นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 726 สีเลือด เหยียบศพของเจ้าแล้วก้าวต่อไป
จะเข้าไปช่วยพยุงหรือไม่?
นี่เป็นคำถามที่ไม่ต้องคิด เฟิ่งชิงเฉินไม่มีความคิดที่จะเข้าไปช่วยพยุงองค์หญิงเหยาหวาอยู่ในหัวเลย หากจะเข้าไปช่วยพยุงนางคงเข้าไปตั้งแต่ตอนแรกแล้ว นางจะมาอยู่ตรงนี้ทำไม
เห็นใบหน้าอันซีดขาวและความอ่อนแอจากโรคขององค์หญิงเหยาหวา เฟิ่งชิงเฉินแน่ใจเป็นอย่างมากว่าร่างกายขององค์หญิงเหยาหวาจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน ไม่เพียงแค่ไม่สามารถเข้าไปพยุงได้เท่านั้น แต่ยังต้องตีตัวออกหาก
การกระทำของเหยาหวาเป็นการเข้ามาสร้างสถานการณ์อย่างจงใจ ประกอบกับการข่มขู่ ร่างกายไม่แข็งแรงก็คิดจะมาถ่วงนาง ฝันไปเถอะ คิดว่านางเฟิ่งชิงเฉินถูกรังแกง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ต่อให้นางน่ารังแก อย่างน้อยองค์หญิงเหยาหวาก็ต้องเลือกวันเวลา จะมาสร้างปัญหาให้กับนางวันไหนก็ไม่ว่า แต่กลับมาเลือกวันนี้ นี่กำลังจงใจทำให้นางโกรธอยู่ใช่ไหม
เฟิ่งชิงเฉินกัดฟันด้วยอารมณ์ แววตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธ
วันนี้องค์หญิงเหยาหวาคิดจะมาเพื่อถ่วงเวลาของนางใช่ไหม?
ได้ ใครจะไปกลัว!
เฟิ่งชิงเฉินยืนนิ่งอยู่ตรงที่เดิมด้วยความเยือกเย็น ไม่ได้ก้าวไปด้านหน้า ทั้งสองคนแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น
พวกเขาสามารถรอต่อไปได้ แต่……เวลาไม่เคยคอยใคร เวลาฝังศพนั้นถูกกำหนดไว้แล้ว หากถ่วงเวลาต่อไปอาจจะพลาดเวลาฝังศพ
“ท่านอาจารย์ จะเสียเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว พวกเราต้องออกจากเมือง หากไม่ออกจากเมืองตอนนี้เกรงว่าคงไม่ทัน” ซุนซือสิงก้าวมาด้านหน้า พูดเตือนด้วยเสียงอันเบา
ต่อให้ไม่ออกไปนอกเมือง แต่พวกเขาที่มีจำนวนคนมากมายขนาดนี้ก็ไม่สามารถมาขวางอยู่ตรงหน้าประตูเมืองได้ เมื่อผ่านไปนานตี๋ตงหมิงเองก็รับภาระไว้ไม่ไหว ตี๋ตงหมิงเองก็มีศัตรู มีคนมากมายที่กำลังจับจ้องตำแหน่งของตี๋ตงหมิงอยู่
“ข้าเองก็อยากไป แต่น่าเสียดายที่องค์หญิงเหยาหวาไม่เห็นด้วย”
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าจะไม่ยกโทษให้ข้าจริงๆอย่างนั้นหรือ?” องค์หญิงเหยาหวาสะอึกสะอื้น ราวกับขาดอากาศหายใจ
ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินเผยให้เห็นความรังเกียจ ในเมื่อใช้ไม้แข็งไม่ได้ แบบนั้นก็คงต้องใช้ไม้อ่อน
เฟิ่งชิงเฉินถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หันกลับไปทางด้านเหยาหวา เฟิ่งชิงเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เก็บความชั่วร้ายที่ปล่อยออกมาจากร่างกาย ใบหน้าเบื่อหน่าย ถูกซ่อนไว้ด้วยความโกรธ
“องค์หญิงเหยาหวา พื้นดินมันหนาว เจ้ารีบลุกขึ้นมาเถิด เจ้าเป็นถึงองค์หญิงแห่งซีหลิง พระชายาชุนอ๋องในอนาคต สถานะของเจ้าสูงส่ง พ่อแม่ของข้ารับความประสงค์ของเจ้าไว้ไม่ไหว องค์หญิงเหยาหวา พวกเรามาพูดคุยกันดีๆเถิด เจ้าอย่าแสร้งทำเป็นคนบ้า ร้องไห้เพื่อร้องขอความเห็นใจเช่นนี้เลย ทำเหมือนว่าข้ากำลังรังแกเจ้า
องค์หญิงเหยาหวา เจ้าเป็นองค์หญิงแห่งซีหลิงผู้สูงศักดิ์จนไม่มีใครเทียบได้ ชิงเฉินเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ไร้พ่อแม่ ต่อให้ข้าขอร้องเจ้า เจ้าจะปล่อยข้าไปหรือไม่? ต่อให้เจ้าไม่อยากปล่อยข้าไป แต่ช่วยปล่อยพ่อแม่ของข้าไปได้หรือไม่ อย่าทำให้พิธีฝังศพพ่อแม่ของข้าต้องเกิดความล่าช้าเลย ข้าขอคุกเข่าขอร้องเจ้า เจ้าจะยอมหรือไม่?”
ตุบ……เฟิ่งชิงเฉินคุกเข่าลง อยู่ห่างจากองค์หญิงเหยาหวาประมาณหนึ่งช่วงแขน
แสร้งทำเป็นน่าสงสาร แสร้งทำเป็นอ่อนแอ? เจ้าทำได้ข้าเองก็ทำได้ เจ้าคุกเข่าพ่อแม่ของข้าไม่มีความสุข ข้าคุกเข่าพ่อแม่ของข้ายอมรับมันอย่างเต็มใจ
แววตาแห่งความท้าทายของเฟิ่งชิงเฉินทำให้ใบหน้าขององค์หญิงเหยาหวาน่าเกลียดเป็นอย่างมาก ร่างกายของนางสั่นสะท้านราวกับจะล้มลงในวินาทีถัดไป
งดงามมาก!
ซีหลิงเทียนอวี่ซึ่งยืนอยู่ด้านข้างแอบชื่นชมอยู่ในใจ
หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ไม่เหมาะสม เขาคงตะโกนแสดงความชื่นชมออกไปแล้ว
การโจมตีนี้ของเฟิ่งชิงเฉิน เข้าเป้าขององค์หญิงเหยาหวาโดยตรง
องค์หญิงผู้สง่างามเล่าเรียนการแสร้งทำตัวน่าสงสาร พูดออกไปก็ไม่มีใครเชื่อ แต่เฟิ่งชิงเฉินต่างออกไป นางไม่เสแสร้งนางก็น่าสงสารอยู่แล้ว ประกอบกับงานฝังศพพ่อแม่ของนางในวันนี้ ทำให้วันนี้เฟิ่งชิงเฉินสามารถใช้ความน่าสงสารให้เป็นประโยชน์ได้อย่างเต็มที่
ซีหลิงเทียนอวี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ดูจากสถานการณ์เขาคงไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเฟิ่งชิงเฉินแล้ว แม้เฟิ่งชิงเฉินจะโกรธเศร้าเพียงใดก็ไม่มีทางทำตามแผนของเหยาหวา เหยาหวาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฟิ่งชิงเฉิน เขาประเมินเหยาหวาสูงเกินไป
ผู้หญิงทั้งสองนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นอันหนาวเย็น แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจ นางจะอ่อนแอกว่าเหยาหวา ผู้ซึ่งที่เห็นแวบแรกก็รู้แล้วว่าร่างกายไม่แข็งแรงได้อย่างไร เฟิ่งชิงเฉินคุกเข่าอยู่แบบนั้น เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อบ่งบอกว่าตนเองจะไม่ยอมแพ้
ใบหน้าขององค์หญิงเหยาหวาซีดขาวราวหิมะ กัดฟันและหันมามองเฟิ่งชิงเฉิน ดวงตานั้น……นางเกลียดจนอยากจะกลืนกินเฟิ่งชิงเฉิน มันมีร่องรอยของการขอคืนดีเสียที่ไหน เฟิ่งชิงเฉินเองก็พ่นลมหายใจออกมาโดยไม่พูดอะไร และคุกเข่าอยู่เช่นนั้น
องค์หญิงเหยาหวามั่นใจมากกว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่กล้าล่าช้าเพราะกลัวว่าจะไม่ทันเวลาฝังศพพ่อแม่ของนาง เช่นเดียวกัน เฟิ่งชิงเฉินเองก็มั่นใจว่าร่างกายขององค์หญิงเหยาหวาจะทนไม่ไหว ในฐานะที่ตนเองเป็นหมอคนหนึ่ง หากเรื่องแค่นี้นางยังมองไม่ออก แบบนั้นชีวิตของนางคงไร้ความหมาย
ทั้งสองคนคุกเข่าอยู่เช่นนั้น องค์หญิงเหยาหวายืนหยัดอยู่ด้วยเจตจำนงของนาง มีเลือดไหลออกมาจากร่างกายของนาง ดวงตาอันเฉียบแหลมของเฟิ่งชิงเฉินสามารถมองเห็นมันได้อย่างรวดเร็ว เมื่อนึกถึงเรื่องนั้นขององค์หญิงเหยาหวาและชุนชินอ๋อง ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินเบิกกว้างในทันใด
เหยาหวากำลังตั้งครรภ์ อย่างน้อยก็ประมาณ 4-5 เดือน ทำไมถึงมองไม่ออก?
บ้าที่สุด การฆ่าทายาทของราชวงศ์เป็นอาชญากรรมร้ายแรง นี่องค์หญิงเหยาหวาต้องการฝั่งครอบครัวของนางทั้งสามคนไปพร้อมกันเลยอย่างนั้นหรือ?
เฟิ่งชิงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ระงับความโกรธในหัวใจ หันไปใช้สายตากับหวังจิ่นหลิง ให้เขาช่วยหาวิธีที่จะปลุกระดมฝูงชนและบีบบังคับองค์หญิงเหยาหวา
แม้หวังจิ่นหลิงไม่รู้สถานการณ์ขององค์หญิงเหยาหวา แต่ก็รู้ว่าหากอยู่บนถนนเส้นนี้ต่อไป มันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเฟิ่งชิงเฉินและตี๋ตงหมิง หวังจิ่นหลิงพยักหน้าและลุกขึ้นยืน
“องค์หญิงเหยาหวา ข้าไม่รู้ว่าเจ้าทำเช่นนี้เพราะเหตุใด แต่เจ้ากับเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้มีบุญคุณความแค้นอะไรต่อกัน เจ้าเป็นองค์หญิงแห่งซีหลง อนาคตพระชายาชุนอ๋อง เฟิ่งชิงเฉินเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดา เฟิ่งชิงเฉินจะไปเอาความกล้าที่ไหนไปโต้เถียงกับเจ้า เจ้ากล่าวว่าเพื่อขจัดความคับข้องใจอันยิ่งใหญ่ ข้าว่ามันออกจะเกินไป เจ้ากับเฟิ่งชิงเฉินเดิมทีไม่ได้มีบุญคุณความแค้นอะไรต่อกันอยู่แล้ว
วันนี้เป็นวันฝังศพพ่อแม่ของเฟิ่งชิงเฉิน ผู้ตายนั้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่ หวังว่าองค์หญิงเหยาหวา เจ้าจะเห็นสถานะอันยิ่งใหญ่ของผู้ตาย ยอมลุกขึ้นเพื่อหลีกทาง อย่าทำให้เวลาฝังศพของแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินต้องช้าออกไป เจ้าทำแบบนี้เท่ากับว่าเจ้าไม่เคารพผู้ตาย”
ความหมายในคำพูดของหวังจิ่นหลิงคล้ายกับที่เฟิ่งชิงเฉินต้องการ แต่มันดูโหดเหี้ยมกว่าที่เฟิ่งชิงเฉินคิด คำพูดนี้ของหวังจิ่นหลิงชี้ไปที่แรงจูงใจซ่อนเร้นขององค์หญิงเหยาหวา จงใจทำให้เฟิ่งชิงเฉินต้องลำบาก ไม่ยอมให้ไปฝังศพของแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยิน
“เหยาหวา เจ้าลุกขึ้นเถิด มีเรื่องอะไรไว้รอหลังฝังศพของแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินเสร็จแล้วค่อยว่ากัน เจ้าวางใจ หากเจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม ข้าจะถวายรายงานแก่องค์จักรพรรดิ เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับเจ้า” ผู้ซึ่งพูดออกมาไม่ใช่ใคร เขาคือคู่หมั้นของเหยาหวา ชุนชินอ๋อง
“ใช่ เหยาหวา หากเจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม ก็บอกกับพี่ หากเจ้าคิดว่าพี่ไม่มีกำลังพอจะช่วยเจ้าล้างแค้น เจ้าก็สามารถเขียนจดหมายไปหาเสด็จพ่อ ใครรังแกเจ้า พวกข้าจะให้เสด็จพ่อยกทัพมา ทำลายคนผู้นั้นให้สิ้นซาก”
อะไรที่เรียกว่าไม่มีพวกยังจะดีเสียกว่า ตอนนี้องค์หญิงเหยาหวากำลังประสบกับปัญหานั้นอยู่ นางกำลังถูกพวกเดียวกันแทงข้างหลัง
ชายที่มากับนางสองคน อาจจะดูเหมือนว่ากำลังพูดแทนนาง แต่แท้จริงแล้วพวกเขากำลังเน้นย้ำว่าสิ่งที่นางทำนั้นกำลังสร้างความลำบากให้กับเฟิ่งชิงเฉิน
องค์หญิงเหยาหวาจะได้รับความไม่เป็นธรรมจากเฟิ่งชิงเฉินได้อย่างไร หากนางถูกเฟิ่งชิงเฉินทำให้โกรธและให้เสด็จพ่อของนางออกหน้า อย่าว่าแต่เฟิ่งชิงเฉินเพียงคนเดียวเลย ต่อให้มีเฟิ่งชิงเฉินเป็นสิบคนก็ยังต้องตายอยู่ดี
เห็นได้ชัดว่าคำพูดนี้มันดูเกินไป
“องค์หญิง เจ้าได้โปรดหลบทางด้วยเถิด อย่าทำให้พวกข้าต้องเสียเวลาเลย” ตี๋ตงหมิงกล่าวแนะนำออกมา
“องค์หญิงเหยาหวา ข้าไม่รู้ว่าพี่สาวของข้าไปทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจ แต่หากเจ้าทำร้ายนางเช่นนี้ ทำให้ไม่สามารถนำศพของแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินไปฝังได้ทันเวลา ทำให้พวกเขาไม่พบเจอกับความสงบ ต่อหน้าโลงศพของแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยิน เจ้าไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือ? เจ้าไม่กลัวตกนรกขุมที่สิบแปดหรืออย่างไร?” คำพูดนี้ของหนานหลิงจิ่นสิงตรงไปตรงมาเป็นอย่างมาก ไม่มีความเกรงใจแต่อย่างใด
“องค์หญิงเหยาหวา ทำอะไรก็ต้องมีขอบเขต วันนี้เป็นพิธีศพของแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยิน พวกข้าไม่มีกะจิตกะใจจะมาเล่นกับเจ้า” หวังชีเองก็ออกมาตำหนิเช่นกัน
แต่คนเหล่านี้เทียบกับซุนซือสิงไม่ได้ ซุนซือสิงเอ่ยคำอ้อนวอนออกมาโดยตรง “องค์หญิงเหยาหวา เจ้าได้โปรดหลีกทางด้วยเถิด ถือว่าพวกข้าขอร้องท่าน หากอาจารย์ของข้าคุกเข่าให้เจ้าแล้วยังไม่เพียงพอ จะให้พวกข้าจะคุกเข่าให้เจ้าด้วยก็ย่อมได้ ขอแค่เจ้ายอมหลีกทางให้ พวกข้าจะคุกเข่าให้เจ้าทันที”
ก่อนหน้านี้ซุนซือสิงอาจจะดูงุนงง แต่ตอนนี้ความสามารถของเขามีมากมาย โดยเฉพาะเรื่องดึงดูดความสนใจถือให้เป็นที่หนึ่ง ได้ยินคำพูดของเฟิ่งชิงเฉินว่าข้ายอมคุกเข่าให้เจ้า และเมื่อสถานการณ์ยังคงไม่ดีขึ้น ซุนซือสิงจึงรีบคุกเข่าลงไปทันที
ซุนซือสิงนี่อะไรกัน? ก่อนหน้านี้มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่หลังจากจบเรื่องเวชศาลา ประชาชนในพระราชวังมีใครบ้างที่ไม่รู้จักซุนซือสิง ประกอบกับผู้เข้าร่วมพิธีศพในวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้ประสบภัยพิบัติที่ได้รับความช่วยเหลือจากองค์หญิงเหยาหวาและซุนซือสิง เห็นซุนซือสิงคุกเข่า พวกเขาไม่แม้แต่จะคิด รีบคุกเข่าตามไปทันที
“องค์หญิงเหยาหวา พวกข้าต่างคุกเข่าเพื่อขอร้องเจ้า เจ้าได้โปรดลุกขึ้นมาเถิด ได้โปรดหลีกทางให้พวกข้า ได้โปรดปล่อยให้แม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินไปสู่สุคติ”
เสียงของคนเพียงคนเดียวอาจจะเบาเกินไป กำลังของคนเพียงคนเดียวอาจจะไม่มากพอ แต่หากมีเป็นพันคนเล่า?
ขณะเดียวกันผู้คนนับพันต่างพากันคุกเข่าอยู่ตรงหน้าประตู พร้อมกับเอ่ยคำขอร้ององค์หญิงเหยาหวา “ท่านได้โปรดลุกขึ้นเถิด ได้โปรดปล่อยให้แม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินไปสู่สุคติ”
องค์หญิงเหยาหวาจะยังแสร้งทำเป็นอ่อนแอและน่าสงสารต่อไปได้หรือไม่? องค์หญิงเหยาหวายังสามารถเล่นบทบาทว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนรังแกนางได้ต่อไปอีกหรือเปล่า?
ไม่มีทาง……
ดังนั้นครั้งนี้องค์หญิงเหยาหวาพ่ายแพ้อย่างราบคาบ พ่ายแพ้ด้วยเนื้อมือของเหล่าประชาชนที่นางดูถูก
“องค์หญิงเหยาหวา พวกเรายอมคุกเข่าให้ท่านแล้ว องค์หญิงเหยาหวา พวกเราขอร้อง ท่านได้โปรด……”
องค์หญิงเหยาหวารู้สึกว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปชั่วพริบตา นางได้ยินเสียงอ้อนวอนของประชาชนมากมาย นางกลายเป็นคนเอาแต่ใจในชั่วพริบตา กลายเป็นองค์หญิงผู้ชั่วร้าย ดื้อดึง และรังแกเฟิ่งชิงเฉิน
เป็นแบบนี้ได้อย่างไร? มันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?
เห็นอยู่ว่านางเหนือกว่า ผ่านไปชั่วพริบตาทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้?
องค์หญิงเหยาหวาส่ายหน้าอย่างต่อเนื่อง และตอนนี้นางก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ร่างกายของนางสั่นเทา พร้อมล้มลงกับพื้นในทุกเมื่อ
“ข้า……” องค์หญิงเหยาหวาต้องการแก้ตัว ต้องการบอกให้คนพวกนี้หุบปาก ไม่ใช่ว่านางต้องการทำให้เฟิ่งชิงเฉินต้องพบเจอกับความลำบาก แต่เป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉินไม่ยอมก้าวเข้ามาพยุงนาง ขอแค่เฟิ่งชิงเฉินก้าวเข้ามาเพื่อพยุงนางนางก็จะยอมลุกขึ้นแต่โดยดี
แต่ว่า……
แค่แรงพูดยังไม่มี ถึงต่อให้มีแรงพูด เสียงของนางก็คงส่งไปไม่ถึงผู้คนนับพันอยู่ดี
เหยาหวาฝากความหวังสุดท้ายไว้กับซีหลิงเทียนอวี่ หวังว่าซีหลิงเทียนอวี่จะช่วยนางได้ แต่นางจะไปรู้ได้อย่างไรว่าซีหลิงเทียนอวี่หันหน้าหนีไปตั้งแต่ตอนแรก และไม่เคยแม้แต่หันมามอง
ทำอะไรได้อย่างนั้น จะไปโทษใคร
เป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ไม่ชอบ กลับอยากเป็นผู้หญิงตัวน้อยที่น่าสงสาร คิดว่ามันจะได้ผลหรือไง ยัยผู้หญิงงี่เง่าไร้สมอง
ความหวังสุดท้ายหมดไป องค์หญิงเหยาหวาทนไม่ไหวแล้ว ภาพด้านหน้ากลายเป็นสีดำ เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าองค์หญิงเหยาหวาไม่ได้เสแสร้ง จึงรีบตะโกนออกไปว่า “ท่านชุนอ๋อง องค์หญิงเหยาหวาหมดสติไปแล้ว ท่านได้โปรดพาคู่หมั้นของท่านกลับไปได้หรือไม่?”
“อะไรนะ? หมดสติไปแล้ว? ไม่ได้แกล้งหมดสติใช่ไหม?” เป็นอีกครั้งที่ตงหลิงจื่อชุนแสดงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม หากเหยาหวาฟื้นขึ้นมา นางจะต้องกระอักเลือดอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดาย……
น่าเสียดาย ครั้งนี้องค์หญิงเหยาหวาหมดสติไปจริง นางไม่รู้ว่าตงหลิงจื่อชุนพูดอะไรออกมา และไม่สามารถลุกขึ้นมาทำร้ายตงหลิงจื่อชุนได้
เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าองค์หญิงเหยาหวาหมดสติไปจริง และไม่มีความคิดที่จะช่วยอธิบาย ทำไมนางต้องไปช่วยอีกฝ่าย ปล่อยให้อีกฝ่ายถูกคนรังเกียจแบบนั้นก็เป็นเรื่องดีแล้ว
มองไปยังเหยาหวาด้วยสายตาดูถูก เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นยืน จัดเสื้อผ้าของตนเองให้เข้าที่ หันกลับมาพร้อมกล่าวว่า “ท่านชุนอ๋อง ท่านได้โปรดพาองค์หญิงเหยาหวากลับไป อย่าให้นางมาขวางทางของพวกข้าเช่นนี้”
ส่วนรอยเลือดบนพื้น เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้ว เลือดพวกนี้……จะให้คนอื่นเห็นคงไม่ใช่เรื่องดี จะต้องหาวิธีจัดการ
ส่วนเรื่องความเป็นความตายขององค์หญิงเหยาหวา?
ขอโทษด้วย นางไม่จำเป็นต้องกังวล
นางเป็นหมอไม่ใช่พระเจ้า ไม่มีทางที่เมื่อถูกทำร้ายแล้วหนึ่งครั้ง จะยอมให้อีกฝ่ายทำร้ายซ้ำอีก ไม่ต้องพูดว่าองค์หญิงเหยาหวาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่ ถึงแม้องค์หญิงเหยาหวาจะตายอยู่ตรงหน้านาง นางก็พร้อมที่จะข้ามศพขององค์หญิงเหยาหวาไปอย่างไม่ลังเล……
เฟิ่งชิงเฉินยืนกรานในหลักการที่นางควรยึดถือ แต่นางไม่ใช่พระเเม่มารี ไม่ได้มีจิตใจอันงดงามเหมือนพระแม่เจ้าที่จะยอมให้ใครเอาเปรียบตนเองก็ได้
“อ่า อ่า……” ตงหลิงจื่อชุนก้าวไปด้านหน้าอย่างไม่เต็มใจ
เขามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อมาพิธีศพพ่อแม่ของเฟิ่งชิงเฉิน แต่เขาต้องก้าวไปด้านหน้าเพื่อดูแลเหยาหวา แบบนั้นเขายังมีโอกาสได้แห่ศพออกนอกเมืองอีกหรือไม่?
ไม่มีทาง……ตงหลิงจื่อชุนก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่เต็มใจ แต่เมื่อไปถึงตรงนั้นเขาก็ผงะในทันที “เหยาหวานาง?”
เกิดอะไรขึ้น……เลือดบนพื้นเหล่านี้
ท่าทางของเขาทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกประหลาดใจ พวกของหวังจิ่นหลิงก็เดินมาด้านหน้า เห็นเลือดบนร่างกายของเหยาหวา เหล่าทายาทผู้สูงศักดิ์เหล่านี้เก็บอาการไม่อยู่ ใบหน้าของพวกเขาแข็งทื่อ
แม้พวกเขาจะยังไม่ได้แต่งงานเป็นพ่อของคน แต่เรื่องแบบนี้พวกเขาก็เคยเห็นจากในตระกูลมาไม่น้อย ไม่จำเป็นต้องให้เฟิ่งชิงเฉินอธิบาย พวกเขาก็เข้าใจว่าองค์หญิงเหยาหวาได้แท้งลูกไปแล้ว และที่สำคัญองค์หญิงเหยาหวายังไม่ได้ออกเรือน
ไม่ใช่ นี่มันไม่ใช่ เรื่องพวกนี้มันไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือ……องค์หญิงเหยาหวาหอบลูกในท้องมาเพื่อสร้างความวุ่นวายที่นี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน
ควับ……สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ร่างของตงหลิงจื่อชุน ตงหลิงจื่อชุนตกใจจนเสียสติ “ข้า ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้จริงๆ”
เขาไม่รู้จริงหรือว่าองค์หญิงเหยาหวากำลังตั้งครรภ์ เด็กในท้องของนางไม่ใช่ลูกของเขาอย่างนั้นหรือ?
ใบหน้าของตงหลิงจื่อชุนเต็มไปด้วยความสับสน เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มันแปลกประหลาดเกินไป เขาไม่สามารถเข้าใจได้ในทันที ทำไมอยู่ดีๆเขาถึงได้กลายเป็นพ่อคน หลังจากนั้นชั่วพริบตาเด็กคนนี้ก็หายไปแล้ว
“เอาตัวนางกลับไปก่อน อย่าปล่อยให้ขวางทางไว้เช่นนี้” เฟิ่งชิงเฉินเห็นท่าทางของตงหลิงจื่อชุน นางรู้ทันทีว่าองค์หญิงเหยาหวาไม่ได้ท้องกับตงหลิงจื่อชุน แต่นางก็ไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะไปโทษว่าใครเป็นพ่อแม่ของเด็ก
นางไม่ใช่สูติแพทย์ แม้นางคิดว่าเด็กคือความผูกพันของพ่อแม่ แต่……นางก็ไม่สามารถช่วยองค์หญิงเหยาหวาได้ แม้นางจะรู้ว่าเด็กในท้องของเหยาหวาไม่ใช่ก้อนเลือด แต่เป็นตัวอ่อนที่มีรูปร่าง
“ข้า……” ตงหลิงจื่อชุนก้าวไปด้านหน้า เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรเป็นอันดับแรก เขาต้องการให้ใครคนใดคนหนึ่งเข้ามาช่วย สุดท้ายเขาก็เพิ่งคิดออกว่าเขาสั่งให้องครักษ์รออยู่ด้านหลัง
“เจ้าอะไรของเจ้า เหยาหวาเป็นคู่หมั้นของเจ้า เจ้าจะงงอะไร ยังไม่รีบอุ้มนางขึ้นมาอีก” ซีหลิงเทียนอวี่รู้สถานการณ์ขององค์หญิงเหยาหวาดี แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่คิดจะยื่นมือเข้ามาช่วย
เกมนี้ผู้พ่ายแพ้ไม่ได้มีแค่เหยาหวา แต่มันยังเป็นความพ่ายแพ้ของราชวงศ์ซีหลิง หากตอนนี้เขาเข้าไปโอบกอดเหยาหวา นั่นแสดงว่าที่องค์หญิงเหยาหวาแท้งเด็กก็เป็นเพราะคนของซีหลิงอย่างพวกเขา แต่ตงหลิงจื่อชุนนั้นต่างออกไป เขาก้าวไปด้านหน้า…..
จักรพรรดิตงหลิงกล่าวว่าจะมอบสิ่งทดแทนให้พวกเขา อย่างน้อยเรื่องการแต่งงานของเขากับเหยาหวาก็ไม่มีทางเกิดเหตุไม่คาดฝัน
เฮ้อ……เหยาหวา พี่ช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้ เส้นทางที่เหลือเจ้าจะต้องพึ่งพาตัวเอง เจ้าจะต้องก้าวต่อไปให้ได้!
ภายใต้แรงกดดันของผู้คน ตงหลิงจื่อชุนจำเป็นต้องก้าวไปด้านหน้าเพื่ออุ้มองค์หญิงเหยาหวาขึ้นมา ตอนที่เขากำลังจะลงมือ ซีหลิงเทียนอวี่ก็ก้าวไปด้านหน้าเพื่อขวางไว้ “ถอดเสื้อผ้าออกก่อน”
เฟิ่งชิงเฉินบอกให้ตงหลิงจื่อชุนเข้าไปอุ้มเหยาหวา นี่ถือเป็นการช่วยเหลือซีหลิงแล้ว ตอนนี้เขาจะต้องตอบแทนบุญคุณกลับไป เลือดบนร่างกายของเหยาหวา หากคนอื่นเห็นเข้าจะต้องเป็นปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน
ตงหลิงจื่อชุนเห็นโลงศพด้านหลังก็เข้าใจ การที่เกิดการนองเลือดในงานศพนั้นไม่ใช่เรื่องดี ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินไม่ใส่ใจ แต่มันก็อยากที่จะทำให้คนอื่นคิดเช่นนั้น ตงหลิงจื่อชุนรีบถอดเสื้อด้านนอกออก โอบกอดร่างของเหยาหวาไว้เป็นอย่างดีถึงลุกขึ้นมา “ชิงเฉิน ข้าขอโทษ!”
เหยาหวาคือคู่หมั้นของเขา แม้เขาจะไม่ยอมรับก็ตาม แต่ในตอนนี้เขาก็จำเป็นต้องขอโทษ
“ท่านชุนอ๋องไม่ต้องเกรงใจ หากท่านรู้สึกผิดต่อชิงเฉิน งั้นท่านก็ช่วยนำเรื่องนี้ไปถวายรายงานต่อจักรพรรดิตามความเป็นจริง ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ชิงเฉินไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวองค์หญิงเหยาหวาเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้พูดจาหยาบคายกับนาง ขอท่านชุนอ๋องและองค์จักรพรรดิทรงมอบความยุติธรรมให้แกชิงเฉินด้วย” จะบอกว่าโกรธก็ดี จะบอกว่าทำเกินไปก็ดี ตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรชุนอ๋องก็ไม่เป็นที่พอใจในสายตาของนาง
เหยาหวาคือผู้ที่จะได้เป็นพระชายาชุนอ๋องในอนาคต เป็นหนึ่งเดียวกับชุนอ๋อง หากวันใดชุนอ๋องเจริญรุ่งเรือง เหยาหวาเองก็จะมีชื่อเสียงด้วยในวันนั้น
“เจ้าวางใจ ข้าจะอธิบายเรื่องนี้ให้จักรพรรดิฟัง ซีหลิงเองก็ควรอธิบายเรื่องนี้ให้ข้าฟังด้วยเช่นกัน” ตงหลิงจื่อชุนเหลือบมองซีหลิงเทียนอวี่
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เด็กในท้องของเหยาหวาก็ต้องเป็นลูกของเขา และเมื่อตอนนี้ไม่มีแล้ว แน่นอนว่าเขาต้องรู้สึกเศร้าใจ
ซีหลิงเทียนอวี่หันหน้าหนีไปโดยไม่ใส่ใจ
ราชวงศ์ตงหลิงจะต้องมีความเห็นเกี่ยวกับเหยาหวาแน่นอน สำหรับเขาแล้วถือเป็นเรื่องดี มันแสดงให้เห็นว่าเหยาหวาและญาติไม่มีค่ากับซีหลิงเทียนเหล่ยเลยแม้แต่น้อย
ตงหลิงจื่อชุนอุ้มองค์หญิงเหยาหวาเดินจากไป แต่เลือดบนพื้นยังคงอยู่ ซีหลิงเทียนอวี่เป็นคนทำอะไรแล้วจะทำให้ถึงที่สุด เขาถอดเสื้อคลุมของเขาออก จากนั้นเช็ดเลือดบนพื้น “ชิงเฉิน ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เจ้าต้องลำบาก”
จริง นี่คือปัญหาอันยิ่งใหญ่ คนเขาจะไปทำพิธีศพให้พ่อแม่ แต่เหยาหวากลับออกมาสร้างปัญหาเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็ยังทนได้ หากเป็นคนอื่นจะต้องพุ่งเข้าไปและฉีกเหยาหวาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
แน่นอน หากวันนี้เฟิ่งชิงเฉินไปสัมผัสร่างกายของเหยาหวา นางจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!
“เรื่องทุกอย่างจบลงก็ดีแล้ว องค์รัชทายาทอวี่ ได้โปรดนำประโยคนี้ไปบอกกับองค์หญิงเหยาหวาแทนข้า : นางเองก็มีพ่อแม่” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวจบก็หันหลังให้ซีหลิงเทียนอวี่ทันที ไม่สนใจซีหลิงเทียนอวี่แม้แต่น้อย ซีหลิงเทียนอวี่เกาจมูกของตนเอง ไม่ได้ส่งเสียงแต่อย่างใด คำขู่ของเฟิ่งชิงเฉินนั้นเขาเข้าใจเป็นอย่างดี แต่ว่า……เขาควรบอกกับเฟิ่งชิงเฉินหรือไม่ว่าพ่อแม่ของเหยาหวาก็คือพ่อแม่ของเขาเช่นกัน?
ช่างมันเถอะ เฟิ่งชิงเฉินอาจจะไม่มีเวลามาสนใจเขา
ซีหลิงเทียนอวี่แอบตามซีหลิงเทียนอวี่และเหยาหวาไปอย่างเงียบๆ เขาควรจะตามไปแก้ปัญหา และไม่รู้ว่าเหยาหวาจะเป็นอะไรหรือไม่……
คนสร้างปัญหาจากไปแล้ว โลงศพเองก็ถึงคราวจะต้องไปด้านหน้าต่อไป เฟิ่งชิงเฉินหันไปขอบคุณผู้มาเข้าร่วมไว้อาลัยทุกคนและขอให้พวกเขามาส่งเพียงเท่านี้ เส้นทางที่เหลือพวกนางจะไปต่อด้วยตัวเอง
คนจำนวนมากขนาดนี้ออกไปนอกเมืองจะต้องไม่สะดวกแน่ ต้องเสียเวลาในการตรวจสอบทีละคน หากไม่ตรวจสอบ หากมีศัตรูแอบลักลอบเข้ามา แบบนั้นตี๋ตงหมิงคงน่าสงสาร
ดังนั้น……เอาแบบนี้แล้วกัน!
ผู้มาไว้อาลัยไม่ขัดขืน พวกเขาหยุดยืนอยู่ที่เดิม
โลงศพเคลื่อนไปด้านหน้า ทหารที่ดูแลเมืองก็พร้อมแล้ว เมื่อโลงศพมาถึงก็ปล่อยให้เคลื่อนย้ายออกไปทันทีเพื่อไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลออกไป
“นี่เป็นพิธีศพของตระกูลไหน ทำไมถึงได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ไม่ใช่แค่มีประชาชนมากมายมาร่วมไว้อาลัย แม้แต่ทหารของเมืองที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูยังปล่อยผ่าน” ด้านนอกเมือง เหล่าประชาชนซึ่งรออยู่ด้านนอกมาเนิ่นนานเพื่อเข้ามา ชี้มายังขบวนของเฟิ่งชิงเฉินพร้อมถามออกมา
น่าเสียดาย ผู้ที่อยู่นอกเมืองเหล่านี้ไม่มีใครรู้ พวกเขาเข้ามาในเมืองแล้วถึงได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นของเฟิ่งชิงเฉิน ทำให้พวกเขารู้สึกเสียใจมาก
พวกเขาน่าจะร่วมขบวนไปส่งแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยิน
เมื่อโลงศพออกไปจากเมืองก็เริ่มเพิ่มความเร็ว พวกของเฟิ่งชิงเฉินเองก็นั่งอยู่บนหลังม้า
ในเมือง ซีหลิงเทียนเหล่ยซึ่งเฝ้ามองขบวนของเฟิ่งชิงเฉินอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้เมื่อพบว่ามองไม่เห็นแล้ว เขาถึงละสายตา
“การโจมตีอันงดงามเช่นนี้กลับถูกนางทำลายลง สมแล้วที่เป็นเฟิ่งชิงเฉิน สภาพที่น่าสงสารเช่นนั้น นางยังสามารถควบคุมสติปัญญาของตนเองไว้ได้” ซีหลิงเทียนเหล่ยรู้สึกไม่ค่อยพอใจแต่ก็รู้ว่าเหยาหวาทำดีมากแล้ว
“ตอนนั้นเฟิ่งชิงเฉินโกรธจนแทบจะร้องออกมา แต่นางก็ยังสามารถควบคุมตนเองและมาขอโทษที่ลงมือกับข้า แล้วเรื่องในวันนี้จะไปเทียบอะไรได้” คนที่อยู่กับซีหลิงเทียนเหล่ยก็คือเย่เย่
เจ้าเมืองเย่เฉิงสั่งให้เย่เย่มาร่วมไว้อาลัยพิธีศพของแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยิน หากเขายอมคุกเข่า ก้มหัวให้ศพของแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินเพื่อสำนึกผิด มันจะเป็นอะไรที่ดีมาก
นี่เป็นผลให้เย่เย่มาอยู่ที่นี่ แต่กลับมาอยู่ในโรงน้ำชากับซีหลิงเทียนเหล่ย
“เมื่อสักครู่เจ้าเองก็ควรไปด้วย ไม่แน่หากเจ้าคุกเข่า ความแค้นของเมืองเย่เฉิงกับชิงเฉินอาจจะหมดไปก็เป็นได้” แม้ซีหลิงเทียนเหล่ยจะผิดหวัง แต่เขาก็ไม่ได้แสดงความโกรธอะไรออกมามากมาย
เด็กที่อยู่ในท้องของเหยาหวาคนนั้น ไม่ว่าอย่างก็ไม่ได้ต้องการมัน ตายไปก็ถือเป็นเรื่องดี เด็กตายต่อหน้าศพของแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยิน ต่อให้ไม่สามารถทำอะไรเฟิ่งชิงเฉินได้ แต่เรื่องนี้ก็จะติดอยู่ในใจของนางไปอีกนาน
“นอกจากข้าตาย ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่มีทางคุกเข่าต่อหน้าเฟิ่งชิงเฉินอย่างแน่นอน” ผ่านมาแล้วยี่สิบกว่าวัน เย่เย่เปลี่ยนไปแล้ว ทั้งดำทั้งผอม จิตใจอันแน่วแน่หายไป และไม่มีจิตวิญญาณอันหาญกล้าเหมือนตอนแรกที่พบกัน
“ตาย? ถึงตอนนั้นถึงต่อให้เจ้าอยากตายก็คงตายไม่ได้ เมืองเย่เฉิงกำลังตกที่นั่งลำบากอยู่นะ ท่านเย่” ซีหลิงเทียนเหล่ยไม่อยากจะพูดออกมา แต่จากท่าทางของเย่เย่ มันช่างน่าเกลียดเหลือเกิน
เย่เย่ขมวดคิ้ว โต้เถียงกลับมาในทันใด “องค์รัชทายาทเหล่ย นี่เจ้ากำลังพูดให้ข้าตกใจอยู่ใช่ไหม เมืองเย่เฉิงของข้ามีรากฐานกว่าร้อยปี แม้แต่จักรพรรดิของทั้งสี่ประเทศยังต้องเกรงใจ จะมากำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบากได้อย่างไร เป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉินงั้นหรือ? นางไม่มีความสามารถนั้น”
ใบหน้าของเย่เย่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง ดวงตาของเขาเปลี่ยนไป ความแน่วแน่ปรากฏออกมา การโจมตีหลายครั้งทำให้เย่เย่สูญเสียความแน่วแน่ แต่ตอนนี้เมื่อพูดถึงเมืองเย่เฉิง ความมั่นใจทั้งหมดของเย่เย่ก็กลับคืนมา
“ท่านเย่มีความมั่นใจเช่นนี้ก็ถือเป็นเรื่องดี” ซีหลิงเทียนเหล่ยไม่ได้พูดอะไรมาก แววตาของเขาเผยให้เห็นถึงความดูถูก
จักรพรรดิของทั้งสี่ประเทศยังต้องเกรงใจ? ฮึ……เย่เย่ เจ้าคิดว่าตนเองยังเป็นนายน้อยของเมืองเย่เฉิงในก่อนหน้านี้ที่จักรพรรดิทั้งสี่ต้องการผูกมิตรอย่างนั้นหรือ?
ถึงตอนนี้เจ้ายังไม่เข้าใจว่าเจ้าไปทำให้ใครไม่พอใจ ไม่เข้าใจว่าสถานการณ์ของเมืองเย่เฉิงในตอนนี้อันตรายแค่ไหน เป็นความน่าเศร้าของประชาชนแห่งเมืองเย่เฉิงที่มีนายน้อยอย่างเจ้า
แม้อันตรายของเมืองเย่เฉิงยังไม่ปรากฏออกมา แต่ก็มีเบาะแสปรากฏออกมาแล้ว ไม่อย่างนั้นเจ้าเมืองเย่เฉิงคงไม่สั่งให้เย่เย่มาขอโทษเฟิ่งชิงเฉิน
จะเริ่มขึ้นวันไหนซีหลิงเทียนเหล่ยเองก็ยังไม่รู้ เขารู้เพียงแค่สิบวันก่อนหน้านี้ราคาของในตลาดของเมืองเย่เฉิงเริ่มมีการผันผวน แม้การผันผวนนี้จะไม่ชัดเจน แต่มันก็ขยายเป็นวงกว้าง แค่เห็นซีหลิงเทียนเหล่ยก็รู้ว่ามีอะไรแอบแฝงอยู่
ไม่ใช่เพียงแค่อาหาร ราคาสินค้าทั้งหมดในเมืองเย่เฉิงล้วนผิดปกติ สำหรับสินค้านำเข้าจากนอกเมืองทั้งหมดมีราคาสูงขึ้น ดังนั้นราคาสินค้าทั้งหมดจึงสูงขึ้นกว่าทุกปี และสูงสุดในประวัติการณ์
และของที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองเย่เฉิงกลับมีราคาลดลงเมื่อเทียบกับทุกปี และมีราคาต่ำสุดในประวัติการณ์เช่นกัน
เศรษฐกิจของเมืองเย่เฉิงกำลังเริ่มเข้าสู่ความยุ่งเหยิง……