นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 737-2 ทำร้าย โปรดอย่ากล่าวเลย
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 737-2 ทำร้าย โปรดอย่ากล่าวเลย
ในตอนที่เสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงกลับมาก็ไปบังเอิญพบกับเฟิ่งชิงเฉินซึ่งยืนกอดอกอยู่ตรงหน้าประตูพอดี เผชิญหน้ากับรอยยิ้มอันเฉยเมยของนาง ใบหน้าของเสด็จอาเก้าไร้ความรู้สึก ไม่ได้พูดอะไร แค่มองหน้าเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้น
ช่วยไม่ได้ เฟิ่งชิงเฉินยืนขวางอยู่หน้าประตู พวกเขาเข้าไปไม่ได้
หวังจิ่นหลิงรู้สึกขาดความมั่นใจ เห็นเฟิ่งชิงเฉินไม่ยอมจากไป เขาจึงกล่าวออกมาว่า “ชิงเฉิน นี่เจ้ากำลังจะออกไปเดินเล่นด้านนอก หรือว่าเพิ่งจะเดินเล่นกลับมา”
คำพูดนี้เพื่อให้เฟิ่งชิงเฉินหลีกทาง การที่เฟิ่งชิงเฉินเข้ามาขวางทางและมองพวกเขาแบบนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกกลัว
ดูเหมือนว่าเฟิ่งชิงเฉินจะฟังคำพูดของหวังจิ่นหลิงไม่รู้เรื่อง ไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด และถามกลับไปว่า “คุณชายเพิ่งจะไปเดินเล่นกลับมาอย่างนั้นหรือ?”
หวังจิ่นหลิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังพยักหน้ากลับไป “ใช่”
“เดินเล่นกับเสด็จอาเก้าอย่างนั้นหรือ?” ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินค่อย ๆ จางลง และมีร่องรอยของความไม่แยแสในการแสดงออกของนาง
หวังจิ่นหลิงแอบรู้สึกไม่สบายใจ ถูกเฟิ่งชิงเฉินจ้องมองแบบนี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกตื่นตระหนก ทำได้แค่กดฟันและตอบไปว่า “ก็ประมาณนั้น”
“คุณชายมีความสัมพันธ์ที่ดีขนาดนี้กับเสด็จอาเก้าตั้งแต่เมื่อไหร่ ขนาดไปเดินเล่นยังต้องไปเดินด้วยกัน” เฟิ่งชิงเฉินกวาดสายตามองมายังเสด็จอาเก้า
อย่าคิดว่าไม่พูดแล้วจะทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่คนที่หลอกง่ายขนาดนั้น
“เจ้าอยากถามอะไรก็ถามออกมาเลยดีกว่า” เสด็จอาเก้าขมวดคิ้ว นี่ไม่ใช่เฟิ่งชิงเฉินในสภาพปกติ
“ฮึ……” เฟิ่งชิงเฉินยิ้มอย่างเยือกเย็น “คำพูดนี้ข้าควรเป็นคนพูดกับพวกเจ้ามากกว่า คุณชาย เสด็จอาเก้า พวกเจ้าอยากรู้อะไรก็ถามข้าออกมาโดยตรงเลยดีกว่า ครั้งหน้าอย่าทำกับข้าเช่นนี้อีก ครั้งนี้ข้าจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หากมีครั้งหน้า ความสัมพันธ์ของพวกเราจะจบลงแต่เพียงเท่านี้”
ประโยคสุดท้าย เฟิ่งชิงเฉินเน้นเป็นอย่างมาก และเมื่อพูดจบใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความเยือกเย็น ดวงตาด้านตาย
สองคนนี้ฉลาดมาก แต่นางก็ไม่ได้โง่ เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้ว คิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหน้าโรงน้ำชา เสด็จอาเก้าปล่อยหลานอีหลินไว้ที่โรงน้ำชา ผู้ชายทั้งสองจากไปโดยปล่อยให้ผู้หญิงสองคนอยู่ด้านหลังด้วยกัน มันช่างเป็นอะไรที่ขัดแย้งเสียจริง
และนางก็ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองมันดีถึงขนาดนี้ ดีจนกระทั่งร่วมมือกันวางแผนกับนาง ช่างน่าปวดใจเสียจริง
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากำลังพูดอะไรออกมา?” ใบหน้าของเสด็จอาเก้าเยือกเย็นขึ้นทันที เขารู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้พูดเล่น นางจริงจัง เป็นเพราะแบบนี้เขาถึงได้กลัว
ความสัมพันธ์จบลงแต่เพียงเท่านี้ เขากับเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกัน คำว่าความสัมพันธ์จะจบลงแต่เพียงเท่านี้ที่ว่า มันหมายถึงความสัมพันธ์ทั้งหมดเลยหรือเปล่า?
“ชิงเฉิน……” หวังจิ่นหลิงรู้สึกปวดใจ กล่าวออกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย “เจ้าอย่าพูดแบบนี้เลย”
เฟิ่งชิงเฉินไม่เคลื่อนไหว ดวงตาสีดำของนางเต็มไปด้วยความเยือกเย็น เฉยเมยจนน่ากลัว “ข้ารู้ว่าข้าพูดอะไรออกไป เสด็จอาเก้า คุณชาย พวกเจ้าอยากรู้อะไรก็ถามข้ามา ข้าจะบอกความจริงกับพวกเจ้าทุกอย่าง ไม่ปิดบังแม้แต่น้อย”
ในวินาทีที่พวกเขาได้รับรู้ความลับของนาง นางก็จะหายไปจากโลกของพวกเขาตลอดกาล ความลับนี้จะพูดออกมาไม่ได้ ในใจของทุกคนต่างรู้ดี หากพูดออกมาแล้วอาจจะไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้
แบบนี้มันเป็นการรังแกมากเกินไป แต่ถ้าเต็มใจที่จะใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อรักษาความลับนี้ด้วยกัน สานต่อคำโกหก งั้นนี่แหละคือความจริง
นางเต็มใจ แต่อีกฝ่ายไม่เต็มใจ
“ชิงเฉิน ขอโทษ” หวังจิ่นหลิงรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจริงจังจึงรีบกล่าวคำขอโทษออกมา “ข้ารับรองว่าจะไม่มีครั้งหน้าอีกต่อไป ไม่มีแน่นอน”
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า นี่ไม่ใช่ข้อกำหนดที่นางจะทำลายทุกอย่างในครั้งเดียว นางแสดงความคิดเห็นของตนเองออกไป หากอีกฝ่ายยังทำอีก แน่นอนว่าไม่มีทางให้อภัย
นางพูดแล้วว่าครั้งนี้ให้อภัย แต่ไม่มีทางมีครั้งต่อไปเด็ดขาด
“เสด็จอาเก้า แล้วเจ้าล่ะ? หากอยากรู้อะไรก็ให้ถามข้าออกมาโดยตรง ข้ารับรองว่าจะบอกทุกอย่างที่เจ้าอยากรู้ เจ้าอยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมข้าถึงเปลี่ยนไปมากถึงขนาดนี้? อยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมข้าถึงกลายเป็นหมอ? หรือว่าอยากรู้อาวุธลับในมือของข้า? ขอแค่เจ้าถามออกมา ข้าจะตอบเจ้าอย่างแน่นอน ไม่มีปิดบัง” แต่นางก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ด้วยตัวเอง
นางค่อย ๆ เปิดเผยความแตกต่างของนางต่อหน้าเสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิง เพราะนางต้องการให้พวกเขายอมรับนางในความแตกต่าง นางเข้าใจความสงสัยของพวกเขา แต่ก็ไม่สามารถยอมรับวิธีการที่พวกเขาใช้กับนางได้
ถ้าอยากรู้ก็ถาม หากนางตอบได้นางก็จะตอบ นี่ทั้งสองคนไม่ถามอะไรออกมา แต่กลับวางแผนจะค้นหาความลับของนางโดยการวางแผนใช้นางเป็นเครื่องมือ มันทำให้นางยากจะยอมรับ
นี่เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่เชื่อนางถึงได้ทำเช่นนี้ เวลาหนึ่งปีเศษที่ผ่านมาพวกเขาทั้งสองไม่รู้หรือว่านางเป็นคนอย่างไร หากนางต้องการปิดบังสองคนนี้ นางคงปิดบังไปจนตาย ไม่มีทางปรากฏตัวออกมาต่อหน้าทั้งสองคน ซึ่งนี่คือความแตกต่าง
เนื่องจากเชื่อใจพวกเขานางถึงได้เผยให้เห็นด้านที่พิเศษที่สุดของนาง แต่ทั้งสองคนกลับตอบแทนนางอย่างนี้หรือ
พวกเขาสงสัยแต่กลับใช้วิธีการแบบนี้ในการสืบหาข้อมูลของนาง นางรับไม่ได้ หรือว่านางไม่มีค่าพอจะให้เชื่อใจ? จึงต้องใช้คนอื่นเพื่อทดสอบนาง
มีน้ำตาในดวงตาของเฟิ่งชิงเฉิน แต่นางดื้อรั้น ไม่ยอมให้น้ำตาไหลออกมา จากนั้นน้ำตาก็ไหลกลับเข้าไป เฟิ่งชิงเฉินยิ้มและรอคำตอบของทั้งสองคน
หวังจิ่นหลิงจ้องมองเฟิ่งชิงเฉินด้วยความเจ็บปวด หากรู้ว่าการทดสอบครั้งนี้จะทำให้เฟิ่งชิงเฉินต้องเจ็บปวด เขาไม่มีทางทำอย่างแน่นอน
“ชิงเฉิน ต้องขอโทษจริง ๆ พวกข้าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเจ้า” หวังจิ่นหลิงรู้สึกผิดจากก้นบึ้งของหัวใจ เขาเสียใจมาก อยากจะนำผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตา แต่มือของเขากลับสั่น ไม่ง่ายเลยกว่าจะนำผ้าเช็ดหน้าออกมาได้ แต่แล้วมันก็ตกลงพื้น
ขอโทษจริง ๆ ชิงเฉิน ข้าแค่กังวล ข้าแค่กังวลเท่านั้น
“ข้ารู้ ดังนั้นเรื่องในครั้งนี้ข้าจึงถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ถามมาเถอะ……ถามในสิ่งที่พวกเจ้าอยากรู้ ข้าจะตอบคำถามพวกเจ้า” เฟิ่งชิงเฉินหลับตา ไม่มองหน้าเสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิง
“เจ้าเป็นใคร?” ต่างจากหวังจิ่นหลิง เสด็จอาเก้าไม่ได้กล่าวคำขอโทษ แต่ถามออกมาแทน
เรื่องราวมาถึงจุดนี้แล้วมันไม่จำเป็นต้องถาม หากพวกเขายังไม่รู้พวกเขาก็คงโง่น่าดู เฟิ่งชิงเฉินเลือกที่จะเปิดเผยเรื่องนี้ ไม่ปกปิดมันต่อไป นั่นแสดงกว่าความสงสัยของพวกเขาถูกต้อง
“เฟิ่งชิงเฉิน” สิ่งนี้ไม่มีทางเปลี่ยนไป นางจดจำทุกอย่างก้าวในชีวิตของเฟิ่งชิงเฉิน และความรู้สึกทั้งหมดที่เฟิ่งชิงเฉินเคยสัมผัส
ขนาดตัวนางเองยังไม่สามารถบอกได้ว่าตนเองเป็นหมอทหารที่เข้าร่วมสงคราม หรือเป็นเฟิ่งชิงเฉินที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอดหลังจากการจากไปของพ่อแม่ ในความคิดของนางเฟิ่งชิงเฉินก็คือเฟิ่งชิงเฉิน และเฟิ่งชิงเฉินก็คือนาง
“เจ้าจะเป็นเฟิ่งชิงเฉินตลอดไปใช่ไหม?” เสด็จอาเก้าถามคำถามออกมาอีกครั้ง แม้เฟิ่งชิงเฉินไม่เข้าใจในความหมายของเสด็จอาเก้าแต่ก็พยักหน้าออกมา “ข้าจะเป็นเฟิ่งชิงเฉินตลอดไป”
“งั้นก็ดี ข้าไม่มีอะไรจะถามแล้ว เจ้าช่วยหลีกทางให้ข้า” เสด็จอาเก้าแสดงพฤติกรรมขัดขืนอย่างเต็มที่ เห็นเฟิ่งชิงเฉินไม่ยอมหลีกทาง เขาก้าวไปด้านหน้าโดยตรง ชนร่างของเฟิ่งชิงเฉินไปด้านข้าง
เขาไม่ชอบที่เห็นดวงตาคู่นั้นในตอนนี้ของเฟิ่งชิงเฉิน นั่นมันทำให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นคนร้าย เขายอมรับว่าการทดสอบครั้งนี้ทำให้เฟิ่งชิงเฉินต้องเจ็บปวด แต่ไม่ยอมรับว่าเป็นความผิดของตน……
เฟิ่งชิงเฉินถูกเสด็จอาเก้าชนโดยไม่มีการแจ้งเตือน ทำให้ร่างของนางเซออกไปด้านข้างและเกือบล้มลง โชคดีที่หวังจิ่นหลิงตอบสนองได้อย่างรวดเร็วจึงยื่นมือออกไปคว้าไว้ทัน
เฟิ่งชิงเฉินอยู่ในอ้อมแขนของหวังจิ่นหลิง หลังจากยืนได้แล้วนางก็ผลักเขาออกไปทันที “ขอบคุณ”
เมื่อได้ยินคำว่าขอบคุณจากปากของเฟิ่งชิงเฉิน พวกเขาก็อยู่ห่างกันพอสมควรแล้ว ดวงตาของหวังจิ่นหลิงเผยให้เห็นความเจ็บปวด กำลังจะพูดอะไรออกมา แต่ทันใดนั้นเองเสด็จอาเก้าก็หันหลังกลับ “เฟิ่งชิงเฉิน ข้ารับปากว่าจะไม่มีครั้งต่อไป ขอแค่เจ้ายังเป็นเฟิ่งชิงเฉิน ไม่ว่าอะไรมันก็ไม่สำคัญ”
หากต้องการโกหกก็โกหกไปทั้งชีวิต ขอแค่เจ้าเป็นเฟิ่งชิงเฉินเช่นนี้ก็พอ
ใช่ ขอแค่เจ้าเป็นเฟิ่งชิงเฉินแบบนี้ตลอดไปก็พอ ที่เหลือมันก็ไม่สำคัญแล้ว เขาต้องการเฟิ่งชิงเฉินคนนี้ ไม่ใช่เฟิ่งชิงเฉินคนที่อ่อนแอ เขาเข้าใจตั้งนานแล้ว แต่……
แค่อยากทำให้แน่ใจเท่านั้น
เขาคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่เขาทำลงไปอย่างกะทันหันจะไปทำร้ายเฟิ่งชิงเฉินให้เจ็บปวดถึงเพียงนี้
“ฮึฮึ……” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รู้สึกอะไรเมื่อได้ยินคำพูดนี้ นางยิ้มออกมา รอยยิ้มนี้น่าเกลียดว่าร้องไห้เสียอีก
เฟิ่งชิงเฉินสูดลมหายใจเข้า เงยหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมา “ตงหลิงจิ่ว เจ้านี่ช่างปากไม่ตรงกับใจ ก็เห็นอยู่ว่าเจ้าเห็นมันสำคัญ หากไม่สำคัญ ทำไมเจ้าถึงต้องลงทุนทำกับข้าถึงขนาดนี้ หากไม่สำคัญ ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมถามให้ชัดเจน”
ที่จริงเป็นเพราะใส่ใจ นางเองก็ใส่ใจ แต่นี่มันเป็นความผิดของนางงั้นหรือ?
นางไม่มีทางเลือก หลังจากนางฟื้นขึ้นมาตอนนั้น นางก็กลายเป็นสภาพแบบนี้แล้ว พระเจ้าไม่ได้มอบโอกาสให้นางเลือก และไม่มีเวลาให้นางมานั่งเสียใจ
ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาในวินาทีนั้น นางก็แค่อยากมีชีวิตรอด ใช้ชีวิตเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป แต่งงานมีลูกเหมือนคนปกติ
ตลอดไปทั้งชีวิต แต่……
คนพวกนี้ไม่ยอมปล่อยนาง พวกเขาไม่ยอมปล่อยนาง ไล่ต้อนจนนางต้องตอบโต้ มือคู่นี้ของนางเปื้อนไปด้วยเลือด นางฆ่าคนไปเป็นจำนวนมาก แต่นางไม่เคยคิดจะฆ่าคนบริสุทธิ์
ตอนนั้นนางแค่อยากมีชีวิตรอด นี่ถือเป็นความผิดอย่างนั้นหรือ
เงยหน้าให้สูงขึ้นเพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมา เฟิ่งชิงเฉินยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของนาง
“ตงหลิงจิ่ว หวังจิ่นหลิง พวกเจ้าอยากรู้ไม่ใช่หรือว่าข้าเป็นใคร งั้นตอนนี้ข้าจะบอกพวกเจ้า ข้า……”
“ไม่……”
“อย่าพูดออกมา……” หวังจิ่นหลิงอยู่ใกล้กับเฟิ่งชิงเฉินมากที่สุด ในตอนที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังจะเปิดปาก เขารีบก้าวเข้าไปนำมือไปปิดปากของนาง “ไม่ต้องพูดออกมา ชิงเฉิน ข้าขอร้อง เจ้าอย่าพูดมันออกมา”
เรื่องบางเรื่องหากพูดออกมาแล้วมันไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้
เป็นแบบนี้ต่อไปดีแล้ว ในใจของพวกเขาเข้าใจ แบบนี้มันดีอยู่แล้ว
“ชิงเฉิน ขอแค่เจ้าเป็นเจ้า แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เจ้าคือชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินผู้มอบดวงตาอันสดใสให้แก่ข้า เฟิ่งชิงเฉินผู้ช่วยชีวิตคนมากมายในตงหลิง ชิงเฉิน……ไม่มีใครแทนที่เจ้าในตอนนี้ได้”
หวังจิ่นหลิงกอดเฟิ่งชิงเฉินแน่น เขากลัว กลัวว่าหากปล่อยไปจะไม่ได้เจอกับเฟิ่งชิงเฉินอีก
“ชิงเฉิน เจ้าอย่าพูดมันออกมา ข้าขอร้อง”
เขามั่นใจ หากเฟิ่งชิงเฉินพูดมันออกมา พวกเขาจะสูญเสียเฟิ่งชิงเฉินไปตลอดกาล……
พวกเขายอมรับกับผลที่ต้องสูญเสียเฟิ่งชิงเฉินไปไม่ได้ เนื่องจากพวกเขากลัวต้องเสียเฟิ่งชิงเฉินไปถึงทำการทดสอบ และเขาจะปล่อยให้นางไปเช่นนี้ได้อย่างไร……
เสด็จอาเก้ายืนอยู่ที่เดิมไม่เคลื่อนไหว มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของเฟิ่งชิงเฉิน หัวใจของเขารู้สึกเจ็บปวด
ชิงเฉิน ขอโทษ!
ข้าแค่กลัวเจ้าจะหายไปจึงอยากหาข้อพิสูจน์……