นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 734-2 จุดยืน การตัดสินใจคุณชายใหญ่
เฟิ่งชิงเฉินเปิดประตูก็เห็นเสด็จอาเก้ายืนรออยู่ด้านนอก เนื่องจากได้ยินเรื่องราวของหลานอีหลิน เฟิ่งชิงเฉินจึงรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย พยายามกล่าวออกมาว่า “ท่านได้ยินหมดแล้วใช่ไหม?”
“อือ” เสด็จอาเก้าพยักหน้าเพื่อบ่งบอกว่าตนเองได้ยินแล้ว ถึงต่อให้ไม่ได้ยิน การคาดเดาของเขาก็ถูกต้อง
หากเป็นเขา เขาเองก็คงทำเช่นนี้ บนโลกนี้จะมีคนโง่ที่จงรักภักดีสักกี่คน
“ยังจะส่งตัวนางให้ตระกูลชุยอีกหรือไม่? เมื่อกลับไป นางก็เป็นได้แค่หุ่นเชิดของตระกูลชุยเท่านั้น” เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกใจอ่อน เด็กผู้หญิงที่ชื่อหลานอีหลิน ทำให้นางคิดถึงตัวเองในตอนแรก หมดหนทางและหวาดกลัว แต่ก็ไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา
ในโลกมนุษย์อันแสนแปลกประหลาดนี้ พวกเขาคือผู้ถูกเอาเปรียบอย่างสมบูรณ์ แต่แค่นางกับหลานอีหลินเลือกทางที่แตกต่างกัน นางเลือกที่จะทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวนางอย่างระมัดระวังเพื่อก้าวเข้ามาในโลกใบนี้ แต่หลานอีหลินกลับแสดงตนว่าให้คนอื่นรู้จัก ซึ่งนั่นคือสิ่งที่แตกต่างออกไป
หากนางไม่ได้แซ่หลาน ไม่ถูกเลี้ยงดูมาโดยตระกูลชุย นางอาจจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี แต่ในความเป็นจริงนางอยู่ในมือของตระกูลชุย ไม่ว่าตนเองจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่สามารถเขย่ากองกำลังอันยิ่งใหญ่ได้
“หุ่นเชิด? พวกเราไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นหุ่นเชิด เจ้าก็ใช่ ข้าเองก็ใช่ หากต้องการลิขิตชีวิตตนเอง ก็ต้องมีพลังเพียง นางจะเป็นอย่างไรจะโทษคนอื่นไม่ได้ ต้องโทษที่นางเกิดมามีแซ่หลาน นางไม่กลับไปตระกูลชุย ด้วยความสามารถของนางก็คงมีแค่ความตายเท่านั้นที่รออยู่ หากไม่อยากให้นางตายก็ส่งนางกลับไปตระกูลชุย ตระกูลชุยไม่มีทางสังหารนาง”
ตระกูลชุยคือผู้ปกป้องที่ดีที่สุดของหลานอีหลิน หากไม่มีตระกูลชุย หนทางด้านหน้าของหลานอีหลินก็คงมีแต่ความตาย เรื่องนี้เขาเชื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินเข้าใจดี
ใช่ เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจดี ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงแค่พูด ขนาดตอนนี้พวกเขาเองยังถูกไล่ล่า แบบนั้นจะเอาอะไรไปช่วยปกป้องหลานอีหลิน
“ข้าเข้าใจแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินหลับตา ขจัดจิตใจที่อ่อนโยน
ไม่นางไม่คุณสมบัติที่จะไปสงสารหลานอีหลิน นางไม่มีความสามารถที่จะไปปกป้องสาวน้อยผู้ไร้เดียงสาคนนั้น
“ดูแลนางให้ดี ก่อนที่ตระกูลชุยจะมา อย่าให้นางฟื้นขึ้นมาเป็นอันขาด ข้าไม่อยากให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน” เสด็จอาเก้าสั่งอย่างไร้ความปราณี และเขารู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินสามารถทำได้
“ได้” เฟิ่งชิงเฉินตั้งใจที่จะป้อนยาให้หลานอีหลินตั้งแต่แรก เด็กคนนี้สามารถหนีออกมาได้ครั้งหนึ่งแล้ว ก็ต้องมีครั้งที่สองอย่างแน่นอน โชคดีที่ครั้งนี้ได้เจอกับพวกเขา ครั้งหน้านางจะจะถูกฆ่าหรือไม่ก็พาไปขาย
เฟิ่งชิงเฉินเดินกลับไปที่ห้อง ป้อนยาให้หลานอีหลิน ขณะที่เสด็จอาเก้าเดินไปทางด้านซ้าย เขาหยุดตรงมุมอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็เดินออกไปพร้อมกับคุณชายใหญ่ที่อยู่ตรงนั้น
ทั้งสองคนเดินมาถึงพื้นที่วาง พวกเขายืนอยู่ข้างกัน มองไปในระยะไกล สายลมพัดเข้ามา เสื้อผ้าของพวกเขาเต้นระบำ คนหนึ่งเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง อีกคนสงบนิ่งราวกับสายน้ำ แค่เหงาหลังของคนเพียงคนเดียวก็สามารถทำให้คนทั้งโลกโหยหา คิดจะก้าวไปด้านหน้า ต้องลองดูก่อนว่าผู้เป็นเจ้าของเงาหลังผู้นั้นเป็นคนแบบไหน
แต่ไม่มีใครกล้าก้าวออกไป เนื่องจากด้วยท่าทางที่ทั้งสองยืนอยู่ มันเหมือนกับจักรพรรดิกำลังยืนคุยกับเสนาบดีคนสนิทผู้มีปัญญาเหลือล้น และเป็นคนที่เขาไว้ใจที่สุด คนธรรมดาไม่กล้าเข้าใกล้
“เจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม?” ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเสด็จอาเก้าก็เอ่ยปากออกมา
“ได้ยินแล้ว พระราชวงศ์ที่น่านับถือที่สุด กับตระกูลชุยที่ใกล้ชิดกับราชวงศ์มากที่สุด” ดวงตาของหวังจิ่นหลิงมองไปด้านหน้าอย่างว่างเปล่า
ปลายทางของตระกูลหลานเป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจของเขาสั่นสะเทือน บนโลกนี้สิ่งที่พึ่งพาได้มากที่สุดมีเพียงอำนาจเท่านั้น!
ราชวงศ์แห่งตระกูลหลานอันสูงส่ง ถูกเข่นฆ่าจนไม่เหลือใคร ผู้รอดชีวิตมาโดยบังเอิญถูกเลี้ยงดูราวกับสัตว์ เด็กที่เกิดมาโง่เท่านั้นถึงเอาชีวิตรอดต่อไปได้
ทำไมถึงได้เศร้าถึงขนาดนี้ หากวันหนึ่งตระกูลหวังถูกโค้นล้ม ทายาทของตระกูลหวังเกรงว่าคงจะน่าอนาถกว่าตระกูลหลาน ทายาทของตระกูลหลานยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ แต่ทายาทของตระกูลหวังนั้นไร้ค่า
“งั้นเจ้าจะตัดสินใจอย่างไร?” เสด็จอาเก้าหันไปมองหวังจิ่นหลิง ไม่อนุญาตให้เขาปฏิเสธหรือหลบหนี
การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากแล้ว พวกเขาต่างเป็นตัวละครตัวหนึ่งในการต่อสู้ครั้งนี้ ใครก็หนีไม่พ้น และเขาไม่สามารถปล่อยให้ตระกูลหวังตกเป็นของตระกูลชุย
ดูจากทัศนคติที่ตระกูลชุยทำกับทายาทของตระกูลหลาน หวังจิ่นหลิงน่าจะเข้าใจ ในใจของคนตระกูลชุยมีแค่ผลประโยชน์เท่านั้น ไม่มีอะไรดีไปกว่าผลประโยชน์
ตระกูลหวังกับตระกูลชุยร่วมมือกัน เป็นการรวมตัวกันของคนชั่วเพื่อหวังผลประโยชน์ ชะตากรรมสุดท้ายที่ตระกูลหวังต้องเผชิญมันไม่ใช่การสังเวยเพื่อตระกูลชุย แต่เป็นการที่ถูกตระกูลชุยกลืนกินมากกว่า
หวังจิ่นหลิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ไม่ได้ตอบคำถามของเสด็จอาเก้า หันหน้าไปสบตากับเสด็จอาเก้า ขอโอกาสให้เขาได้ถอยหลังสักครู่ การตัดสินใจครั้งนี้สำคัญมาก เขาไม่สามารถตัดสินใจได้ในทันที
“เจ้ารู้ตั้งแต่แลกแล้วใช่ไหม?” รู้ว่าผู้หญิงแซ่หลานคนนั้นมีความสัมพันธ์กับตระกูลชุย รู้ถึงความสัมพันธ์ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างผู้หญิงคนนั้นกับเฟิ่งชิงเฉิน ดังนั้น……ถึงได้ยอมเข้าไปช่วยเหลือทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
“แค่เดาเท่านั้น” เสด็จอาเก้าไม่คิดจะปิดบังหวังจิ่นหลิง
ใช่ นี่เป็นเพียงการคาดเดาของเขา แต่โอกาสถูกมันมีถึงแปดส่วน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่พานางกลับมาด้วย วิธีการหลบหนีผู้หญิงคนนั้นมีมากมาย เขาไม่มีทางใจอ่อนเพราะอีกฝ่ายมีแซ่หลาน
ตระกูลหลาน?
ในแผ่นดินจิ่วโจวอันยิ่งใหญ่ การเข่นฆ่าสายเลือดตระกูลหลานส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นจากจักรพรรดิทั้งสี่ประเทศ แต่มันเกิดขึ้นจากตระกูลหลานของพวกเขาเอง การต่อสู้ของราชวงศ์นั้นช่างโหดร้าย ไม่เจ้าก็ข้า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องตาย
“ดังนั้นเจ้าจึงจงใจปล่อยให้นางอยู่กับเฟิ่งชิงเฉินที่โรงน้ำชา ให้พวกเขามีโอกาสอยู่ด้วยกันเพียงลำพังเพื่อพูดคุย?” หวังจิ่นหลิงถามออกมาต่อ
เสด็จอาเก้าเองก็ไม่ได้ปิดบัง พยักหน้าเพื่อแสดงออกว่าใช่
“เจ้ามันบ้าไปแล้ว เจ้าไม่กลัวชิงเฉินเป็นอะไรหรือไง คนของตระกูลชุยเพิ่งปล่อยให้หลานอีหลินหลุดมือ มันยากที่จะรับประกันว่าจะไม่มีใครไล่ตามมา” หวังจิ่นหลิงโกรธจนอยากจะตะโกนออกมา แต่เขาก็รู้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์นั้น ดังนั้นทำได้เพียงพูดออกไปด้วยความไม่พอใจ
“เจ้าเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไง หรือว่าเจ้าไม่สงสัย?” หากหวังจิ่นหลิงไม่สงสัย งั้นทำไมเขาถึงร่วมมือกับตนเอง
“ใช่ ข้าเองก็สงสัย ดังนั้นข้าจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปว่าเจ้า” หวังจิ่นหลิงยิ้มอย่างขมขื่น “เจ้าไม่เสียใจอย่างนั้นหรือ?”
ตอนที่เขาเห็นร่างที่เปื้อนเลือดของเฟิ่งชิงเฉิน ในวินาทีที่เขาวิ่งเข้าไป เขารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
ทำไมต้องขุดคุ้ยความลับของเฟิ่งชิงเฉิน? เฟิ่งชิงเฉินในสภาพแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว ทำไมพวกเขาจะต้องไปอยากรู้ในเรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากให้พวกเขารู้
“ทำไมต้องเสียใจ? เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้เป็นอะไรไม่ใช่หรือไง” เห็นท่าทางไม่เข้าใจของหวังจิ่นหลิง เสด็จอาเก้าอธิบายออกไปด้วยความลำบากใจ “ข้าไม่มีทางปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินต้องอยู่คนเดียวจริง ๆ หรอก ที่นี่ไม่ใช่พระราชวัง ที่นี่ไม่ใช่อาณาเขตของพวกเรา”
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้โจ่วอันไม่ยั้งมือ ก็ไม่มีทางเกิดอะไรขึ้นกับเฟิ่งชิงเฉิน
“เจ้า…..เจ้าช่างเป็นตา……เจ้าเล่ห์” หวังจิ่นหลิงอยากจะบอกว่าอีกฝ่ายเป็นตาแก่จอมเจ้าเล่ห์ แต่เมื่อคิดถึงความห่างของอายุพวกเขา มันก็เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น สุดท้ายจึงพูดออกมาแค่เพียงว่าเจ้าเล่ห์
“อย่ามาว่าข้าเลย เจ้าเองก็มีเหมือนกันไม่ใช่หรือไง” เสด็จอาเก้าตอบกลับไปอย่างประชดประชัน
ทั้งสองคนล้วนทิ้งไพ่ตายเอาไว้ ดังนั้นจึงว่ากันไม่ได้
หวังจิ่นหลิงถอนหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย คิดจะเอาเปรียบเสด็จอาเก้า บอกเลยว่ายาก!
ช่างมันเถอะ เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นไปแล้ว ตอนนี้จะมาบอกว่าใครถูกใครผิดมันก็ไม่มีความหมายอะไร หวังจิ่นหลิงจึงพูดเรื่องของตระกูลชุยขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าจะส่งหลานอีหลินกลับไปเช่นนี้จริงหรือ? จะปล่อยให้ตระกูลชุยทำตามใจอย่างนั้นหรือ?”
เรื่องบางเรื่องอาจจะหนีไปได้สักพักแต่ก็คงไม่มีทางหนีไปได้ทั้งชีวิต ความทะเยอทะยานของตระกูลชุยปรากฏชัด ตระกูลหวังไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จะไปอยู่ฝั่งไหนก็ยังไม่แน่ ตอนนี้ทำได้เพียงปกป้องตัวเอง สุดท้ายเมื่อทั้งสองฝ่ายเข้ากันไม่ได้ การต่อสู้ของจักรพรรดิจะเกิดขึ้น ไม่มีใครหลุดพ้นไปได้ และตระกูลหวังของเขาเองก็ต้องเลือกจุดยืน!