นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 737-1 ร่วมมือกัน ความเป็นมาของลู่อี่โม่
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 737 ร่วมมือกัน ความเป็นมาของลู่อี่โม่
หวังจิ่นหลิงถามคำนี้ออกไป นั่นแสดงว่าเขาได้เลือกจุดยืนอย่างชัดเจนแล้ว เขาอยู่ตรงกลางระหว่างเสด็จอาเก้ากับตระกูลชุย เขาจำเป็นต้องเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ในตอนที่ความแข็งแกร่งของเสด็จอาเก้ายังไม่เพียงพอ เขาก็ยังเลือกยืนอยู่ข้างเสด็จอาเก้าโดยไม่ลังเล ร่วมมือกับเสด็จอาเก้า
มันอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด แต่มันน่าจะเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุด ตระกูลหวังและตระกูลชุยร่วมมือกัน ความแข็งแกร่งนั้นเทียบเท่ากับหนึ่งประเทศ แต่หากเป็นเช่นนั้น ตระกูลหวังก็จะอยู่ภายใต้ตระกูลชุยตลอดไป
ตระกูลหวังจะอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของใครก็ได้ ยกเว้นตระกูลชุย ตระกูลหวังถูกตระกูลชุยข่มเหงมานานเกินไป ตระกูลหวังเองก็อยากเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า ร่วมมือกับตระกูลชุยอย่างว่าแต่เป็นที่หนึ่งในใต้หล้าเลย แค่รักษาชื่อเสียงของตนเองให้เหลืออยู่ยังเป็นเรื่องยาก
สำหรับตระกูลชุย ตระกูลหวังเป็นทั้งผู้ช่วยและศัตรู ตระกูลชุยไม่มีทางปล่อยให้ตระกูลหวังแข็งแกร่งมากเกินไป เมื่อตระกูลหวังหมดประโยชน์ ตระกูลชุยจะต้องปราบปรามตระกูลหวังอย่างแน่นอน
แน่นอน หวังจิ่นหลิงสามารถเลือกร่วมมือกับผู้อื่นได้ คนที่คิดจะร่วมมือกับตระกูลหวังมีมากมาย ดังนั้นเสด็จอาเก้าถึงกล่าวว่า หวังจิ่นหลิงร่วมมือกับเขาอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด แต่มันเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุดอย่างแน่นอน
แววตาของเสด็จอาเก้ามีรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจปรากฏอยู่ จ้องมองมาที่หวังจิ่นหลิง ตระกูลหวังมีคนอย่างหวังจิ่นหลิงเป็นผู้นำ ช่างเป็นโชคดีของตระกูลหวังเสียจริง
ไม่ใช่แค่สิ่งที่หวังจิ่นหลิงเลือก แต่ยังรวมถึงความสามารถในการตัดสินใจของหวังจิ่นหลิงที่คนธรรมดาไม่มี สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของตระกูลหวัง คนทั่วไปไม่กล้าตัดสินใจ หลังจากนั้น……ภายใต้ความคลอนแคลน ก็ต้องมองตระกูลของตนเองถูกทำลายด้วยตาของตัวเอง
ไม่มีใครสามารถหลุดพ้นจากการต่อสู้เพื่อสิทธิ์ได้ หากไม่เข้าร่วมการต่อสู้ก็จะถูกละทิ้งโดยผู้ถือสิทธิ์ทั้งหมดและตกเป็นเหยื่อ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น จะเป็นการดีกว่าหากเลือกพันธมิตรตั้งแต่เนิ่น ๆ สนับสนุนอีกฝ่ายอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องตัวเอง
ในเมื่อได้ร่วมมือกันแล้ว เรื่องบางเรื่องก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบัง เสด็จอาเก้าพูดแผนของเขาโดยไม่ลังเล “หลานอีหลินไม่ได้สำคัญ นางจะกลับไปตระกูลชุยหรือไม่มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ หากไม่ใช่หลานอีหลินก็ต้องเป็นคนอื่น หมากในมือของตระกูลชุยมีอยู่มากมาย ไม่จำเป็นต้องทำเพื่อหลานอีหลินจนทำให้ต้องกลายเป็นศัตรูกับตระกูลชุยเร็วถึงขนาดนี้
ตระกูลชุยหลบซ่อนมากว่าร้อยปี ความแข็งแกร่งที่เขาแสดงออกมาให้เห็นเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตระกูลชุยนั้นมากแค่ไหนพวกเขาเองก็ไม่รู้ แทนที่จะเผชิญหน้ากับตระกูลชุยเสียตอนนี้ ไม่สู้ปล่อยให้ตระกูลชุยแสดงพลังที่แท้จริงออกมาแล้วค่อยลงมือ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งแค่ไหน แต่กลับบุกเข้าไป นั่นมันไม่ต่างอะไรกับการกระทำของผู้โง่เขลา”
นี่คือเสด็จอาเก้า หากเจ้าเห็นพ้องต้องกันกับเขาแล้ว เขาจะแสดงออกให้เห็นถึงความเชื่อใจ ทำให้เจ้ารู้ว่าเขาเชื่อใจเจ้า และสำหรับความไว้เนื้อเชื่อใจนี้ ต่อให้ต้องแลกมาด้วยชีวิตก็ยอมเฉกเช่นเดียวกับ ซูเหวินชิงและปู้จิงหยุน
เสด็จอาเก้ามีจิตวิญญาณของจักรพรรดิสถิตอยู่ และมีอำนาจในการควบคุมและพลังของจักรพรรดิด้วย
เพียงเพราะความไว้วางใจของเสด็จอาเก้า หวังจิ่นหลิงรู้สึกว่า การเลือกตงหลิงจิ่วที่ใครต่างมองว่าไม่ดี มันอาจจะเป็นตัวเลือกที่ฉลาดที่สุดก็ได้
ในเมื่อร่วมมือกันแล้ว หวังจิ่นหลิงเองก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังความคิดของตนเอง “เจ้าพูดถูก เพื่อหลานอีหลินเพียงคนเดียว ถึงกับต้องเป็นศัตรูกับตระกูลชุยไม่ใช่เรื่องที่คุ้มค่า ไม่สู้ส่งหลานอีหลินกลับไป ตระกูลชุยจะได้ช่วยจัดการเรื่องของเผ่าเสวียนเซียวกงได้อีกสักหน่อย”
“ไม่มีทาง ตระกูลชุยจะถอนตัวออกจากเรื่องของเผ่าเสวียนเซียวกงในครั้งนี้” เสด็จอาเก้ากล่าวอย่างมั่นใจ แววตาของหวังจิ่นหลิงเผยให้เห็นถึงความไม่เข้าใจ จากนั้นก็พยักหน้าอย่างไร้ข้อสงสัย “ก็จริง คนที่ต้องการก็หาเจอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องเปิดเผยพลังของตนเองให้ผู้อื่นได้เห็น”
“ใช่ อำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูลชุยคือการที่คนอื่นไม่รู้ว่าพวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหน ซ่อนอะไรเอาไว้บ้าง ครอบครองกำลังของตระกูลหลานไว้มากแค่ไหน เนื่องจากไม่มีคนรู้เรื่องนี้ ดังนั้นทุกคนจึงหวาดกลัวตระกูลชุย ตระกูลชุยเองก็ต้องปกปิดความลับเรื่องนี้เอาไว้เช่นกัน” รอยยิ้มปรากฏออกมาให้เห็นบนใบหน้าของเสด็จอาเก้า พูดคุยกับคนฉลาดไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมาก อีกฝ่ายก็สามารถเข้าใจได้
เมื่อทั้งสองคนร่วมมือกันแล้ว การเจรจาพูดคุยก็เป็นไปอย่างธรรมชาติ หวังจิ่นหลิงเองก็ไม่อยากเก็บซ่อนความคิด ถามคำถามในใจออกไป “งั้นเจ้าคิดจะนำหลานอีหลินไปแลกกับอะไร?”
หวังจิ่นหลิงไม่คิดว่าเสด็จอาเก้าจะคืนหลานอีหลินให้กับตระกูลชุยโดยที่ตระกูลชุยไม่ต้องเสียอะไรเลย เขาจะปล่อยตระกูลชุยไปแบบนั้นได้อย่างไร
“เจ้าไม่สงสัยหรือว่าใครกันที่ยอมจ่ายเงินจำนวนมากขนาดนั้นเพื่อเอาชีวิตเฟิ่งชิงเฉิน?” เสด็จอาเก้ายอมรับ เขาไม่มีทางปล่อยหลานอีหลินไปโดยเปล่าประโยชน์
นางน่าสงสารก็อีกเรื่องหนึ่ง หากนางมีประโยชน์ก็นำไปใช้มันก็อีกเรื่องหนึ่ง ไม่มีใครที่ไร้ประโยชน์ แค่ต้องดูว่าเจ้าใช้มันอย่างไร
หวังจิ่นหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากในใจของเขานึกถึงคนที่เป็นไปได้ เขาก็กล่าวออกมาว่า “ซีหลิง หนานหลิง เป่ยหลิงไม่น่าจะยอมจ่ายถึงขนาดนี้ ตงหลิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง นอกจากเจ้าแล้วเกรงว่าคงไม่มีใครยอมจ่ายถึงขนาดนี้ แต่ถึงแม้จะยอมจ่าย คนพวกนั้นก็คงไม่เสียเงินไปจ้างมือสังหาร ลูกน้องมืออาชีพของพวกเขาก็มีความสามารถไม่แพ้มือสังหาร มีเงินจำนวนมากขนาดนี้ แถมยังต้องการสังหารแค่เฟิ่งชิงเฉินคนเดียว ข้าคิดว่าน่าจะเป็นฮูหยินแห่งผู้นำเผ่าเสวียนเซียวกง” เรื่องนี้เสด็จอาเก้าเองก็คาดเดาเอาไว้เช่นกัน แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เขาไม่เข้าใจก็คือ “นางไปเอาเงินมาจากไหน? เผ่าเสวียนเซียวกงไม่น่าจะมีเงินมากมายถึงขนาดนี้”
“ไม่ เป็นไปได้ว่าเผ่าเสวียนเซียวกงจะมีเงินจำนวนนี้ แต่ฮูหยินแห่งผู้นำเผ่าเสวียนเซียวกงไม่มีทางยอมจ่ายมากขนาดนี้อย่างแน่นอน แถมนางยังสามารถปิดบังเซวียนเส้าฉี เงินจำนวนนี้ไม่น่าจะมาจากเผ่าเสวียนเซียวกง มันน่าจะมาจากที่อื่น” เสด็จอาเก้าคาดเดาอย่างกล้าหาญและเอ่ยถึงความสงสัยของเขา
หวังจิ่นหลิงครุ่นคิด จากนั้นกล่าวออกมาต่อว่า “ดังนั้นที่มาของเงินจำนวนนี้ เป็นไปได้มากว่าจะมาจากฮูหยินแห่งผู้นำเผ่าเสวียนเซียวกง และอาจจะเกี่ยวข้องกับแม่ของเฟิ่งชิงเฉิน ตระกูลชุยน่าจะพอรู้เรื่องพวกนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ตามหาหลานอีหลิน และเข้าร่วมการต่อสู้กับเผ่าเสวียนเซียวกง เหตุผลที่ไม่เข้าร่วมการต่อสู้ก็อาจจะเกี่ยวข้องกับที่มาของเงินจำนวนนี้ ตระกูลชุยไม่มีทางทำอะไรที่ไร้ผลประโยชน์”
หวังจิ่นหลิงถือได้ว่าเป็นคนที่ฉลาดคนหนึ่ง แค่คำพูดเพียงไม่กี่คำ ประกอบกับข้อมูลของเสด็จอาเก้าเพียงเล็กน้อย เขาสามารถทำความเข้าใจถึงความคิดของตระกูลชุย และรับรู้ว่าใครคือผู้ต้องการเอาชีวิตของเฟิ่งชิงเฉิน
“มันน่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ทั้งหมดเป็นเพียงแค่การคาดเดาของพวกเราเท่านั้น” เสด็จอาเก้าไม่ได้พูดมากเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ มันเป็นแค่การคาดเดาไม่มีหลักฐาน สุดท้ายแล้วเป็นความจริงหรือไม่ก็พูดยาก เรื่องจากพวกเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับตระกูลชุยและเผ่าเสวียนเซียวกงไม่มากพอ
“จะใช่แบบหรือไม่ คนของตระกูลชุยมาก็จะรู้เอง” หวังจิ่นหลิงมั่นใจในการคาดเดาของเสด็จอาเก้า เนื่องจาก……ความคิดของเขากับเสด็จอาเก้านั้นตรงกัน
ทั้งสองคนคิดว่าเป็นเช่นนั้น โดยความจริงพื้นฐานแล้ว ต้องรู้ก่อนว่าคนอย่างพวกเขาไม่ใช่คนชอบพูดจาเหลวไหล
“ใช่ ดูจากท่าทางของตระกูลชุยก็รู้ได้ว่าการคาดเดาของพวกเรานั้นถูกต้องหรือไม่ ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะรู้ถึงความเป็นมาของแม่เฟิ่งชิงเฉินก็เป็นได้” สามารถทำให้เรื่องนี้กระจ่างก่อนไปเผ่าเสวียนเซียวกง แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องดี
หวังจิ่นหลิงพยักหน้า บ่งบอกว่าเห็นด้วย ยิ่งพวกเขามีความพร้อมมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถสังหารฮูหยินแห่งผู้นำเผ่าเสวียนเซียวกงได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
ทุกเรื่องได้ถูกตกลงไว้แล้ว เสด็จอาเก้าหมดความสนใจที่จะคุยกับหวังจิ่นหลิงด้านนอก หันหลังกลับพร้อมกล่าวว่า “กลับเข้าไปด้านในเถิด ออกมานานขนาดนี้ ชิงเฉินจะเป็นห่วงเอา”
เห็นได้ชัดว่ากลัวเฟิ่งชิงเฉินจะสงสัย แต่เสด็จอาเก้าก็ยังพูดออกมาให้ดูน่าฟัง หวังจิ่นหลิงเข้าใจ เขายิ้มโดยไม่พูดอะไรออกมา……
ตงหลิงจิ่วเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มาก และเป็นผู้ชายที่อันตรายมากด้วยเช่นกัน!
การร่วมมือกับเขาเป็นเรื่องน่ายินดี หากเลือกเป็นศัตรูกับเขาถือว่าเป็นเรื่องน่าเจ็บปวดอย่างยิ่ง หวังจิ่นหลิงเมื่อคิดว่าตนเองต้องเจ็บปวด แน่นอนว่าต้องเลือกทางที่ดีกว่า แค่นั้นก็สบายใจ……
แต่แม้ว่าเขาจะร่วมมือกับเสด็จอาเก้า มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมปล่อยเฟิ่งชิงเฉินให้หลุดมือไป ความร่วมมือเป็นข้อตกลงของสุภาพบุรุษ การตามจีบเฟิ่งชิงเฉินก็เป็นศึกแห่งสุภาพบุรุษเช่นกัน สองสิ่งนี้ไม่ขัดแย้งกัน