นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 753-1 ใช้ไม้อ่อน ทำให้เสด็จอาเก้าเป็นสามีที่ดี
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 753-1 ใช้ไม้อ่อน ทำให้เสด็จอาเก้าเป็นสามีที่ดี
คำพูดนี้หวังจิ่นหลิงไม่ได้พูดออกมา แสดงรอยยิ้มที่มีเพียงแค่เสด็จอาเก้าเท่านั้นที่เข้าใจออกมา ไม่ทันรอให้เสด็จอาเก้าตอบสนอง หวังจิ่นหลิงโบกมือเรียกเฟิ่งชิงเฉิน
“ชิงเฉิน มาคุยเป็นเพื่อนข้าหน่อย” ใช่ หากไม่พูดออกไปอีกฝ่ายก็ไม่มีทางรู้
“ได้” เฟิ่งชิงเฉินปราศจากความสงสัย รีบก้าวออกมาด้านหน้า เดินผ่านเสด็จอาเก้าไปยังหวังจิ่นหลิง
การสนทนาของชายทั้งสองไม่ได้หลีกเลี่ยงนางแต่อย่างใด นางได้ยินทุกคำพูด
ได้ยินคำพูดของเสด็จอาเก้าซึ่งแสดงถึงความห่วงใยที่มีต่อนาง และได้ยินคำพูดที่ดูคลุมเครือของหวังจิ่นหลิง นางเข้าใจความหมายซึ่งหวังจิ่นหลิงต้องการสื่อออกมา นางจึงอยากพูดคุยกับหวังจิ่นหลิง……
เฟิ่งชิงเฉินอยากจะพูดคุยกับหวังจิ่นหลิงอย่างตรงไปตรงมา แต่คิดไม่ถึงว่า นางยังไม่ทันคิดออกว่าควรจะพูดอะไรออกไป หวังจิ่นหลิงก็พูดออกมาก่อนว่า “ชิงเฉิน เจ้าคงไม่ได้จริงจังกับมันใช่ไหม?”
หวังจิ่นหลิงหยุดฝีเท้ากะทันหัน หันหน้ามาหาเฟิ่งชิงเฉิน รอยยิ้มอันอ่อนโยนเผยออกมาในดวงตาสีดำสนิทของเขา ไม่มีร่องรอยของความคลุมเครือหรือความรู้สึก มีเพียงท่าทางที่เป็นสุภาพบุรุษเท่านั้น
“เอ๋? จริงจังกับอะไร?” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ตอบสนองในทันที นางตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและถามหวังจิ่นหลิงกลับไป
“ก็สิ่งที่ข้าพูดกับเสด็จอาเก้าเมื่อสักครู่ไง? เจ้าคงไม่ได้จริงจังกับมันใช่ไหม?” หวังจิ่นหลิงรู้ว่าเมื่อตนเองพูดแบบนี้ออกมา เขาจะต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง แต่หากเขาไม่พูดออกไป เขาจะต้องสูญเสียมากกว่าเดิม
เขานั่งคิดทบทวนอยู่ในห้องมาทั้งคืน คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่ามีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงทำให้เฟิ่งชิงเฉินมีความสุข
“สิ่งที่เจ้าพูดกับเสด็จอาเก้า? หมายความว่าอย่างไร?” เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกได้ว่าตนเองถูกทำให้สับสนโดยหวังจิ่นหลิง เมื่อเห็นรอยยิ้มอันสดใสของหวังจิ่นหลิง เฟิ่งชิงเฉินจึงอดถามตัวเองไม่ได้ว่า นางคิดมากเกินไปหรือเปล่า
ฮ่าฮ่าฮ่า……
ท่าทางงุนงงของเฟิ่งชิงเฉินทำให้หวังจิ่นหลิงพอใจเป็นอย่างมาก หวังจิ่นหลิงยิ้มออกมาพร้อมดีดหน้าผากของเฟิ่งชิงเฉินเบา ๆ “ชิงเฉิน เจ้าอย่าคิดมาก สิ่งที่ข้าพูดกับเสด็จอาเก้านั้นไม่มีความหมายอื่น แค่ต้องการเตือนเขาว่า ให้เขาทำดีกับเจ้าให้มาก เป็นห่วงเจ้าให้มากกว่านี้หน่อย ทำให้เขารู้สึกถึงความกังวล แม้ท่านลุงและท่านป้าไม่อยู่ แต่เจ้าก็ยังมีเพื่อนที่ดีอย่างข้าคอยอยู่เคียงข้างเสมอ หากเขากล้าทำร้ายเจ้า ข้าจะไม่มีวันปล่อยเขาไปแน่”
ในขณะที่พูดออกมา หวังจิ่นหลิงกำหมัดของเขาแล้วต่อยออกไปกลางอากาศสองสามครั้ง แม้หวังจิ่นหลิงจะอ่อนแอ แต่การกระทำนี้ของเขานั้นน่าประทับใจเป็นอย่างมาก
อ่า……เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย มุมปากกระตุก ผ่านไปครู่หนึ่งถึงจะกล่าวขอบคุณออกมา “จิ่นหลิง ขอบคุณเจ้ามาก”
นางคิดมากเกินไปใช่หรือไม่? จิ่นหลิงทำไปเพียงเพื่อต้องการช่วยนางเท่านั้นงั้นหรือ?
เฟิ่งชิงเฉินจ้องมองไปยังหวังจิ่นหลิงอย่างแน่วแน่ ด้วยท่าทางอันสงบของหวังจิ่นหลิงทำให้นางไม่เห็นอะไรเลย เฟิ่งชิงเฉินทำได้เพียงบอกกับตัวเอง นางคิดมากเกินไป โชคดีที่นางยังไม่ได้พูดออกไป ไม่อย่างนั้นคงอายน่าดู
เห็นเฟิ่งชิงเฉินยังคงอยู่ในสภาพงงงวย หวังจิ่นหลิงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกมาลูบศีรษะของเฟิ่งชิงเฉิน “ขอบคุณอะไร อย่าลืมว่าพวกเราเคยสัญญากันว่าจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป เจ้าเป็นคนแรก และจะเป็นเพื่อนผู้หญิงที่สนิทเพียงคนเดียว ข้าจะรังแกเจ้าได้อย่างไร” ถึงต่อให้เป็นเสด็จอาเก้า ข้าก็ไม่มีทางยอม
เพื่อนผู้หญิงที่สนิทเพียงคนเดียว! หากไม่มีอะไรผิดพลาด ชีวิตนี้ของพวกเขาก็คงเป็นได้แค่นั้นจริง ๆ
หวังจิ่นหลิงรู้สึกแสบตา แต่ใบหน้าของเขายังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ดวงตาสีดำของเขาชัดเจน ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความกล้าหาญและความจริงใจของสุภาพบุรุษ
ได้ยินหวังจิ่นหลิงพูดเช่นนี้ เศษเสี้ยวแห่งความสงสัยในใจของเฟิ่งชิงเฉินก็ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ หวังจิ่นหลิงยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาในฐานะเพื่อน และวางขอบเขตไว้เพียงเพื่อนเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ไม่จำเป็นต้องกังวล
เฟิ่งชิงเฉินเองก็ยิ้มออกมาพร้อมตีมือของหวังจิ่นหลิง “เจ้าจำคำพูดของเจ้าเอาไว้ให้ดี หากในอนาคตใครรังแกข้า ข้าจะไปหาเจ้าทันที เจ้าจำไว้ว่าจะต้องช่วยข้าจัดการเขา”
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา แต่เรื่องต่อยตีข้าคงทำไม่ได้ ข้าไม่สามารถต่อสู้กับใครโดยใช้กำลังได้ ข้าเป็นปัญญาชน ปัญญาชนสามารถใช้วิธีอื่นได้หรือไม่?” หวังจิ่นหลิงระงับความเศร้าในใจของเขาและพูดอย่างสนุกสนาน
“ได้ ได้ ได้ เจ้าเป็นองค์ชายใหญ่ เจ้าพูดอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น” ตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินจะไม่เห็นด้วยได้อย่างไร ขอแค่หวังจิ่นหลิงมีความสุขก็พอแล้ว
หวังจิ่นหลิงมีความสุขมากจริง ๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาไม่เคยจางหายไป หลังจากที่ทั้งสองเดินเคียงข้างกันไปไม่กี่ก้าว หวังจิ่นหลิงชี้ไปยังเสด็จอาเก้าที่เดินอยู่ด้านหน้าตามลำพัง ตบไหล่ของเฟิ่งชิงเฉินและพูดว่า “ชิงเฉิน แม่ของข้าเคยพูดว่า เกิดเป็นหญิงอยู่บนตนเองก็ต้องต่อสู้กับพี่สาว แต่งงานออกไปก็ต้องสู้กับแม่สะใภ้ ชีวิตนี้มีแต่ต้องต่อสู้ แต่ห้ามสู้กับผู้ชายของเจ้าเป็นอันขาด แต่ต้องใช้ไม้อ่อนในการเข้าหา ไปเถอะ ไปทำความสนิทสนมเอาใจผู้ชายคนนั้น ข้ารอเจ้าดึงเสด็จอาเก้าลงมาจากแท่น ทำให้เขากลายเป็นสามีที่ดีของเจ้า”
หวังจิ่นหลิงก็ไม่รู้ว่าตนเองพูดแบบนี้ออกไปได้อย่างไร แต่เขารู้เพียงแค่ว่าหากเขาไม่รีบให้เฟิ่งชิงเฉินเดินจากไป การเสแสร้งของเขาจะต้องถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน
“ได้ ข้าจะพยายามทำให้เสด็จอาเก้ากลายเป็นสามีที่ดี” เฟิ่งชิงเฉินผงะอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปหาเสด็จอาเก้า
เสด็จอาเก้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้านหลังของเขา เมื่อรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังเดินเข้ามา เขาเบาฝีเท้าเพื่อรอนาง ทั้งสองคนเดินเคียงไหล่กันไป
“ขอแค่ได้เห็นรอยยิ้มที่ไร้ความกังวลของเจ้า ทุกอย่างก็คุ้มค่า” หวังจิ่นหลิงเดิมตามไปอย่างช้า ๆ เว้นระยะห่างจากสองคนนั้น ใบหน้าของเขายังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่ว่ามองยังไงก็รู้สึกได้ถึงความเงียบเหงา ที่มุมหนึ่ง เสด็จอาเก้าหันศีรษะของเขามาสบตากับหวังจิ่นหลิง ชายทั้งสองติดต่อกันโดยปราศจากการส่งเสียง มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่เข้าใจความหมายของมัน
เสด็จอาเก้านับถือหวังจิ่นหลิงเป็นอย่างมาก เขารู้ว่าความรู้สึกที่หวังจิ่นหลิงมีต่อเฟิ่งชิงเฉินนั้นลึกซึ้งแค่ไหน หากเปลี่ยนเป็นเขา เขาคงไม่สามารถทำแบบหวังจิ่นหลิงได้เป็นแน่
ถอยกลับไปหนึ่งก้าว กลับไปอยู่ตรงสถานะเพื่อน ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องง่าย แต่การถอยไปก้าวนี้อาจทำให้ต้องเสียใจไปทั้งชีวิต!
……
ทั้งสามคนเดินไปภายใต้การนำทางของลูกศิษย์เผ่าเสวียนเซียวกงเพื่อไปล่ำลาเซวียนเส้าฉี เซวียนเส้าฉีรู้ว่าพวกเขาจะออกเดินทางวันนี้ และรู้ว่าตนเองไม่สามารถขัดขวางได้จึงถามออกมาว่า “พวกเจ้าต้องการให้ข้าไปส่งลงเขาหรือไม่ หรือว่าจะเดินทางกลับด้วยตนเอง”
ทางแรกคือเส้นทางลับในการลงเขาของเผ่าเสวียนเซียวกง ส่วนทางหลังคือการฆ่าตัวตาย
“พวกเราจะไปกันเอง” เสด็จอาเก้ายื่นมือออกไป เซวียนเส้าฉีคืนสัญลักษณ์การนำทัพของทหารสามหมื่นนายให้กับเสด็จอาเก้าอย่างไม่ลังเล “เสียชีวิตไปหนึ่งพันคน มีอีกสามร้อยคนที่ได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้กำลังรักษาตัวอยู่ในเผ่าเสวียนเซียวกง เมื่อรักษาหายแล้วข้าจะส่งพวกเขากลับไป”
“อีกฝ่ายยังเหลืออีกเท่าไหร่?” แบบนี้เขาถึงรู้ว่าตนเองควรทำเช่นไรต่อไป ถึงสามารถทำให้ทหารทั้งแสนนางอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล
เมื่อคืนวาน พวกเขาทั้งสามนอนหลับกันอย่างเต็มอิ่ม แต่เซวียนเส้าฉีนั้นต่อสู้มาตลอดทั้งคืน แถมตอนท้ายอีกฝ่ายยังโจมตีเข้ามา ซึ่งมันทำให้เซวียนเส้าฉีโกรธ ดังนั้นเซวียนเส้าฉีจึงทำการโจมตีกลับไป จากการต่อสู้เมื่อวาน อีกฝ่ายน่าจะเหลือกันอยู่ไม่มาก
“ประมาณห้าหมื่น” จากจำนวนนี้ มันคือตัวเลขพื้นฐานที่ยังไม่ชัดเจน
ในเวลาเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืน คนของฝ่ายตรงข้ามครึ่งหนึ่งถูกฆ่าตาย ต้องบอกว่าเผ่าเสวียนเซียวกงนั้นยิ่งใหญ่ และแน่นอนว่าเผ่าเสวียนเซียวกงเองก็ต้องจ่ายทหารกว่าเจ็ดพันคนที่บาดเจ็บล้มตาย
เหตุใดทหารของเผ่าเสวียนเซียวกงจึงได้รับบาดเจ็บมากกว่าทหารจำนวนสามหมื่นนายของเสด็จอาเก้า?
ง่ายมาก เซวียนเส้าฉีหยิ่งยโสและดื้อรั้นเกินไป แม้เสด็จอาเก้าจะมอบอำนาจในสั่งการทหารสามหมื่นนายให้เขา เขาก็ไม่มีทางทำเหมือนว่าทหารสามหมื่นนายเป็นผีไร้วิญญาณ หากทั้งสามหมื่นนายถูกกำจัดจนสิ้นซาก หรือว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส แบบนั้นก็เท่ากับว่าเขาไร้ความสามารถ
เซวียนเส้าฉีเป็นคนห่วงชื่อเสียงของตนเอง ต่อให้ตนเองต้องสูญเสียมากแค่ไหนก็ไม่มีทางยอมให้เสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงรู้ว่าเขาต้องสูญเสียไปมากแค่ไหนกับการต่อสู้ครั้งนี้
“ความสามารถในการต่อสู้ของเผ่าเสวียนเซียวกงนั้นช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน” เสด็จอาเก้ากล่าวออกไปอย่างไม่จริงใจ หากให้เปลี่ยนคำพูด กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขารู้สึกว่าเซวียนเส้าฉีนั้นโง่เกินไป
มีทหารสามหมื่นนายอยู่ในมือ แต่กลับยอมเสียผลประโยชน์ของตัวเอง ง่ายโง่เหลือเกิน