นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 738-2 สงครามเย็น แสร้งทำเจ็บ ใช้ไม่ได้ผลกับข้า
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 738-2 สงครามเย็น แสร้งทำเจ็บ ใช้ไม่ได้ผลกับข้า
ใครคือผู้ทรยศ?
คำถามนี้ไม่ใช่แค่เสด็จอาเก้าเท่านั้นที่อยากรู้ หวังจิ่นหลิงเองก็อยากรู้เช่นกัน แต่……
เนื่องจากทั้งสองคนอยากรู้ ชุยห้าวถิงจึงไม่มีทางพูดออกมา “เสด็จอาเก้า คุณชายใหญ่ นี่ไม่ใช่หน้าที่อะไรของตระกูลชุย”
แม้ว่าพวกเขาทั้งสามไม่ได้พูดถึงการค้าข้อมูลตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ แต่ในใจของพวกเขาต่างรู้ดีว่า ตอนที่ชุยห้าวถิงพูดถึงเรื่องฮูหยินแห่งผู้นำเผ่าเสวียนเซียวกงและที่มาของนาง เขาก็สามารถพาตัวของหลานอีหลินกลับไปได้แล้ว
“เจ้าพาคนของเจ้ากลับไปได้แล้ว” ไม่อยากพูดเสด็จอาเก้าก็ไม่บังคับ แม้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในทะเลเมื่อสี่สิบปีก่อนนั้นยากจะสืบหา แต่……
ชุยห้าวถิงพูดออกมาชัดเจนถึงขนาดนี้แล้ว หากเขายังสืบหาไม่พบ นั่นก็แสดงว่าเหล่าลูกน้องของเขาไม่มีความจำเป็นต้องอยู่บนโลกใบนี้
“เสด็จอาเก้าเด็ดขาดเสียจริง” ตอนแรกคิดว่าเสด็จอาเก้าจะยอมจ่ายอะไรออกมาสักเล็กน้อยเพื่อแลกกับข้อมูล คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะไม่สนใจมัน
เสด็จอาเก้าเลิกคิ้วขึ้นอย่างเฉยเมย “ตระกูลชุยยังขี้เหนียวเหมือนเดิม” คำพูดนี้ไม่ได้หมายถึงแค่การแลกเปลี่ยนในครั้งนี้อย่างเดียว แท้จริงแล้วมันหมายถึงอะไร คนของตระกูลชุยก็ลองไปคิดเอา
ชุยห้าวถิงยิ้มออกมา ไม่ได้อะไรเสด็จอาเก้ากลับไป ในตอนที่กำลังพาหลานอีหลินกลับ ในที่สุดชุยห้าวถิงก็ได้เห็นเฟิ่งชิงเฉิน “ข้านึกว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้าแล้วเสียอีก”
เห็นเฟิ่งชิงเฉินยังอยู่อย่างปลอดภัย ชุยห้าวถิงตกใจเล็กน้อย จากข้อมูลที่เขาได้มา ไม่ใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินได้รับบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ
ดูจากตอนนี้ รายงานดังกล่าวไม่ค่อยตรงกับความเป็นจริง ดูเหมือนว่ากลับไปคงต้องไปสั่งสอนพวกเขาสักหน่อยแล้ว
“ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วง ข้ายังสบายดี คน……คนที่นางต้องแต่งงานด้วยคือเจ้าอย่างนั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินรู้ถึงความทะเยอทะยานของตระกูลชุย และรักษาความสัมพันธ์ที่เหมาะสมกับชุยห้าวถิง
หากไม่มีอะไรผิดพลาด ในอนาคตพวกเขาจะกลายเป็นศัตรูกัน
“เจ้าพูดถึงแม่นางหลานอย่างนั้นหรือ?” ชุยห้าวถิงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เฟิ่งชิงเฉินเป็นห่วงคนที่ไม่รู้จักตั้งแต่เมื่อไหร่
“ใช่” นางรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่หลานอีหลินต้องเจอ หลานอีหลินเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่ง นางเด็กเกินไปที่จะรับกับเรื่องพวกนี้ ตระกูลชุยช่างซับซ้อนเหลือเกิน
ชุยห้าวถิงส่ายหน้า “ไม่ คนที่นางแต่งงานด้วยไม่ใช่ข้า คนที่จะเป็นผู้นำตระกูลชุยในอนาคตไม่มีทางแต่งงานกับทายาทของตระกูลหลาน”
สิ่งที่ชุยห้าวถิงพูดไม่เพียงแต่บอกถึงการกระทำของตระกูลชุย แต่ยังบอกถึงตัวตนของเขาในอนาคต คำพูดนี้เพราะเป็นเฟิ่งชิงเฉินเขาถึงพูดออกมา หากเป็นคนอื่นเขาไม่มีทางพูดออกมาอย่างแน่นอน
ผู้นำตระกูลชุยคำนึงแต่ผลประโยชน์ของตระกูลชุยเท่านั้น ตระกูลของเขาไม่มีทางยอมให้ผู้นำตระกูลแต่งงานกับทายาทตระกูลหลานเพื่อให้กำเนิดบุตร ตระกูลชุยไม่มีทางยอมปล่อยให้ผู้นำตระกูลเพิกเฉยต่อผลประโยชน์ของตระกูลเพราะเด็กที่เกิดขึ้นมา แม้ความเป็นไปได้จะมีแค่เล็กน้อย แต่ก็ถูกปิดกั้นไว้ตั้งแต่แรก
“อ่า……” เฟิ่งชิงเฉินตอบกลับด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
คิดไปคิดมามันก็จริง ตระกูลชุยจะยอมให้ผู้นำตระกูลในอนาคตแต่งงานกับทายาทตระกูลหลานได้อย่างไร หากในอนาคตผู้นำลังเลใจ สิ่งที่ต้องเสียก็คือครอบครัวหรือไม่ก็กองกำลังของตนเอง
“เจ้ารู้จักนาง?” ดวงตาของชุยห้าวถิงเคร่งขรึมขึ้นทันที พูดตามเหตุผล ไม่แปลกที่เฟิ่งชิงเฉินจะรู้ถึงตัวตนของหลานอีหลิน แต่ก็ไม่น่าจะรู้จักนาง และก็ไม่น่าเป็นห่วงนางเช่นนี้
นี่เป็นครั้งแรกที่หลานอีหลินหนีออกจากบ้าน ก่อนหน้านี้นางอยู่ในตำหนักเล็ก ๆ มาโดยตลอด ไม่เคยพบเจอคนด้านนอก
“ไม่รู้จัก แค่รู้สึกว่านางน่าสงสาร” ใช่ น่าสงสาร หากเกิดเร็วกว่านี้สักร้อยปี หรือไม่ก็เกิดช้ากว่านี้สักร้อยปี นางจะต้องเป็นองค์หญิงผู้สูงส่ง ไม่ใช่เป็นหมากผู้ไร้ค่าเช่นนี้
“น่าสงสารงั้นหรือ? อาจจะใช่……” ชุยห้าวถิงไม่ได้แสดงความเห็นมากมายอะไร เทียบกับคนอื่นของตระกูลหลานแล้ว หลานอีหลินโชคดีกว่ามาก ไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยนางก็ยังมีชีวิตอยู่
“ในเมื่อเจ้าสงสารนาง ข้าจะบอกให้คนรับใช้ดูแลนางอย่างดี” ชุยห้าวถิงไม่ได้อยากพูดอะไรมากมายกับเฟิ่งชิงเฉิน แต่ในเมื่อเฟิ่งชิงเฉินพูดออกมาแล้ว เขาก็ต้องให้เกียรติเฟิ่งชิงเฉินสักเล็กน้อย
ความสามารถทางการแพทย์ของเฟิ่งชิงเฉิน เขาเคยเห็นมันกับตา คนแบบนี้ไม่แน่อาจจะมีประโยชน์ในอนาคต
“ขอบคุณมาก”
“ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร หากแม่นางเฟิ่งไม่มีเรื่องอะไรแล้ว งั้นเฮ่าถิงขอตัวก่อน” ชุยห้าวถิงประสานมือโค้งคำนับและจากไปอย่างสง่างาม
เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ตรงนั้น เฝ้าดูการจากไปของหลานอีหลินและชุยห้าวถิง และอธิษฐานให้หลานอีหลินโชคดีในใจ
จนกระทั่งมองไม่เห็นพวกเขาเฟิ่งชิงเฉินถึงหันกลับมา เมื่อหันกลับมาก็เหมือนกับได้เห็นดวงวิญญาณ นางยืนอยู่ด้านหลังของเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินผงะอยู่ครู่หนึ่ง หลังได้สติกลับมา เฟิ่งชิงเฉินถอยมาหนึ่งก้าว โค้งตัวลง “เสด็จอาเก้า”
การแสดงความเคารพ พร้อมกับคำเรียกเสด็จอาเก้ามันไม่ต่างอะไรกับการกระทำของนางก่อนหน้านี้ แต่ระยะห่างที่มองไม่เห็นมันกลับห่างออกไป ตอนนี้พวกเขาเป็นได้แค่เพื่อน
“ออกไปเดินเล่นด้านนอกกับข้าหน่อย” เสด็จอาเก้าชี้ไปสวนด้านนอก เขากลัวว่าเฟิ่งชิงเฉินจะไม่ยอมออกไปกับเขา จึงกล่าวออกมาอีกว่า “คุยเรื่องเกี่ยวกับแม่ของเจ้า”
ใช่ เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากไป แต่หลังจากได้ยินประโยคหลังของเสด็จอาเก้า ความคิดของนางก็เปลี่ยนไป เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า บ่งบอกเสด็จอาเก้าว่าให้เขาเดินไปก่อน จากนั้น……นางจึงเดิมตามเสด็จอาเก้าไปอย่างไม่รีบร้อน
หวังจิ่นหลิงยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง มองสองคนเดินตามกันออกไปด้านนอก รอยยิ้มปรากฏออกมาเล็กน้อย หันหลังและเดินกลับเข้าไป
เขาหวังว่าหลังจากที่เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินกลับเข้ามา พวกเขาจะสามารถกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน บรรยากาศแบบนี้พวกเขาทั้งสามยากจะรับไหว
เสด็จอาเก้าลดความเร็วของเขาลง แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ชะลอความเร็วลงเช่นกัน การกระทำนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่านางไม่ต้องการเดินเคียงข้างกับเสด็จอาเก้า
เฟิ่งชิงเฉินใช้วิธีการของนางในการบอกกับเสด็จอาเก้าว่า นางจะนำความเย่อหยิ่งก่อนหน้านี้กลับคืนมา นำความแตกต่างทั้งหมดกลับคืนมา นางจะถอยกลับไปยังจุดยืนของตนเองและปกป้องให้ตนเองปลอดภัย
เสด็จอาเก้าทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่พูดออกมาว่า “ชิงเฉิน เรื่องมันผ่านไปแล้ว”
“อ่า” เฟิ่งชิงเฉินตอบกลับไป
“เจ้าพูดเองว่าครั้งนี้ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น” หรือพูดอีกอย่างก็คือ เจ้าจะต้องทำตามสัญญาณ และไม่ทำสงครามเย็นกับเขาแบบนี้
“ใช่”
“ชิงเฉิน……”
“อือ”
“ไม่มีครั้งต่อไปแล้ว” เสด็จอาเก้าหยุดฝีเท้าของเขา หันกลับมาหาเฟิ่งชิงเฉิน ราวกับว่าเฟิ่งชิงเฉินรู้ตั้งแต่แรก นางหยุดเคลื่อนไหวในตอนนั้นเช่นกัน เว้นระยะห่างจากเสด็จอาเก้าหนึ่งก้าว “ข้ารู้แล้ว”
“งั้นพวกเราควรจะคืนดีกันได้แล้วหรือยัง” น้ำเสียงของเสด็จอาเก้าแฝงไว้ด้วยความอ้อนวอน แม้จะผ่านมาเพียงครึ่งวัน แต่เขารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ความไม่แยแสของเฟิ่งชิงเฉินทำให้เขารู้สึกว่ากำลังถูกกีดกัน ทำให้เขารู้สึกใกล้ชิดว่าการใกล้ชิดเฟิ่งชิงเฉินเป็นเรื่องยาก
“ฮ่าฮ่า……” เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะออกมา จ้องตาเสด็จอาเก้า นัยน์ตาของนางเยือกเย็น “เสด็จอาเก้า หากข้าแทงเจ้าแล้วช่วยรักษา แบบนั้นเท่ากับว่าข้าไม่เคยแทงเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
เรื่องมันผ่านไปแล้ว แต่บาดแผลนั้นยังคงอยู่ นางเป็นมนุษย์ไม่ใช่พระเจ้า นางบอกว่าทำเป็นเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น แต่ไม่ได้แปลว่านางไม่รู้สึกเจ็บปวด
นางแค่เพียงบอกว่าไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องที่เขากับหวังจิ่นหลิงวางแผนใส่นาง แต่ไม่ได้แปลว่าการกระทำดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อความเชื่อใจที่นางมีต่อเขาและหวังจิ่นหลิง
ทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นเพราะนางยังต้องการความสัมพันธ์นี้ แต่ความเจ็บปวดในใจของนางมันยากจะควบคุม อย่างน้อยในระยะเวลาอันสั้นนางกับเสด็จอาเก้าไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนก่อนหน้านี้ นางไม่ใช่คนไร้หัวใจเช่นนั้น
“หากทำเช่นนี้แล้วเจ้าสบายใจ งั้นเจ้าลงมือเลย” ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ เสด็จอาเก้ายื่นกริชในมือของเขาออกมายื่นให้เฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินกวาดตามอง กริชเล่มนี้คมมาก แค่สัมผัสเบา ๆ ก็สามารถทำให้เกิดบาดแผลได้ แต่นี่มันเกี่ยวอะไรกับนาง
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รับกริชเล่มนั้นมา แต่พูดออกไปด้วยน้ำเสียงดูถูก “เสด็จอาเก้า การทำร้ายตัวเองมันไม่ใช้ไม่ได้ผลกับข้า อย่ามาใช้ไม้นี้กับข้าเลยดีกว่า ตอนนี้……บอกเรื่องแม่ของข้ามาได้แล้ว หากเจ้าไม่พูดก็ไม่เป็นไร ข้าเหนื่อยแล้ว ข้าต้องการกลับไปพักผ่อน”
พูดจบเฟิ่งชิงเฉินก็เดินกลับในทันที ทิ้งเสด็จอาเก้าไว้ตรงนั้นเพียงลำพัง……
คนบางคนหากไม่มอบบทเรียนให้เขา เขาอาจจะคิดว่าตนเองคือพระเจ้า แต่แม้จะเป็นเพราะเจ้าแล้วยังไง นางไม่เชื่อในพระเจ้า แม้แต่พระเจ้าก็ไม่ได้มีค่าอะไรในสายตานาง……