นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 748-2 กองทัพถูกทำลาย เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 748-2 กองทัพถูกทำลาย เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
“กองทัพทั้งหมดถูกทำลาย? กองทัพทั้งหมดถูกทำลาย นี่เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ? มันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร”
หวังจิ่นหลิงมองผลลัพธ์ระหว่างการต่อสู้ของเฟิ่งชิงเฉินและเซวียนเส้าฉี เขาอ้าปากค้างเป็นเวลานาน ราวกับสูญเสียลูกชายอันเป็นที่รักไป
หรือว่าจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้นั้นเป็นกรรมพันธุ์? นี่น่าจะเป็นครั้งแรกสำหรับการต่อสู้ของพวกเขา ทำไมเฟิ่งชิงเฉินถึงได้ทำให้คนอื่นประหลาดใจได้เสมอ?
ที่จริงในฐานะผู้ป้องกันอย่างเผ่าเสวียนเซียวกง มันไม่จำเป็นต้องรวบรวมทหารแต่อย่างใด แค่ใช้กลไกและกับดักให้ถูกเวลาก็เพียงพอ แต่นี่มัน……
กับดักและกลไกชนิดเดียวกัน อยู่ในมือของคนที่แตกต่างกัน ประสิทธิภาพการใช้งานของมันก็แตกต่างกันไปด้วย
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่ากองทัพทั้งหมดของเซวียนเส้าฉีถูกทำลาย ไม่มีลูกน้องคนไหนของเขาสามารถบุกเข้าไปถึงประตูเผ่าเสวียนเซียวกง” ดวงตาของเสด็จอาเก้าเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เขาดูมีความสุขมาก
ในการต่อสู้ครั้งนี้ เขาและเฟิ่งชิงเฉินเป็นฝ่ายชนะ
“ทำไมเฟิ่งชิงเฉินถึงสั่งให้องครักษ์ลงมาจากภูเขา” หวังจิ่นหลิงสับสน ทำไมเขาถึงคิดเรื่องนี้ไม่ได้
เห็นกันอยู่ว่าใช้กับดักเพียงอย่างเดียวนั้นไม่สามารถจัดการกับทหารของฝ่ายตรงข้ามได้ทั้งหมด แล้วทำไมถึงไม่ทำการซุ่มโจมตีระหว่างทาง และปล่อยให้เสด็จอาเก้ายกทัพเข้ามาถึงเผ่าเสวียนเซียวกงได้อย่างง่ายดายแบบนั้น
“ทำไมจะไม่ได้ นี่คือสงคราม ขอแค่ลดความสูญเสียให้มากที่สุดเพื่อคว้าชัยชนะ ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ไม่ผิด” นี่คือวิธีการใช้กองกำลัง ไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจกับกลยุทธ์แห่งสงครามมากเกินไป และไม่ต้องสนว่าจะใช้วิธีการแบบไหน ขอแค่เอาชนะมาด้วยการสูญเสียที่น้อยที่สุดก็เพียงพอ
“เจ้าเล่ห์” หวังจิ่นหลิงไม่รู้ว่านอกจากคำนี้แล้ว เขาควรจะพูดคำไหนออกมา
“พูดถึงข้าอย่างนั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินเดินเข้ามาพอดี ความคลั่งไคล้ในการต่อสู้ได้จางหายไปจากร่างกายของนาง แม้จะเยือกเย็นแต่ก็ไม่ได้เคร่งขรึมเท่ากับตอนอยู่ในสนามรบ
“แฮ่ม……” หวังจิ่นหลิงสำลักน้ำลายตัวเอง องค์ชายผู้สูงส่งกลับต้องมาอับอายเพราะการสำลักน้ำลาย หวังจิ่นหลิงรีบพูดออกไปทันทีว่า “ชิงเฉิน เจ้าสั่งให้องครักษ์ลงจากเขามาเพื่อซุ่มโจมตี เจ้าคิดวิธีนี้ออกมาได้อย่างไร?”
หวังจิ่นหลิงรีบเปลี่ยนหัวข้อทันที เฟิ่งชิงเฉินนั่งลงและตอบกลับไปว่า “เรื่องนี้งั้นหรือ……จากการคำนวณของข้า กับดักและกลไกไม่มีทางจัดการกองกำลังทั้งหมดของเซวียนเส้าฉีได้อย่างแน่นอน ลูกน้องของเขาจะต้องบุกเข้ามา แบบนั้นจะดีกว่าหากส่งคนไปสกัดระหว่างทาง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้เหล่าศิษย์และองครักษ์ออกโรงอยู่แล้ว ช้าหรือเร็วก็ไม่ต่างกัน การที่ออกไปสกัดไว้ด้านนอกจึงเป็นเรื่องดีกว่า จะได้ไม่ต้องทำให้แผ่นดินแปดเปื้อน” ประโยคสุดนางนั้นพูดออกมาอย่างหนักแน่น
ทันทีที่เฟิ่งชิงเฉินนั่งลง เสด็จอาเก้ารินน้ำและยื่นไปไว้ด้านหน้าของนาง เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่ได้เกรงใจ ทันทีที่นางพูดจบก็ยกแก้วน้ำนั้นขึ้นมาดื่มทันที
ดื่มหมดในคราวเดียว เสด็จอาเก้าเติมน้ำลงไปในถ้วยอีกครั้ง การเคลื่อนไหวของเขาคล่องแคล่ว ราวกับว่าเขาทำมาแล้วเป็นพันครั้ง เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่ได้รู้สึกผิดปกติแต่อย่างใด ยกถ้วยขึ้นแล้วดื่ม แต่เมื่อหวังจิ่นหลิงเห็นเช่นนั้นก็ผงะในทันที……
เสด็จอาเก้า เขาทำหน้าที่เป็นคนรับใช้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แถมยังทำได้ดีและเป็นธรรมชาติมาก
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ บนโต๊ะมีถ้วยเพียงสองถ้วย และถ้วยที่อยู่ในมือของเฟิ่งชิงเฉิน เป็นถ้วยที่เสด็จอาเก้าเพิ่งจะใช้มันดื่มไป
บ้าที่สุด!
หวังจิ่นหลิงจ้องมองเสด็จอาเก้าด้วยสายตาอันเฉียบคม เสด็จอาเก้าขมวดคิ้วอย่างไม่ใส่ใจ รินน้ำให้เฟิ่งชิงเฉินเป็นครั้งที่สามและถามออกมาว่า “ทำไมเจ้าถึงกลับมาเร็วเจ้า ไม่ทำความสะอาดสนามรบอย่างนั้นหรือ?”
การฝึกของเฟิ่งชิงเฉินและเซวียนเส้าฉีไม่ใช่การฝึกบนโต๊ะทราย พวกเขาใช้ดินปืนจริง การต่อสู้จริง ทำให้สนามรบเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง พื้นดินเต็มไปด้วยเลือดเนื้อ หากมีคนมาเห็นพวกเขาจะต้องสงสัยเป็นแน่ว่าเมื่อสักครู่เกิดการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น
“นั่นไม่ใช่การต่อสู้ของข้า ข้าแค่ทำการทดลองผลลัพธ์ของกลไกและดินปืนเท่านั้น” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
นางรู้ความสามารถของตนเองดี นางไม่มีความพลังเพียงพอที่จะไปสั่งการรบ หากเมื่อสักครู่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากกลไกและดินปืน รวมถึงเวลาการโจมตีที่แม่นยำ หากทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันจริง นางก็ไม่รู้ว่าควรจะต่อสู้อย่างไร
“เจ้าอย่าถ่อมตัวเลย เจ้าทำได้ดีมากแล้ว” ดีกว่าหวังจิ่นหลิง
คำพูดประโยคหลังเสด็จอาเก้าไม่ได้พูดมันออกไป แต่ดูจากสายตาของหวังจิ่นหลิง แน่นอนว่าเขาใจถึงจุดนี้ดี
หวังจิ่นหลิงโกรธมาก เขาอยากจะบอกกับเฟิ่งชิงเฉินเต็มทีว่าถ้วยที่นางใช้ดื่มนั้นมีน้ำลายของเสด็จอาเก้าอยู่ แต่คิดไปคิดมาก็ต้องอดทนไว้ พูดออกมาก็มีแต่ทำให้เสด็จอาเก้ามีความสุข เขาไม่พูด เสด็จอาเก้าคงรู้สึกอัดอั้นจนตาย
“มีอะไรดี กับดักเหล่านั้นถูกคนอื่นออกแบบมา มันเป็นภูมิปัญญาของคนอื่นทั้งหมด ข้าแค่นำกลไกของคนอื่นมาเปิดใช้งาน” เฟิ่งชิงเฉินหันหน้ามาทางเสด็จอาเก้าพร้อมกับรอยยิ้มอันสดใส แสงสว่างในดวงตาของนางทำให้ใจของเต้นแรง รู้สึกคอแห้งขึ้นมากะทันหัน อยากจะยกกาน้ำชามารินให้ตนเองดื่มสักถ้วย แต่ลืมไปว่าตนเองไม่มีถ้วยแล้ว
เสด็จอาเก้าวางกาน้ำชาลงอย่างช่วยไม่ได้ เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้วด้วยใบหน้าไม่เข้าใจ ตอนที่กำลังจะพูดอะไรออกมา ในตอนนั้นผู้รับใช้คนหนึ่งก็รับวิ่งเข้ามาและพูดด้วยใบหน้าร้อนรนว่า “แม่นางเฟิ่ง แม่นางเฟิ่ง นายท่านบอกให้ท่านรับไป”
“เกิดเรื่องขึ้นงั้นหรือ? ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ดูจากท่าทางแล้วน่าจะเป็นเรื่องสำคัญ ไม่อย่างนั้นเหล่าผู้ดูแลกลไกคงไม่มีทางเรียกนาง เนื่องจากตอนที่นางเดินออกมาไม่มีใครรั้งนางไว้เลยสักนิด
เฟิ่งชิงเฉินวางถ้วยชาในมือ หันมายิ้มและกล่าวขอโทษกับเสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิง “ขอโทษด้วย ข้าต้องไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
ความเกรงใจและมารยาทเช่นนี้ทำให้เสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก หวังจิ่นหลิงดื่มชาในถ้วยจนหมด จากนั้นก็ยกกาน้ำชาด้านหน้าของเสด็จอาเก้ามารินให้ตนเอง
เสด็จอาเก้ามองถ้วยชาที่เฟิ่งชิงเฉินเพิ่งจะวางมันลง ดื่มชาในถ้วยจนหมด ลุกขึ้นและจากไป……
ถึงเวลาลงมือแล้ว !
“เจ้า เจ้า เจ้า……” หวังจิ่นหลิงชี้ไปที่เงาหลังของเสด็จอาเก้า นิ้วของเขาสั่น
เสด็จอาเก้าเป็นคนรักความสะอาดไม่ใช่หรือไง นี่มันเกิดอะไรขึ้น หรือว่าสายตาของเขาฝาดไป?
ขยี้ตาเพื่อให้แน่ใจ ถ้วยชาดังกล่าวเป็นถ้วยชาที่เสด็จอาเก้าดื่มในตอนแรก หวังจิ่นหลิงมั่นใจได้ว่าตนเองไม่ได้มองผิดไป
ภาพขององค์ชายผู้สง่างามหายไปอีกครั้ง หวังจิ่นหลิงไม่รู้ว่าตนเองควรจะออกไปจากจุดนี้อย่างไร รู้เพียงแค่ว่าฉากที่ได้เห็นในวันนี้มันช่างบาดใจของเขาเหลือเกิน
ความสัมพันธ์ของเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? หรือว่าตอนที่เขาไม่รู้ ทั้งสองคนทำอะไรกันไปแล้ว?
หวังจิ่นหลิงส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว สลัดความคิดที่น่ากลัวนี้ออกจากใจ การต่อสู้ที่แท้จริงกำลังเริ่มต้นขึ้น เขาจะสูญเสียรากฐานไม่ได้
แม้การต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นการฝึกซ้อม แต่มันเกิดขึ้นจากความเป็นจริง สายลับของเขาไม่สามารถเข้าใกล้เผ่าเสวียนเซียวกงได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงวิเคราะห์สถานการณ์อันน่าสลดใจของการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยเสียงและกลิ่นเลือดที่หลงเหลืออยู่ในสนามรบ ตอนที่ได้ยินเสียงกองทัพของเสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงบุกเข้าไปในเผ่าเสวียนเซียวกง คนกลุ่มหนึ่งก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
“ท่านแม่ทัพ มีกองทัพของตงหลิงคอยเปิดทางให้ พวกเราฉวยโอกาสนี้บุกเข้าไป จะทำให้ความสูญเสียที่ได้รับน้อยลงมาก” รองแม่ทัพของซีหลิงได้ยินเสียงที่ดังขึ้น ร่างกายของเขาเดือดพล่าน แทบรอไม่ไหวที่จะลงไปในสนามรบ
“ใช่ ท่านแม่ทัพ หากรอนานกว่านี้ ปล่อยให้อีกฝ่ายซ่อมแซมกับดักและกลไกทั้งหมดกลับคืนมา แบบนั้นจะไม่ทันการ” รองแม่ทัพอีกคนหนึ่งพูดออกมา
ความคิดของพวกเขานั้นถูกต้อง แต่……แม่ทัพที่นั่งอยู่ตรงกลางไม่ขยับเขยื้อน ไม่ว่าคนรอบข้างจะพยายามเกลี้ยกล่อมเขามากแค่ไหน เขาก็ไม่มีความตั้งใจที่จะส่งทหารไป จนกระทั่งมีทหารกลับมารายงาน
“รายงาน……ท่านแม่ทัพ ตงหลิงและหนานหลิงได้ออกทัพแล้ว”
แม่ทัพได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้นในทันที “ถ่ายทอดคำสั่ง ออกทัพ!”
“ขอครับ” รองแม่ทัพที่ได้ยินเช่นนั้นก็กระตือรือร้นเป็นอย่างมาก และในขณะเดียวกันก็มีแสงแห่งความชื่นชมบนใบหน้าของพวกเขา
ที่แท้ท่านแม่ทัพกำลังรอตงหลิงและหนานหลิง หรือก็คือการที่ทั้งสามฝ่ายร่วมมือกันมันก็ดีกว่าไปอยู่ฝ่ายเดียว
เหตุผลที่ผู้รับใช้เรียกเฟิ่งชิงเฉินไปนั้นก็เพราะได้รับข่าวว่ากองกำลังของทั้งสามประเทศกำลังมุ่งหน้ามายังเผ่าเสวียนเซียวกง……