั้งนี้ มันไม่ใช่บทเรียนที่จักรพรรดิตงหลิงต้องการมอบให้หรอกหรือ นี่คือการแจ้งเตือนของจักรพรรดิตงหลิงที่ต้องการบอกพวกเขาว่าอย่างเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า ให้มันรู้เสียบ้างว่านี่เป็นอาณาเขตของใคร
“ข้าจะต้องกังวลอะไร ตอนนี้จักรพรรดิตงหลิงกำลังสนใจเรื่องงานแต่งของชุนอ๋องอยู่” หนานหลิงจิ่นฝานแสดงออกถึงความไม่ยอมแพ้และโต้เถียงกลับไป
องค์หญิงเหยาหวากำลังตั้งครรภ์ เรื่องการแต่งงานอย่างกะทันหันไม่ใช่ความลับสำหรับพวกเขา หากยังไม่รีบจัดงานแต่งงาน ท้องขององค์หญิงเหยาหวาคงรั้งไว้ไม่ไหว
“ฮึ” เมื่อเทียบในเรื่องปากร้าย ซีหลิงเทียนเหล่ยไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนานหลิงจิ่นฝาน ไม่แปลกใจ ซีหลิงเทียนเหล่ยพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์
แต่คำพูดของหนานหลิงจิ่นฝานก็เป็นการย้ำเตือนเขา จักรพรรดิตงหลิงกำลังสนใจเด็กในท้องเหยาหวาที่เป็นลูกของชุนอ๋องอยู่ไม่ใช่หรือไง มันเป็นแค่การใช้งานเหยาหวาตามอำเภอใจ หาก……
หากไม่มีเด็กคนนั้นเล่า?
ดวงตาของซีหลิงเทียนเหล่มองต่ำลงบนร่างของเฟิ่งชิงเฉิน ความชั่วร้ายเผยให้เห็นในแววตาของเขา
หากเหยาหวาแท้งเด็กในท้อง คนร้ายที่คู่ควรที่สุดก็เฟิ่งชิงเฉิน เขาต้องหาวิธีทำให้เหยาหวาเจอเฟิ่งชิงเฉิน แบบนั้นการที่เหยาหวาแท้งเด็กในท้องถึงมีความหมาย
ซีหลิงเทียนเหล่ยมีแผนในใจ ตอนนี้เขาทนไม่ไหวแล้ว “องค์รัชทายาทจิ่นฝาน ข้าไม่มีความสนใจจะดูความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของพี่น้องอย่างพวกเขา ข้าขอตัวก่อน”
ใช่ เฟิ่งชิงเฉินและหนานหลิงจิ่นสิงในตอนนี้ พวกเขากำลังแสดงฉากของพี่น้องที่มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง
หนานหลิงจิ่นสิงไม่สนใจว่าเหล่าองครักษ์จะเข้ามาขัดขวางอย่างไร เขาขี่ม้าออกมาจากขบวน และในตอนที่ม้ากำลังพุ่งมาด้านหน้าของเฟิ่งชิงเฉิน “ฮี้……” ห่างจากเฟิ่งชิงเฉินประมาณสิบก้าว หนานหลิงจิ่นสิงหยุดม้ากลางอากาศ ไม่ทันรอให้ม้ายืนอย่างมั่นคง เขากระโดดลงมาทันที
ท่าทางหล่อเหล่าเป็นอย่างมาก แต่คนที่ขี่ม้าด้วยกันจะรู้ดีว่าการเคลื่อนไหวนี้มันอันตรายเพียงใด
การเคลื่อนไหวของหนานหลิงจิ่นสิงทำให้เฟิ่งชิงเฉินตกใจตั้งแต่แรกเริ่ม ในตอนที่ม้ากำลังพุ่งมาทางนาง นางรีบลุกขึ้นยืน ในตอนที่ม้าหยุดกลางอากาศ เฟิ่งชิงเฉินก็ถอยหลังกลับไปหลายก้าว
แม้จะเสียมารยาทไม่ได้ แต่ชีวิตของนางสำคัญกว่า ส่วนเจ้าหนานหลิงจิ่นสิงผู้นี้เขาบ้าไปแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินยอมรับ การเคลื่อนไหวที่ไม่สมเหตุสมผลของหนานหลิงจิ่นสิงทำให้นางลืมความหงุดหงิดและความรู้สึกไม่สบายในการพบกับหนานหลิงจิ่นสิง
“พี่สาว……” หนานหลิงจิ่นสิงลงจากม้าก็รีบเดินเข้ามาหาเฟิ่งชิงเฉิน เขาสวมชุดผ้าทออันสง่างามทำให้รู้สึกแปลกไป แต่เมื่อเอ่ยปากออกมา ความรู้สึกของเฟิ่งชิงเฉินนั้นผิดไปโดยสิ้นเชิง ผู้ที่อยู่ด้านหน้าของนางยังคงเป็นโจวสิง
เมื่อเงยหน้าไปเห็นรอยยิ้มที่คุ้นเคยของหนานหลิงจิ่นสิง เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกไปอย่างไม่เกรงใจว่า “เจ้าบ้าไปแล้ว”
ฮ่าฮ่าฮ่า……หนานหลิงจิ่นสิงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ เรื่องนี้ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกหวาดกลัว ต้องรู้ก่อนว่าองค์รัชทายาทผู้นี้ไม่เคยยิ้มเช่นนี้ให้เห็นมาก่อน องค์รัชทายาทที่พวกเขารู้จักเวลายิ้มจะยิ้มออกมาเพียงแค่มุมปาก และขยับใบหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“พี่สาว พี่วางใจ ข้าไม่มีทางเป็นอะไรอยู่แล้ว ขอโทษที่ทำให้พี่ต้องออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง ไปกันเถอะ พวกเราเดินเข้าไปด้านในกัน” ใช้ชีวิตในพระราชวังมามากกว่าครึ่งปี หนานหลิงจิ่นสิงได้เรียนรู้การแสดงออกทางสีหน้าจนเข้าใจ
สังเกตการแสดงออกทางสีหน้าไม่ใช่แค่ผู้เป็นบ่าวเท่านั้นถึงต้องศึกษาทำความเข้าใจ แต่ผู้สูงศักดิ์อย่างองค์รัชทายาทเองก็ต้องเล่าเรียนเช่นกัน เห็นท่าทางของเฟิ่งชิงเฉิน หนานหลิงจิ่นสิงก็รู้ทันทีว่าเฟิ่งชิงเฉินลืมเรื่องที่ตนเองเป็นองค์รัชทายาทแห่งหนานหลิงไปชั่วขณะ ทำราวกับว่าตนเองเป็นโจวสิงเหมือนที่ผ่านมา แน่นอนว่าตีเหล็กมันต้องตีตอนร้อน เขาไม่พลาดโอกาสนี้แน่นอน
หนานหลิงจิ่นสิงโบกมือ สั่งให้เหล่าองครักษ์คอยคุ้มกันอยู่ด้านนอก ไม่อนุญาตให้เข้าไปด้านใน
ทุกคนต่างเห็นการกระทำของหนานหลิงจิ่นสิง แม้พวกเขาจะรู้ว่าการกระทำนี้เป็นการกระทำที่ผิดมารยาท แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา ยืนเงียบอยู่ด้านนอก เหล่าองครักษ์รีบกระจายตัวทำการคุ้มกันอย่างหนาแน่นรอบจวนเฟิ่ง
การกระทำนี้……มีหรือเฟิ่งชิงเฉินจะไม่รู้ แต่เป็นเพราะหนานหลิงจิ่นสิงต้องการแสดงให้เห็นถึงความใกล้ชิด นางจึงให้ความร่วมมือ
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรหนานหลิงจิ่นสิงกับนางก็มีความสัมพันธ์กัน นางเป็นคนส่งเขาออกไป ตามหลักการช่วยเหลือ เมื่อช่วยเหลือญาติไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล แน่นอนว่านางต้องให้ความร่วมมือกับหนานหลิงจิ่นสิงให้คนนอกเห็นความสัมพันธ์ฉันพี่น้องของพวกเขาลึกซึ้ง ทำให้เห็นว่าการร่วมมือกันของเสด็จอาเก้าและหนานหลิงจิ่นสิงไม่มีวันแตกหัก
การมาครั้งนี้หาความคิดทางการเมือง เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกแปลกไม่น้อยเมื่อเดินเข้าไปในจวนเฟิ่งพร้อมกับหนานหลิงจิ่นสิง
ระหว่างทางมือของหนานหลิงจิ่นสิงไปสัมผัสเข้ากับมือของเฟิ่งชิงเฉินโดยไม่ตั้งใจ “พี่สาว มือของท่านยังเย็นเหมือนเช่นเคยงั้นหรือ”
“ใช่ มือคู่นี้ของข้าไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ไม่อุ่นขึ้นเสียที” เฟิ่งชิงเฉินดึงมือออกโดยสัญชาตญาณ หนานหลิงจิ่นสิงไม่ได้ทำให้นางรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่เป็นความเคยชินของนางนอกจากเสด็จอาเก้า นางไม่เคยให้ใครจับมือมาก่อน
“ให้ข้าช่วยทำให้ท่านอบอุ่นขึ้นหรือไม่?” หนานหลิงจิ่นสิงลองถามออกไป แต่ก็ไม่ได้แปลกใจเมื่อได้ยินคำปฏิเสธของเฟิ่งชิงเฉิน “ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงของฝ่าบาท แต่ข้าชินกับมันแล้ว และอย่าเรียกข้าว่าพี่สาวอีก มันจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิด ตัวตนของพระองค์สูงส่งกว่าข้ามาก แถมอายุก็ยังมากกว่าข้าด้วย”
พี่สาวของโจวสิงเป็นได้ไม่ยาก แต่พี่สาวขององค์รัชทายาทนั้นยากที่จะเป็น
“ในใจข้า ท่านพี่คือสาวของข้ามาโดยตลอด ไม่เกี่ยวกับอายุหรือฐานะ หากพูดถึงสถานะท่านคือพี่สาวของข้า สถานะของท่านสูงส่งมากกว่า” หนานหลิงจิ่นสิงไม่เห็นด้วย
ในแง่ของความรู้สึกและเหตุผล เขาไม่มีทางห่างเหินกับเฟิ่งชิงเฉิน ส่วนเรื่องที่เรียกเฟิ่งชิงเฉินว่าพี่สาว ตอนแรกเขาก็ไม่ชิน แต่ตอนนี้……การใช้ชีวิตในพระราชวังนั้นมันต่างจากการใช้ชีวิตของมนุษย์ทั่วไป เขาคิดถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่ในจวนเฟิ่งเป็นอย่างมาก ช่วงเวลาที่เฟิ่งชิงเฉินเป็นพี่สาวของเขา
“ข้ากลัวว่าจะทำให้เจ้าลำบาก” คำพูดของหนานหลิงจิ่นสิงทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
โชคดี แม้โจวสิงจะกลายเป็นหนานหลิงจิ่นสิงไปแล้ว แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านางก็ยังคงเป็นคนที่นางคุ้นเคย ไม่ได้กลายเป็นผู้สูงส่งที่เอาแต่ชี้นิ้วสั่ง
“ไม่มีทางเปลี่ยนอย่างแน่นอน ต่อให้ลำบาก ความลำบากนั้นก็อาจจะเกิดจากข้ามากกว่า” หนานหลิงจิ่นสิงจ้องเฟิ่งชิงเฉินพร้อมกับกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกขอโทษ การกระทำของเขาในวันนี้ทำให้เฟิ่งชิงเฉินโดดเด่น และต้องเกิดปัญหาตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย
“เรื่องเล็กน้อย ข้าไม่เห็นมันอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ ต่อให้ไม่มีเรื่องในวันนี้ พวกเขาก็ไม่มีทางปล่อยข้าไป” หนี้สินล้นตัว เดี๋ยวก็จะชินกับความลำบากไปเอง
“มีข้าอยู่ ไม่มีทางปล่อยให้เขาเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้าแน่นอน” หนานหลิงจิ่นสิงพูดออกมาเสียงต่ำ “เขา” ที่พูดถึงคือใคร พวกเขาต่างเข้าใจ นอกจากเจ้าบ้าหนานหลิงจิ่นฝานแล้ว ยังมีใครที่โอหังขนาดนั้น
“ต่อให้เขาคิดจะเข้ามาสร้างปัญหามันก็หมดโอกาส” พ่อแม่ของนางยังไม่ถูกฝัง แม้จะยังไม่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นลูกกตัญญู แต่การประชุมร่วมมือกันทางการเมืองในสถานที่อย่างพระราชวัง นางไม่มีทางไป และทุกคนก็จะไม่เชิญนางโดยปริยาย
หลังจากฝังพ่อแม่ของนาง นางต้องไปยังเผ่าเสวียนเซียวกง หนานหลิงจิ่นฝานคิดจะสร้างปัญหาให้กับนางก็คงไม่มีทางเป็นไปได้
หนานหลิงจิ่นสิงยิ้มออกมาและไม่ได้ตอบโต้แต่อย่างใด มีเสด็จอาเก้าอยู่ หนานหลิงจิ่นสิงเองก็ไม่น่าจะกล้าข้ามกองไฟกองนี้มา
หนานหลิงจิ่นสิงรู้สึกได้ถึงความไม่คุ้นเคยระหว่างเขากับเฟิ่งชิงเฉิน เขาจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมาในระยะเวลาครึ่งปีกว่าให้เฟิ่งชิงเฉินฟัง แน่นอนว่าพูดแต่สิ่งที่ดี ไม่พูดสิ่งที่เลวร้าย แต่จากคำพูดของหนานหลิงจิ่นสิง เฟิ่งชิงเฉินก็ยังสามารถรับรู้เนื้อหาที่ซ่อนอยู่ได้ ครึ่งปีที่ผ่านมาของหนานหลิงจิ่นสิงไม่ใช่เรื่องง่าย พูดได้เลยว่าแต่ละย่างก้าวเป็นก้าวอันสำคัญ
คิดไปคิดมามันก็ใช่ องค์รัชทายาทที่กลับมาเพียงลำพัง ไม่มีรากฐานของความเป็นองค์รัชทายาท เขาจะไปสู้กับหนานหลิงจิ่นฝานและตระกูลซูได้อย่างไร เฟิ่งชิงเฉินยอมรับว่าตนเองใจอ่อน ได้ยินเรื่องราวจากปากของหนานหลิงจิ่นสิง เรื่องราวครึ่งปีที่ผ่านมานั้นไม่ใช่การรายงานผลให้นางฟัง แต่เขาไม่อยากให้นางลำบากใจ เฟิ่งชิงเฉินจึงเชื่อใจและรู้สึกโล่งใจมาก
หนานหลิงจิ่นสิงกลับไปยังหนานหลิงด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่ เขาไม่บอกข้อมูลอะไรให้เฟิ่งชิงเฉินฟัง เนื่องจากเกรงว่าหากวันหนึ่งเขาตายไป เฟิ่งชิงเฉินจะรู้สึกเสียใจ หรือไม่ก็อาจจะทำเรื่องที่ไม่ควร
ด้วยความเข้าใจที่หนานหลิงจิ่นสิงมีต่อเฟิ่งชิงเฉิน เขารู้ว่าหากเขาเสียชีวิตลงในหนานหลิง เฟิ่งชิงเฉินจะต้องล้างแค้นให้เขาอย่างแน่นอน เนื่องจาก……เฟิ่งชิงเฉินมีนิสัยเมื่อปกป้องใครแล้ว นางจะปกป้องจนชีวิตจะหาไม่
ทั้งสองคุยกันเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ความรู้แปลกที่สัมผัสได้ในตอนแรกหายไป ความกังวลและหวาดวิตกในใจของเฟิ่งชิงเฉินก็หายไปเช่นกัน หนานหลิงจิ่นสิงเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้โกรธเขา จึงขอเขาไปสักการะพ่อแม่ตระกูลเฟิ่ง
เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับ คนที่มีความรู้สึกต่างรู้ดีและหนานหลิงจิ่นสิงก็เป็นคนประเภทนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย เฟิ่งชิงเฉินไม่มีเหตุผลต้องปฏิเสธ พาเขาไปด้านหน้าด้วยตัวเอง หนานหลิงจิ่นสิงไม่ได้แค่โค้งคำนับลง แต่เขาคุกเข่าลงด้วยความจริงใจ
มีจูอวี้ของเสด็จอาเก้าอยู่ตรงหน้า การแสดงออกของหนานหลิงจิ่นสิงจึงไม่ได้ดูน่าตกใจอะไร แต่ยังไงเฟิ่งชิงเฉินก็ยังรู้สึกซาบซึ้ง การแสดงออกของหนานหลิงจิ่นสิงแสดงถึงความเคารพที่เขามีแต่พอแม่ของนาง
ออกมาจากห้องไว้ทุกข์ ทั้งสองคนไม่ได้กลับไปห้องโถงใหญ่ แต่เดินไปรอบจวนเฟิ่งตามอําเภอใจ มองดูทิวทัศน์โดยรอบรู้สึกได้ถึงความคุ้นเคยและความแปลกตา หนานหลิงจิ่นสิงกล่าวอย่างเศร้าใจ “เป็นอย่างที่คิด จากไปนานเหลือเกิน มีสถานที่มากมายที่ข้าจำไม่ได้แล้ว”
“มันเพิ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่ เจ้าไม่เคยเห็นก็ไม่แปลก” เฟิ่งชิงเฉินมองทิวทัศน์ของจวนเฟิ่งอย่างเงียบสงบ และพบว่า “สถานที่บางแห่งนางเองก็รู้สึกแปลกตาเช่นกัน”
ซูเหวินชิงทำอย่างสุดความสามารถจริงๆ สถานที่เดียวกันและกลับทำให้เกิดทิวทัศน์ถึงสองฤดู ช่วงนี้นางงานยุ่งมาก ทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน และไม่มีเวลาชื่นชมทิวทัศน์
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น งั้นพี่ก็ช่วยพาข้าเดินชมทิวทัศน์ของจวนเฟิ่ง หากคนอื่นรู้ว่าพวกเราหลงทางในบ้านของตัวเอง แบบนั้นคงเป็นเรื่องน่าขันน่าดู” ในตอนที่พูดออกมา ใบหน้าของหนานหลิงจิ่นสิงเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มแห่งความคิดถึง ใบหน้านั้น……
เฟิ่งชิงเฉินแยกไม่ออกว่าจริงหรือเท็จ
นี่คือจวนเฟิ่ง ไม่ใช่บ้านของหนานหลิงจิ่นสิง!
หนานหลิงจิ่นสิงเดินเล่นอยู่ในจวนเฟิ่งด้วยความเพลิดเพลิน จนกระทั่งฟ้ามืดลง เสนาธิการทหารเดินเข้ามาแจ้งเตือน “ฝ่าบาท หากยังไม่เสด็จไปยังพระราชวังจะไม่ทันงานเลี้ยงเอานะขอรับ”
“เรื่องมาก” หนานหลิงจิ่นสิงมองเสนาธิการทหารด้วยสายตาอันเย็นชา เสนาธิการทหารเหงื่อตก แต่เขายังยืนอยู่ที่เดิมไม่กล้าขยับ
เขาเองก็ไม่อยากเรื่องมาก แต่……เวลาไม่เคยคอยใคร
“รีบไปเถิด หากไปสายจักรพรรดิอาจไม่พอใจ” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมา ตอนนั้นหนานหลิงจิ่นสิงถึงยินยอมที่จะจากไป เฟิ่งชิงเฉินยืนส่งจนมองไม่เห็นเงาร่างของหนานหลิงจิ่นสิง ยืนอยู่นานโดยไม่เคลื่อนไหว
เป็นเพราะความต้องการของนางสูงไปหรือแต่ละคนล้วนมีสิ่งผูกมัดตนเอง เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเสมอว่าหนานหลิงจิ่นสิงต้องการขจัดช่องว่างระหว่างพวกเขา แต่ต้องการทำให้ช่องว่างนั้นแคบลง
อาจจะเป็นเพราะนางอ่อนไหวเกินไป หนานหลิงจิ่นสิงในตอนนี้ไม่ใช่โจวสิงที่ต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังจึงสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้เหมือนในตอนนั้น เขาเป็นองค์รัชทายาท การกระทำของเขาจึงดูสบายมากกว่าแต่ก่อน……