นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 732-2 ข้าไม่จำเป็นต้องโอ้อวด
“เขาไปไหน? ทำไมแค่ประเดี๋ยวเดียวถึงได้ไม่เห็นแม้แต่ร่องรอย?” เฟิ่งชิงเฉินและหวังจิ่นหลิงเดินหาทั่วโรงน้ำชา แต่ก็ไม่พบร่องรอยของเสด็จอาเก้า
“ขอโทษที่รบกวน เมื่อสักครู่พวกท่านเห็นชายสวมชุดสีฟ้าคนหนึ่งเดินเข้ามาบ้างหรือไม่ ที่เป็นเจ้าของม้าตัวนั้น?” เฟิ่งชิงเฉินและหวังจิ่นหลิงถามแขกในโรงน้ำชา สุดท้ายแขกเหล่านั้นไม่แม้แต่จะหันมามองพวกเขา ส่วนเถ้าแก่และพนักงานในร้านต่างบอกว่ายุ่งมากจนไม่ได้ทันสังเกต
ม้าก็อยู่ที่นี่ คนก็น่าจะไปได้ไม่ไกล เฟิ่งชิงเฉินและหวังจิ่นหลิงควบคุมอารมณ์ได้ดี เมื่อเผชิญหน้ากับความไม่สนใจของแขกในร้าน พวกเขาก็ยังยิ้มออกไปโดนไม่พูดอะไร
แต่เมื่อยังหาไม่เจอ ทั้งสองคนเองก็รู้สึกตื่นตระหนก เสด็จอาเก้าไม่ใช่คนที่ทำอะไรโดยไร้เหตุผล การหายไปอย่างกะทันหันของเขาทำให้ทั้งสองคนรู้สึกกังวล
ช่วยไม่ได้ ทั้งสองคนทำได้แค่ก้มหน้าและเดินออกไปถามแขกที่นั่งอยู่โต๊ะด้านนอก
“ขอโทษที่……”
ยังไม่ทันพูดจบก็ทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจเป็นอย่างมาก “เจ้าบ้าพวกนี้มาจากไหน ไม่เห็นหรือไงว่าข้ากำลังดื่มชาอยู่ ไม่รู้จักมารยาทเลยแม้แต่น้อย อยากตายนักหรือไง”
ปัง……เมื่อพูดจบ คนผู้นั้นก็หยิบมีดขนาดใหญ่ข้างตัวมาวางบนโต๊ะอย่างรุนแรง ยกเท้าขึ้นไว้บนเก้าอี้ ท่าทางเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธเคือง
ดวงตาของหวังจิ่นหลิงฉายแววแห่งความรังเกียจ แต่ยังคงควบคุมท่าทางอันเงียบสงบไว้ได้ “ต้องขอโทษด้วย พวกเขากำลังตามหาคนอยู่”
“ตามหาคน? หาคนนี่สามารถตามหาที่ไหนก็ได้เลยอย่างนั้นหรือ เจ้าหนุ่ม เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นหอนางโลมหรืออย่างไร?” พูดออกมาพร้อมกับมองลักษณะท่าทางของหวังจิ่นหลิง ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นคนน่ากลั่นแกล้งและเอาเปรียบได้ง่าย
เสื้อผ้าธรรมดาไม่สามารถปิดยังรัศมีขององค์ชายได้ นี่คือหวังจิ่นหลิง แม้จะเรียบง่ายแต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ความจริงที่ว่าเขาดีกว่า สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
เมื่อเผชิญหน้ากับความดุร้ายของชายร่างใหญ่ คิ้วของหวังจิ่นหลิงขมวดขึ้นเล็กน้อย การแสดงออกของเขายังคงสงบ แต่เขาไม่สามารถซ่อนความเย่อหยิ่งและการดูถูกจากก้นบึ้งหัวใจของเขาได้ สบสายตากับอีกฝ่าย ภายใต้สายตาอันอบอุ่นแต่อีกฝ่ายกลับไม่สามารถตอบโต้ได้
พวกของชายร่างใหญ่ถูกรัศมีของหวังจิ่นหลิงคุกคาม พวกเขานำมือขึ้นมากอดอกโดยไม่รู้ตัว นั่นเป็นสัญญาณของการป้องกันตัวเอง
มีแค่ชายร่างเตี้ยที่ไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ตะโกนออกว่า “ลูกพี่ ต่อให้ที่นี่เป็นหอนางโลมก็ไม่สามารถเข้าออกตามใจชอบได้ เจ้าเด็กนี่มันทำเกินไป คิดว่าตัวเองหน้าตาดีหน่อยแล้วจะไปรังแกใครก็ได้งั้นหรือ วันนี้ไม่ว่าอย่างไรพวกเจ้าก็ต้องชดใช้!”
คำพูดของชายร่างเตี้ยเป็นการเตือนสติของทุกคน พวกของชายร่างใหญ่ได้สติกลับคืนมา หยิบอาวุธของตนเองที่วางอยู่บนโต๊ะ ล้อมเฟิ่งชิงเฉินและหวังจิ่นหลิงเป็นวงกลม เฟิ่งชิงเฉินที่ยืนอยู่ด้านข้างหัวเราะออกมาด้วยความดูถูก
เจ้าพวกนี้ อยากตายงั้นหรือ!
“พวกเจ้าจะเอาอย่างไง?” หวังจิ่นหลิงไม่ใช่คนที่เกิดในตระกูลร่ำรวยแล้วจะไม่รู้จักทำอะไรด้วยตัวเอง เขาออกเดินทาง เรื่องแบบนี้ก็เคยพบเจอมาไม่น้อย แต่ทุกครั้งที่พบเจอ ข้างกายของเขาจะมีองครักษ์อยู่ด้วยตลอด แต่ครั้งนี้…….
หวังจิ่นหลิงค่อย ๆ เคลื่อนตัวมาด้านหน้าของเฟิ่งชิงเฉินเพื่อปกป้องนาง จากนั้นยิ้มและจ้องมองไปยังอีกฝ่าย เขาไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย สายลับของเขาก็อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ คนพวกนี้คิดจะทำร้ายเขา นอกจากลงมือทันทีในตอนแรก ทำให้เหล่าสายลับตั้งตัวไม่ทัน ที่เหลือก็คงไม่มีทาง อย่างเช่นตอนนี้……
เจ้าพวกนี้หมดโอกาสโดยสิ้นเชิง
“จะเอายังไง พวกเจ้าสองคนเข้า ๆ ออก ๆ ทำให้ไอแห่งความหนาวเข้ามา ทำให้พวกข้ารู้สึกหนาว ทำไม? พวกเจ้าไม่คิดจะจ่ายเงินให้พวกข้าอย่างนั้นหรือ อย่างน้อยก็เพื่อบรรเทาอาการหนาวให้พวกพี่ชายข้า” เผยคราบโจร เฟิ่งชิงเฉินระเบิดเสียงหัวเราะของนางออกมา การกระทำของนางเหมือนเป็นการเย้ยหยันเหล่าชายร่างใหญ่
น้องสาว พวกเขามีตั้งห้าคน แต่ละคนร่างกายสูงใหญ่ อาวุธครบมือ ส่วนพวกเจ้าหญิงคนชายคน คนหนึ่งขาวคนหนึ่งดำ ดูเหมือนคนอ่อนแอไร้ซึ่งเรี่ยวแรง แต่กลับกล้าหัวเราะเยาะพวกเขา ความรู้สึกนี้ช่างน่ารังเกียจ
ควับ……ยื่นมีดในมือออกมาชี้ไปยังเฟิ่งชิงเฉิน “ยัยขี้เหร่ เจ้าขำอะไรของเจ้า? ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้ หากวันนี้พวกเจ้าไม่มอบเงินให้กับเหล่าพี่น้องของข้าเพื่อบรรเทาความหนาว พวกเจ้าก็อย่าคิดจะไปไหน”
ขี้เหร่?
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเจ็บปวด ยื่นมือออกไปลูบรอยแผลเป็นของตนเอง เงยหน้ามองหวังจิ่นหลิงและถามว่า “ข้าขี้เหร่มากเลยงั้นหรือ?”
สายตาของเจ้าพวกนี้มันอะไรกัน ไม่ใช่ว่านางแค่สร้างรอยแผลเป็นบนใบหน้าหรอกหรือ ถึงกับหาว่านางน่าเกลียด แถมยังพูดต่อหน้า เกินไป ช่างไม่มีความสง่างามเอาเสียเลย
อะไรเรียกว่าความสง่างาม แค่มองหวังจิ่นหลิงก็รู้แล้ว เผชิญหน้ากับคนเหล่านี้ รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายมาด้วยเจตนาร้าย ใบหน้าของหวังจิ่นหลิงยังคงยิ้มแย้ม น้ำเสียงนุ่มนวล คงสง่างามในตัวเอง ไม่สนใจอีกฝ่าย เมื่ออยู่ต่อหน้าจักรพรรดิแสดงกิริยาออกมาเช่นไร เมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อค้าหรือใครก็ตามแต่ก็แสดงกิริยาออกมาเช่นนั้น
“ชิงเฉินก็คือชิงเฉิน ไม่เกี่ยวกับรูปลักษณ์” ดวงตาของหวังจิ่นหลิงเหมือนกับบ่อลึกที่สามารถดูดกลืนจิตวิญญาณของผู้คนเข้าไปได้ และคำกล่าวของเขาก็ดูสัตย์จริงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทำให้ผู้คนหลงเชื่อโดยไม่สมัครใจ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ทำให้ข้าขันเสียจริง มันช่างน่าขัน หน้าตาแบบนี้ยังตั้งชื่อว่าชิงเฉิน เจ้าไม่รู้จักตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาบ้างว่าสภาพของเจ้าเป็นอย่างไร ต่อให้ข้าเจอเจ้าในหอนางโรง ข้า……”
“หุบปาก!” ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกหวังจิ่นหลิงดักคอไว้ก่อน
หวังจิ่นหลิงสง่างามและนิ่งสงบ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาไร้อารมณ์ความรู้สึก ตรงกันข้าม อารมณ์ของเขานั้นเป็นใหญ่ หากคนพวกนี้ว่าร้ายแค่เขาคนเดียว เขาคงไม่ใส่ใจ แต่คนพวกนี้กลับเปรียบเทียบเฟิ่งชิงเฉินกับผู้หญิงในหอนางโลม นี่ทำให้หวังจิ่นหลิงอดรนทนไม่ได้……
จิตสังหารแผ่ซ่านไปทั้งโรงน้ำชา เพียงแค่กระดิกนิ้วหวังจิ่นหลิงเปลี่ยนจากคุณชายผู้อ่อนโยนกลายเป็นนายพลแห่งการสังหาร แม้แต่เฟิ่งชิงเฉินเองยังรู้สึกตกใจ
“หุบปาก เด็กอย่าเจ้าช่างกล้าดีเหลือเกิน ถึงกับกล้าสั่งให้ข้าหุบปาก เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครถึงกล้ามาพูดต่อหน้าข้าแบบนี้” ตอนแรกชายร่างใหญ่ถูกจิตสังหารของหวังจิ่นหลิงทำให้ตกใจและถอยกลับไป แต่เมื่อพวกเขาได้สติกลับมาแล้วก็ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ ยกมีดขึ้นและพุ่งโจมตีใส่หวังจิ่นหลิง
หวังจิ่นหลิงไม่มีความตื่นตระหนกเลยแม้แต่นิดเดียว และไม่แม้แต่กะพริบตา ริมฝีปากแห้งเล็กน้อย เขากล่าวออกมาอย่างไรความรู้สึก “ฆ่า!”
จิตสังหารแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณโดยรอบ สายลับลงมือแล้ว แต่มีคนที่รวดเร็วกว่าสายลับ
“ปัง…..ควับ!”
เฟิ่งชิงเฉินลงมือแล้ว!
เฟิ่งชิงเฉินที่ถูกหวังจิ่นหลิงปกป้องไว้ด้านหลังมาโดยตลอด ตอนนี้เคลื่อนไหวมาด้านหน้า มือทั้งสองข้างจับปืนแน่น เล็งไปที่ชายร่างใหญ่ที่อยู่ด้านหน้า 5 นัด…..แต่ละนัดยิงเข้าหลังมือของอีกฝ่าย
ปัง ปัง ปัง…..เสียงปืนสงบลง มีดในมือของชายร่างใหญ่ทั้งห้าร่วงลงพื้น มีหนึ่งเล่มที่เกือบจะเข้ามาทำร้ายหวังจิ่นหลิง โชคดีที่เฟิ่งชิงเฉินเห็นทัน จึงดึงร่างของหวังจิ่นหลิงหลบออกมา
“อ้า มือข้า มือของข้า” เหล่าชายร่างใหญ่กุมมือที่เปื้อนเลือดและมองมายังเฟิ่งชิงเฉินด้วยความหวาดกลัว คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวหน้าตาขี้เหร่แบบนี้จะลงมือได้หนักหนาสาหัส เหล่าสายลับที่กำลังจะลงมือเองก็ตกใจ หยุดการเคลื่อนไหวไว้แทบไม่ทัน
การเคลื่อนไหวของเฟิ่งชิงเฉินนั้นรวดเร็วกว่าพวกเขา แบบนี้……การมีอยู่ของพวกเขายังจำเป็นอีกหรือไม่?
ในที่ลับ สายลับตระกูลหวังมองหน้ากัน และถอยกลับไปแต่โดยดี
ไม่แปลกเลยว่าทำไมเสด็จอาเก้ากับเฟิ่งชิงเฉินถึงไม่พาสายลับออกมาด้วย ที่แท้……พวกเขาไม่มีความจำเป็น
กลิ่นของดินปืนและเลือดกระจายไปทั่วโรงน้ำชา ส่วนคนอื่นที่อยู่ในโรงน้ำชาก็ทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินและไม่เห็นอะไรทั้งนั้น นอกจากผงะอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็พูดคุยและดื่มชาไปตามปกติ
ที่มุมของโรงน้ำชา ชายสวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยคนหนึ่งเห็นปืนในมือของเฟิ่งชิงเฉิน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและตกใจ ก่อนที่เฟิ่งชิงเฉินจะรู้สึกตัว เขารีบเก็บสายตาของเขา
การแสดงออกของเฟิ่งชิงเฉินและหวังจิ่นหลิงยังคงไม่เปลี่ยนไป เมื่ออุณหภูมิห้องลดลงเฟิ่งชิงเฉินจึงถอยกลับไป ทุกอย่างกลับมาสงบอีกครั้ง หัวใจของหวังจิ่นหลิงยังคงรู้สึกตกใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมากมาย ทั้งสองคนเข้าใจโดยปริยายราวกับฉากดังกล่าวเคยเกิดขึ้นมาแล้วเป็นพันครั้ง
เฟิ่งชิงเฉินเก็บปืน ก้าวมาด้านหน้าพร้อมกล่าวว่า “ข้าขี้เหร่ขนาดนั้นเลยหรือ? นั่นเป็นเพราะว่าข้าไม่ต้องการโอ้อวด” ในตอนที่เฟิ่งชิงเฉินพูดออกมา นางโน้มตัวไปด้านหน้าตั้งท่าโจมตี ทำให้ชายร่างใหญ่ถอยกลับไปโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้แม้ว่ารูปลักษณ์ของเฟิ่งชิงเฉินยังคงไม่โดดเด่น แต่นางได้เปลี่ยนเป็นราชินีโดยแท้จริง
และนี่คือสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินต้องการ นางไม่เชื่อว่าในสถานการณ์เช่นนี้ นางจะไม่สามารถถามกับคนพวกนี้ได้ว่าเห็นเสด็จอาเก้าหรือไม่……