นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 748-1 ขายหน้า รอกองทัพพันธมิตรของสามประเทศ
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 748-1 ขายหน้า รอกองทัพพันธมิตรของสามประเทศ
หลังจากมีประสบการณ์ในครั้งแรก ครั้งนี้เสด็จอาเก้าไม่ต้องการสูญเสียกำลังคนในการเบิกทาง เขาใช้รถยิงหินสิบคันแทน
“ปัง ปัง……” ก้อนหินขนาดใหญ่กระแทกกับดักทราย ไม่เพียงแค่ทำลายกับดักทรายเท่านั้น แต่มันยังทำลายกับดักที่ฝังอยู่ด้านล่างด้วย เสด็จอาเก้านำกองกำลังที่เหลือไม่ว่าจะเป็นทหารราบหรือทหารม้าเข้ามาจากด้านนอกโดยไม่สูญเสีย หลังจากผ่านแนวป้องกันชั้นที่สอง เสด็จอาเก้ายังเหลือทหารอยู่ในมือมากกว่าสองหมื่นหกพันคน
“เจ้าเล่ห์เหลือเกิน เจ้าใช้รถยิงหินอย่างที่คิด ไร้ยางอายสิ้นดี” หวังจิ่นหลิงเปิดแนวป้องกันที่สามด้วยสีหน้าอันบึ้งบูด ในขณะเดียวกัน เขาบอกให้แนวป้องกันที่สี่และแนวป้องกันที่ห้าทำการเตรียมพร้อม
“ขอบคุณสำหรับคำชม” เสด็จอาเก้าไม่ได้สนใจคำวิจารณ์ของหวังจิ่นหลิง เขารวบรวมกองกำลังอีกครั้งเพื่อทำลายแนวป้องกันที่สาม และครั้งนี้เสด็จอาเก้าบุกเข้าไปอย่างไม่คิดชีวิต ซึ่งทำให้หวังจิ่นหลิงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“บัดซบ!”
ภายใต้การโจมตีอันทรงพลังของเสด็จอาเก้า ทำให้หวังจิ่นหลิงกระวนกระวายใจจนทำอะไรไม่ถูก เห็นทหารของเสด็จอาเก้าบุกเข้ามา ฝ่าแนวป้องกันแต่ละชั้น สุดท้ายหวังจิ่นหลิงก็อดไม่ได้ที่จะสบถออกมา
แม้นี่ไม่ใช่การแข่งขันระหว่างเขากับเฟิ่งชิงเฉิน แต่เขาไม่อยากแตกต่างจากเฟิ่งชิงเฉินจนมากเกินไป และไม่อยากให้เสด็จอาเก้าชนะอย่างขาดรอย
หากท้ายที่สุดเฟิ่งชิงเฉินสามารถกำจัดกองทัพทั้งหมดสามหมื่นนายของเซวียนเส้าฉีได้ แต่เขากลับถูกเสด็จอาเก้าบุกเข้าตี แบบนั้นเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
แต่ตอนนี้เจตจำนงมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ ภายใต้การโจมตีอันบ้าคลั่งของเสด็จอาเก้า แม้หวังจิ่นหลิงจะตอบสนองได้ทันเวลา แต่อีกฝ่ายก็ยังบุกเข้ามาได้อยู่ดี
สุดท้ายเห็นเสด็จอาเก้านำทหารบุกเข้ามาหกพันนายเพื่อทำลายเผ่าเสวียนเซียวกง หวังจิ่นหลิงไร้ซึ่งความสามารถ ทำได้เพียงเรียกองครักษ์และเหล่าศิษย์ของเผ่าเสวียนเซียวกงมาร่วมสู้ ด้วยพลังของเผ่าเสวียนเซียวกง การที่เผชิญหน้ากับกองทัพทหารหกพันนายมันไม่ใช่ปัญหา ดังนั้น……หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ทีมสีฟ้าของเสด็จอาเก้าประกาศว่ากองทัพทั้งหมดของพวกเขาถูกทำลาย
ธงผืนสุดท้ายถูกหวังจิ่นหลิงยึดไป เสด็จอาเก้ากล่าวออกมาว่า “ข้าแพ้แล้ว!”
ข้าแพ้แล้ว!
แม้ดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงประโยคธรรมดา แต่มันออกมาจากปากของเสด็จอาเก้า มันแสดงถึงความหมายอันยิ่งใหญ่ ต้องรู้ก่อนว่าเสด็จอาเก้าไม่เคยพูดว่า “แพ้” เลยแม้แต่ครั้งเดียว หากเขารู้ตัวว่าจะแพ้ เขาจะรีบหากองกำลังหรือวิธีการใหม่มาตอบโต้ และรีบถอนตัวออกมาทันที
คิดจะเอาเปรียบเสด็จอาเก้า บอกเลยว่ายาก เช่นเดียวกับการแข่งขันระหว่างเขากับจักรพรรดิตอนเกิดภัยพิบัติหิมะ ดูเหมือนว่าเสด็จอาเก้าจะพ่ายแพ้ แต่จักรพรรดิก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรไปมากมาย ไม่เพียงแค่นั้น จักรพรรดิยังต้องเปิดเผยฝู่หลินซึ่งเป็นอาวุธลับให้ผู้อื่นได้รับรู้
ตอนนี้เสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงต้องการหลีกหนีจากพระราชวัง แม้จะบอกว่าเป็นการหลีกหนี แต่สุดท้ายเขาก็ทิ้งความวุ่นวายในพระราชวังไว้ให้กับจักรพรรดิ
ในฤดูใบไม้ผลิ จักรพรรดิต้องการสอบคัดเลือกขุนนางในตงหลิง และการสอบครั้งนี้ถือเป็นงานใหญ่ในประเทศครั้งแรกของจักรพรรดิ งานนี้จักรพรรดิจะแพ้ไม่ได้
หากจักรพรรดิต้องการผ่านการทดสอบ กำจัดอิทธิพลของตระกูลที่มีอำนาจต่อขุนนาง ความคิดนี้ถือเป็นความคิดที่ฉลาด แต่มันยากที่จะทำ เขาต้องเจอกับอุปสรรคอันเหนือจินตนาการ ผู้ซึ่งสอบผ่านเป็นศิษย์หรือผู้ที่จักรพรรดิชอบใจใช่หรือไม่ เอามาใช้งานได้หรือเปล่า เหมาะสมกับตำแหน่งขุนนางหรือไม่ และมีอีกหลายปัญหา
เมื่อมองจากท่าทางของจักรพรรดิ การสอบครั้งนี้สำคัญมาก หวังจิ่นหลิงไม่สนใจผลกระทบที่มีต่อตระกูลหวัง เขาไม่มีความจำเป็นอะไรต้องไปขัดขวาง ดังนั้นเขาจึงหลีกเลี่ยง ปล่อยให้จักรพรรดิและคนอื่นเป็นผู้จัดการ ถึงเวลาแล้วค่อยใช้ผลประโยชน์จากมันก็พอ
ในเวลานี้การหลีกหนีของเสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงไม่ต่างอะไรกับการปล่อยให้จักรพรรดิเผชิญหน้ากับปัญหาตามลำพัง และค่อยกลับไปเก็บโกยผลประโยชน์ในตอนท้าย จักรพรรดิชอบแย่งผลงานของผู้อื่นไม่ใช่หรือไง รอผลการทดสอบปรากฏออกมา คิดว่าจักรพรรดิคงไม่มีความสุขแน่
เนื่องจากพวกเขาจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับการสอบคัดเลือกขุนนางครั้งแรกให้กับจักรพรรดิ
“ข้าก็ไม่ได้ชนะ” หวังจิ่นหลิงผลักโต๊ะทราย ความเหนื่อยล้าเล็กน้อยปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาของเขา
อย่าคิดว่าการต่อสู้บนโต๊ะทรายนั้นไม่เหนื่อย มันยังต้องใช้ความแข็งแกร่งทางร่างกายและจิตใจเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคู่ต่อสู้คือเสด็จอาเก้า และยังมีเฟิ่งชิงเฉินผู้คลั่งไคล้ในการต่อสู้เป็นการเปรียบเทียบอีก นี่ทำให้หวังจิ่นหลิงเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก
ตอนนี้เขาไม่ได้อ่อนแอเพราะร่างกายทรุดโทรม โชคดีที่ปกติแล้วเขาจะออกกำลังกายเป็นประจำ แม้จะดูว่ากำลังอ่อนแอ แต่เขาก็แข็งแกร่งว่าคนทั่วไป
เสด็จอาเก้าไม่ได้ตอบโต้คำพูดของหวังจิ่นหลิง เขาชี้ไปที่เฟิ่งชิงเฉินและกล่าวว่า “ดูการเคลื่อนไหวของเฟิ่งชิงเฉิน”
ทั้งสองผลักโต๊ะทรายด้านหน้าออก พวกเขาทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อจะเอาชนะในการแข่งขัน แต่ในช่วงนั้น พวกเขาได้พลาดในสิ่งที่ยอดเยี่ยมไปไม่น้อย
เมื่อมองดูกระดาษที่บันทึกสถานการณ์ในสนามรบ พวกเขาพบว่าเซวียนเส้าฉีเพิ่งจะทำลายแนวป้องกันที่สี่ไปได้ และจำนวนคนของเขาก็เหลือไม่ถึงหกพันคน และฝูงแกะที่ใช้สำหรับการทดสอบก็เหลือประมาณร้อยกว่าตัว
“ยังเหลืออีกสองแนวป้องกัน ข้าจำได้ว่าในสองแนวป้องกันสุดท้าย เจ้าเสียงทหารไปถึงสามพันนาย” การฝึกเพิ่งจะจบลง หวังจิ่นหลิงเข้าใจในสถานการณ์รบเป็นอย่างดี
จากสถานการณ์ในตอนนี้ ไม่ได้อยู่ใกล้แนวป้องกันสองแนวที่เหลือมากสักเท่าไหร่ ก้าวไปด้านหน้า สิ่งที่เกิดขึ้นก็ยิ่งห่างจากพวกเขา พวกเขามองไม่เห็น และรายละเอียดของการสถานการณ์ก็ยังไม่ชัดเจน เนื่องจากระยะมันไกลเกินไป พวกเขาทำได้แค่มองเค้าโครง ในตอนนี้ทำได้เพียงพึ่งพาคนของเผ่าเสวียนเซียวกง และแผ่นบันทึกในแผนภาพการวิเคราะห์สถานการณ์สนามรบ
“พวกเขาน่าจะถูกทำลายจนสิ้นซาก” เสด็จอาเก้าเหลือบตามอง ขมวดคิ้ว และหันมองไปการเคลื่อนไหวของคนรอบข้างซึ่งปฏิบัติตามคำสั่งของเฟิ่งชิงเฉิน
“ถูกทำลายจนสิ้น? เฟิ่งชิงเฉินยังมีไพ่ตายอีกงั้นหรือ?” หวังจิ่นหลิงหันไปมองที่โต๊ะทรายอีกครั้ง นึกถึงสถานการณ์อันตรายระหว่างทาง แต่สุดท้ายเขาก็ไม่คิดว่าแนวป้องกันสองแนวนี้จะสังหารคนได้ถึงหกพันนาย เนื่องจาก……
พวกเขารู้รูปแบบของแนวป้องกัน
“เจ้ามองไปที่แม่น้ำสายนั้น มีสะพานเพียงสะพานเดียวที่จะสามารถข้ามแม่น้ำนี้ไปได้ ในตอนนั้นเจ้าทำลายสะพานเพื่อกำจัดคนของข้า แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะตกลงไปแล้วตายในแม่น้ำ และไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องตกลงไปในแม่น้ำ
สิ่งที่เจ้าทำนั้นไม่ได้ผิด แต่จำนวนที่ข้าสูญเสียนั้นไม่ได้มากมายอะไร เมื่อข้าซ่อมแซมสะพานก็สามารถเดินทัพต่อได้ แต่หากวางระเบิดไว้อีกฝั่งของสะพาน เจ้าคิดว่าจะเป็นเช่นไร? รอคนข้ามสะพานมา จุดระเบิดอีกครั้ง? สะพานถูกทำลาย มันจะเกิดอะไรขึ้น?”
เสด็จอาเก้าชี้ไปยังกับดัก กับดักนี้เขาได้รับผลกระทบกับมันมาก่อน แม่น้ำไม่ได้กว้างมาก เซวียนเส้าฉีเคยบอกไว้ว่ามันถูกสร้างขึ้นโดยผู้สร้างในประวัติศาสตร์ของเผ่าเสวียนเซียวกง ใช้ชีวิตเพื่อขุดมันขึ้นมา
โอบล้อมด้วยภูเขาและแม่น้ำ
ที่ตั้งของเผ่าเสวียนเซียวกงอยู่ในชัยภูมิที่ดี หากมีฝู่หลินอยู่ด้วย เขาอาจจะมองภาพของฮวงจุ้ยได้ดีกว่า เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นการสร้างพระราชวังหรือสร้างเมือง ในตอนสร้างก็จำเป็นจะต้องดูทิศทางและฮวงจุ้ยที่ดี
“หากเป็นเช่นนั้นจริง เซวียนเส้าฉีจะต้องสูญเสียกองกำลังไปมากกว่าครึ่ง” หวังจิ่นหลิงวิเคราะห์ออกมา จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นมาจากสนามรบ ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ในการคาดเดาของเสด็จอาเก้า
“งดงามมาก!”
ถึงตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาถามเรื่องแพ้ชนะ แต่มันเป็นเวลาที่ควรถามว่าสามารถจัดการกับอีกฝ่ายได้มากแค่ไหน
เหล่าผู้เชี่ยวชาญทางด้านกลไกของเผ่าเสวียนเซียวกง เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินคำนวณเวลาเปิดใช้งานของกลไกแต่ละชนิดได้อย่างแม่นยำ พวกเขารู้สึกนับถือเป็นอย่างมาก
แม้ว่าเด็กคนนี้จะไม่ได้มีพรสวรรค์ในเรื่องของกับดักและกลไกมากมายอะไร แต่นางมีความคิดแปลกใหม่ และสามารถคำนวณตำแหน่งและเวลาได้อย่างแม่นยำ เพื่อหลอกล่อให้อีกฝ่ายเข้ามาและเผด็จศึกได้อย่างง่ายดาย
ตอนนี้พวกเขาไม่เพียงแค่ไม่กังวล แต่พวกเขายังรอคอยการมาของกองทัพพันธมิตรทั้งสามประเทศ ไม่ว่าจะเป็นซีหลิง ตงหลิง หรือหนานหลิง พวกเขาอยากรู้ว่าภาพที่ออกมาจะเป็นเช่นไร ต้องรู้ก่อนว่าพวกเขาไม่รู้ถึงกลไกและกับดักที่ซ่อนอยู่ในเผ่าเสวียนเซียวกง……