นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 759 ท่วงทีงดงาม จิวจิ่วช่างโหดร้าย
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 759 ท่วงทีงดงาม จิวจิ่วช่างโหดร้าย
ฮู้ว ฮู้ว……
ฟ้าเริ่มมืด ลมหนาวเริ่มพัดมา อุณหภูมิลดต่ำลง พื้นที่โล่งไร้ซึ่งที่กำบัง ยืนอยู่ตรงนี้ได้ไม่นาน ร่างของเขาจะกลายเเป็นน้ำแข็งแท่ง
แม้หวังจิ่นหลิงจะสวมเสื้อซึ่งทำจากหนังสัตว์ที่ให้ความอบอุ่นเป็นอย่างดี แต่เขาก็ไม่สามารถทนได้เมื่ออยู่ในทุ่งกว้างได้นานขนาดนั้น หวังจิ่นหลิงกระชับเสื้อหนังสัตว์บนร่างกายของเขา แต่ก็ยังไม่สามารถทนกับความหนาวเย็นได้
หวังจิ่นหลิงรู้สึกว่าทุกส่วนบนร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความเย็น โตมาจนอายุเท่านี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้จักคำว่าเย็นเข้ากระดูกคืออะไร อะไรที่เรียกว่าเย็นจนไร้ความรู้สึก
ริมฝีปากกลายเป็นสีม่วง ไม่มีสีเลือดบนใบหน้าของเขา นิ้วของเขาแข็งเล็กน้อย ประกอบกับกลิ่นเลือดที่รุนแรงลอยขึ้นรอบตัวเขา ทำให้หวังจิ่นหลิงเกิดความปรารถนาอันชั่วร้ายในใจ คิดจะหนีออกไป แต่ก็ไม่กล้าไปไหนไกล
หวังจิ่นหลิงมั่นใจเป็นอย่างมากว่าคนของเสด็จอาเก้าจะต้องควบคุมสายลับของเขาอยู่ หากไม่มีอะไรเกินความคาดหมาย สายลับของเขาน่าจะอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ หากเขาหนีออกไปไกล นั่นถึงจะเป็นอันตราย แม้บนร่างกายของเขาจะมีของที่สามารถป้องกันชีวิต แต่ตอนนี้เผ่าเสวียนเซียวกงกำลังเกิดสงคราม หากถูกคนลักพาตัวไป แบบนั้นคงน่าอับอาย
มันหนาวเกินกว่าจะทนได้ หวังจิ่นหลิงจึงตะโกนสาปแช่งออกมาอีกครั้ง “ตงหลิงจิ่ว เจ้ามันเลว อย่าให้ข้าเจอตัวเจ้า หากข้าไม่ทรมานเจ้าจนตาย อย่าเรียกข้าว่าหวังจิ่นหลิง”
เพื่อให้ร่างกายของตนเองอบอุ่น หวังจิ่นหลิงเดินไปเดินมาอยู่ที่เดิม และมองหาร่องรอยของสายลับของเขา
เขารู้ว่าการกระทำของเสด็จอาเก้านั้นมีความบันยะบันยัง เป็นบทเรียนหรือสั่งสอน แต่ไม่ใช่การเอาชีวิตของเขามาเล่นแบบนี้ เสด็จอาเก้าฉลาดมาก เขารู้ดีหากเสด็จอาเก้าทำให้เขาตายอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ เฟิ่งชิงเฉินจะต้องโกรธเขาจนตาย
เดินไปเดินมาหลายสิบรอบ ทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย และเมื่อท้องฟ้ามืดสนิท หวังจิ่นหลิงลูบท้องของเขาพร้อมแอบมองไปด้านหน้า
“เสด็จอาเก้า เจ้าช่างโหดร้ายเหลือเกิน ดึกขนาดนี้ยังไม่ยอมปล่อยให้คนของข้าออกมา เจ้าจะปล่อยให้ข้าหนาวตายไปแบบนี้หรืออย่างไร หรือว่าจะปล่อยให้ข้าหิวตาย?”
หวังจิ่นหลิงจงใจพูดเสียงดัง หวังว่าสายลับของเขาจะได้ยิน สุดท้ายไม่ทันรอให้สายลับตอบกลับมา แต่มีเสียงเกือบม้าดังขึ้นมาแทน
เพียงแค่ได้ยินเสียงเกือกม้าหวังจิ่นหลิงก็มั่นใจว่ามีคนจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ เพื่อไม่ให้ถูกฆ่า หวังจิ่นหลิงจึงหลบไปยืนด้านข้างรอให้คนกลุ่มนี้ผ่านไป
เขาไม่ได้กังวลเลยสักนิดว่าคนกลุ่มนี้จะเป็นมิตรหรือศัตรู หากเป็นศัตรูยิ่งดี เมื่อสายลับเห็นว่าเขามีอันตราย จะต้องออกมาปกป้องเขาอย่างแน่นอน เขาจะได้ไม่ต้องทนลมทนหนาวอยู่ในสถานที่บ้า ๆ แบบนี้อีกต่อไป
กุบกับ กุบกับ กุบกับ……เสียงเกือกม้าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ฝุ่นคลุ้งไปทั่วอากาศ หวังจิ่นหลิงขมวดคิ้วขึ้นมา รอให้คนกลุ่มนี้ผ่านไปเงียบ ๆ แต่คนกลุ่มนี้กลับมาหยุดอยู่ข้างกายของเขาโดยไม่คาดคิด
“ท่านผู้วิเศษ กลิ่นเลือดตรงนี้แรงมาก น่าจะเกิดการต่อสู้ขึ้นเมื่อไม่นานมานี้” ชายผิวดำควบม้ามาด้านหน้า พร้อมกับคบเพลิง
ด้วยแสงสลัวของไฟ หวังจิ่นหลิงมองเห็นว่าด้านหน้าสุดคือผู้หญิงซึ่งสวมชุดสีดำ ผู้หญิงคนนี้มีรูปลักษณ์อันงดงาม แต่ดูแล้วเป็นคนแข็งแกร่ง ไม่มีทางเป็นสตรีจากตระกูลผู้ดีอย่างแน่นอน
“ตรวจสอบสถานการณ์โดยรอบให้ชัดเจน หากไม่มีอะไรผิดปกติก็ออกเดินทางต่อ” เสียงของผู้หญิงดูเร่งรีบ และจากทิศทางดังกล่าว……
นอกจากเผ่าเสวียนเซียวกงแล้ว ก็ไม่มีที่อื่น
เป็นมิตรหรือศัตรู? จะเป็นตัวแปรสำคัญของสงครามครั้งนี้หรือไม่?
ไม่มีเวลาให้หวังจิ่นหลิงคิดมาก เขาถูกคนพบตัวในทันที “ท่านผู้วิเศษ มีคนอยู่”
คนที่พูดนั้นช่างตาถึงยิ่งนัก เห็นเสื้อผ้าที่หวังจิ่นหลิงสวมใส่นั้นดูไม่ธรรมดา เขาไม่กล้าล่วงเกินมากนัก เขายืนขวางอยู่ด้านหน้าของหวังจิ่นหลิง ไม่ปล่อยให้หวังจิ่นหลิงเคลื่อนไหวแต่อย่างใด
สายลับของตระกูลหวังเมื่อเห็นฉากนั้น พวกเขาไม่สนใจความเป็นความตายของตนเอง ไม่สนใจมีดที่จี้อยู่ตรงคอ ฝืนต่อจุดฝังเข็ม เตรียมตัวพุ่งไปยังด้านหน้าเพื่อปกป้องหวังจิ่นหลิง
แฮ่ม แฮ่ม….สายลับของเสด็จอาเก้าก็ไม่ใช่คนโง่ พวกเขาคลายการจับกุมสายลับของตระกูลหวังตั้งแต่แรก หลีกทางให้พวกเขาพุ่งออกไปจากความมืด ไปยืนอยู่ด้านหลังของหวังจิ่นหลิง
การปรากฏตัวของสายลับ ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ผู้หญิงสวมชุดดำและพรรคพวกของนางราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรู แต่ละคนลงมาจากหลังม้า ยืนเผชิญหน้ากับหวังจิ่นหลิง สายลับแต่ละคนนำมือไปจับอาวุธ พร้อมที่จะชักมันออกมาทุกเวลา
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพบเจอกันบนเส้นทาง แต่กลับทำให้บรรยากาศตึงเครียดถึงขนาดนี้ ผู้หญิงสวมชุดดำขมวดคิ้ว ก้าวออกมาพร้อมถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”
ลมหายใจที่อยู่เบื้องหลังทำให้หวังจิ่นหลิงรู้สึกแปลกเล็กน้อย แต่เขาก็เข้าใจได้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าของเขา เขาพูดชื่อของเขาโดยตรง “หวังจิ่นหลิง”
“หวังจิ่นหลิงคือใคร? ไม่รู้จัก” ผู้หญิงในชุดสีดำผงะ ตอบมาอย่างเย่อหยิ่ง
หวังจิ่นหลิงยิ้มออกไปอย่างไม่ใส่ใจ “แล้วแม่นางเป็นใคร?”
ไม่รู้จักเขา นั่นแสดงว่าแม่นางผู้นี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับสี่ประเทศและเมืองจิ่ว บนแผ่นดินจิ่วโจวอันยิ่งใหญ่ ใครก็ตามที่ต้องการเชื่อมต่อกับศูนย์กลางอำนาจ ไม่มีทางที่จะไม่รู้จักผู้นำแห่งตระกูลหวัง หวังจิ่นหลิง
“หลี่เสวียนเยวี่ย” ผู้หญิงในชุดสีดำจ้องมองหวังจิ่นหลิงด้วยความเย่อหยิ่ง นางกำลังรอให้หวังจิ่นหลิงพูดว่าไม่รู้จักนาง แต่คิดไม่ถึงว่าหวังจิ่นหลิงจะไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น
“หลี่เสวียนเยวี่ย? ผู้วิเศษแห่งเผ่าเสวียนเยวี่ย?” ในตอนที่เตรียมตัวเข้ามายุ่งกับเรื่องของเผ่าเสวียนเซียวกง หวังจิ่นหลิงได้สืบเรื่องของทุกคนในยุทธจักรที่อยู่ในนิกายเสวียนจื้อเป้ย
หุบเขาซวนยี เผ่าเสวียนเซียวกง เผ่าเสวียนเยวี่ย ศาลาเสวียนชิง เผ่าเสวียนเซียวกงพูดออกมาไม่ใช่หรือว่าเขาเองก็มีความสัมพันธ์หลายอย่างกับปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี แม้จะมีความสามารถ แต่เขาก็เป็นปรมาจารย์ที่มีทั้งด้านดีและด้านร้าย เขาชอบทำตัวแปลกประหลาด ฉลาดและน่าสนใจ ไม่เคยเผชิญหน้ากับใครโดยตรงมาก่อน
ส่วนเผ่าเสวียนเยวี่ย มันอยู่ที่เป่ยหลิง ตอนที่จักรพรรดิแห่งเป่ยหลิงได้ขึ้นครองบัลลังก์ ผู้นำเผ่าเสวียนเยวี่ยให้ความช่วยเหลือไม่น้อย เผ่าเสวียนเยวี่ยกับราชวงศ์แห่งเป่ยหลิงนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างมาก และหลี่เสวียนเยวี่ยก็เป็นหลานสาวสุดที่รักของผู้นำแห่งเผ่าเสวียนเยวี่ย
ศาลาเสวียนชิง ที่นั่นเป็นสถานที่แปลกประหลาดที่หนึ่ง มันตั้งอยู่บนแผ่นดินหนานหลิง เต็มไปด้วยความลับ และศิษย์ทุกคนของศาลาเสวียนชิงนั้นล้วนแต่เป็นหญิง แถมผู้หญิงแต่ละคนต่างเคยถูกผู้ชายทำร้าย การฝึกฝนของศาลาเสวียนชิงนั้นเรียกความแข็งแกร่งจากความเกลียดชังของหญิงที่มีต่อชาย ยิ่งเกลียดผู้ชายมากเท่าไหร่ ความแข็งแกร่งก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ผู้ก่อตั้งศาลาเสวียนชิงกล่าวกันว่าเป็นผู้หญิงที่ซื่อสัตย์จากตระกูลที่มีชื่อ นางชื่นชมศิษย์พี่ของนาง แต่ศิษย์พี่ของนางกลับตกหลุมรักน้องสาวของนางอย่างสุดหัวใจ ยอมสละทุกอย่างในยุทธจักรเพื่อน้องสาวของนางผู้นั้น ทำให้ความรักของนางกลายเป็นความเกลียดชัง ถูกปีศาจกลืนกินจิตใจ สุดท้ายพัฒนาเป็นความแข็งแกร่งและสร้างศาลาเสวียนชิงขึ้นมา
การเผชิญหน้ากับหลี่เสวียนเยวี่ยผู้นี้ สำหรับหวังจิ่นหลิงแล้ว เขารู้สึกดีกว่าการเผชิญหน้ากับเซวียนเส้าฉี ในเวลานี้ นำคนออกมามากมายขนาดนี้ มันอดไม่ได้ที่จะทำให้หวังจิ่นหลิงต้องคิดมาก
การปรากฏตัวของหลี่เสวียนเยวี่ยมันจะต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และการที่เสด็จอาเก้าเลือกเคลื่อนไหววันนี้ และล้มเลิกระหว่างทาง ราวกับว่ามันมีความหมายอันลึกซึ้ง……
เมื่อคิดถึงตรงนี้ แววตาที่หวังจิ่นหลิงหันไปมองหลี่เสวียนเยวี่ยก็ดูอ่อนโยนขึ้นมาก เขาเข้าใจแผนการของเสด็จอาเก้าแล้ว
ร้ายกาจเหลือเกิน เขาชอบมาก!
“เจ้ารู้จักข้า?” หลี่เสวียนเยวี่ยรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ตามเหตุผล นอกจากเป่ยหลิงก็น่าจะไม่มีใครรู้จักนาง ขนาดเซวียนเส้าฉียังรู้จักนางแค่เพียงผิวเผินเท่านั้น
ชายที่อยู่ตรงหน้าเป็นใคร? หลี่เสวียนเยวี่ยนำมือลงมาตรงเอว ซึ่งตรงนั้นมีอาวุธลับที่สามารถสังหารคนได้ทันที
แม้หวังจิ่นหลิงจะไม่มีทักษะการต่อสู้ แต่ลางสังหรณ์ในการสัมผัสถึงอันตรายของเขานั้นแข็งแกร่งมาก เขาค่อย ๆ ถอยไปด้านหลัง ซ่อนตัวเข้าไปในกลุ่มสายลับ พูดเป็นเล่น สำหรับโลกภายนอกเขาเป็นศัตรูกับเซวียนเส้าฉี ทำไมเขาถึงต้องรนหาที่ตาย
หวังจิ่นหลิงกล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน “แม่นางอย่าเพิ่งโกรธ ข้าแค่คาดเดาเท่านั้น ทุกคนต่างรู้จักสี่สำนักใหญ่แห่งยุทธจักรกันทั้งนั้น มีชื่อว่าเสวียนเยวี่ย น่าจะเป็นคนที่มาจากเผ่าเสวียนเยวี่ย ส่วนทำไมข้าถึงเดาว่าแม่นางเป็นผู้วิเศษแห่งเผ่าเสวียนเยวี่ย มันก็เป็นเพราะได้ยินลูกน้องข้างกายของเจ้าพูดออกมา”
หาเหตุผลที่สามารถหลีกเลี่ยงความตายได้อย่างหวุดหวิด มันช่างทำให้หวังจิ่นหลิงรู้สึกลำบากใจเสียจริง โชคดีที่หลี่เสวียนเยวี่ยนั้นไม่ได้มีจิตใจที่ละเอียดอ่อนจึงเชื่อในคำพูดของหลี่เสวียนเยวี่ย และยอมรามือจากเขา
“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าเป็นคนของเผ่าเสวียนเยวี่ย งั้นทำไมถึงยังไม่หลบทางให้ข้า พวกข้ากำลังรีบ” หลี่เสวียนเยวี่ยจ้องมองมายังหวังจิ่นหลิงเพื่อตรวจสอบดูว่าอีกฝ่ายไม่เป็นอันตราย จากนั้นก็ขี้เกียจเข้ามายุ่งเกี่ยว
“เชิญแม่นางเดินทางต่อ” สำหรับผู้หญิงแสนสวยที่มาให้ความช่วยเหลือเซวียนเส้าฉี หวังจิ่นหลิงไม่เพียงเกรงใจเท่านั้น แต่ยังหลบทางให้อย่างกระตือรือร้น ปล่อยให้หลี่เสวียนเยวี่ยขึ้นเขาไป
ยืนส่งพวกของหลี่เสวียนเยวี่ยอยู่ที่เดิม จนกระทั่งไม่เห็นเงาของพวกเขา หวังจิ่นหลิงจึงหันกลับมาด้วยความพอใจ สั่งให้สายลับค้นหาเส้นทาง เขาต้องการเดินทางไปยังซีหลิง
สายลับของตระกูลหวังเห็นว่าเจ้านายของพวกเขาไม่พูดถึงการละทิ้งหน้าที่ พวกเขานำมือขึ้นมาเช็ดเหงื่อ ไม่กล้าถามออกมาแม้แต่คำเดียว พวกเขารีบไปลากม้าของหวังจิ่นหลิง ขณะเดียวกันก็รีบหาอาหารร้อนให้หวังจิ่นหลิง
ทุกอย่างพร้อมแล้ว หวังจิ่นหลิงวางแผนจะออกเดินทางไล่ตามเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินภายในคืนนี้ กล้ามาปล่อยให้เขาต้องมาตากลมหนาวเช่นนี้ เขาไม่มีทางปล่อยให้ตงหลิงจิ่วมีความสุข
โดยไม่คาดคิด เมื่อเขาขึ้นไปบนหลังม้า สายลับของเสด็จอาเก้าซึ่งติดตามอยู่ด้านข้างมาโดยตลอดก็ปรากฏตัวออกมาด้านหน้าของรถม้าอย่างกะทันหัน กล่าวออกมาด้วยความเคารพว่า “องค์ชายใหญ่ ท่านอ๋องของพวกข้ารับสั่งไว้ หากองค์ชายใหญ่ไม่กลับตงหลิง ให้นำเรื่องที่พ่อของท่านกำลังเลือกภรรยาให้ท่านมาบอกกับท่าน”
พัฟ……
หวังจิ่นหลิงตกใจและเกือบจะตกจากหลังม้า “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
แต่งงาน? เขาเพิ่งจะออกเดินทางมาได้เดือนเดียว คนตระกูลหวังพวกนั้นกลับกล้ามาออกความคิดเห็นแทนเขา?
“องค์ชายใหญ่ ท่านฟังไม่ผิด พ่อของท่านกำลังเลือกภรรยาให้ท่าอยู่ หากท่านรีบกลับไปตงหลิง บางทีอาจจะยังพอมีเวลาปฏิเสธ” แววตาของสายลับนั้นจริงจังมาก เขาก้มหน้าลงไม่ยอมให้ใครเห็นการแสดงออกมาของเขา
เมื่อรู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดยังมีข้อกำหนดอย่างสมบูรณ์ หวังจิ่นหลิงสงบสติอารมณ์ กล่าวออกมาด้วยความเยือกเย็น “ข้ารู้แล้ว ฝากขอบคุณท่านอ๋องของเจ้าแทนข้าด้วย”
น้ำเสียงแห่งความจริงใจนี้ ไม่มีใครเชื่อว่าตอนนี้หวังจิ่นหลิงโกรธจนสามารถฆ่าคนได้ เมื่อนึกถึงการปรากฏตัวของหลี่เสวียนเยวี่ย หวังจิ่นหลิงสามารถมั่นใจได้ว่า เรื่องที่พ่อของเขากำลังเลือกคู่ครองให้ มันจะต้องเกี่ยวข้องกับเสด็จอาเก้าอย่างแน่นอน
ตงหลิงจิ่ว เจ้าช่างไร้ยางอายเหลือเกิน ใช้วิธีนี้เพื่อแก้ไขภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น ไม่คิดว่าเขากับเซวียนเส้าฉีเป็นคนพูดรู้ฟังบ้างหรือ
“องค์ชายใหญ่ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ ท่านอ๋องกล่าวไว้ว่าลูกชายคนโตมีหน้าที่จัดการตระกูลให้เป็นระเบียบ ปกครองประเทศ และนำความสงบสุขมาสู่โลก ถึงเวลาแล้วที่องค์ชายใหญ่จะต้องแต่งงานเพื่อมีทายาทสืบต่อไป” สายลับดูเหมือนจะไม่รู้ว่าหวังจิ่นหลิงกำลังโกรธ จึงตอบอย่างเคร่งขรึม
หวังจิ่นหลิงก็ไม่ได้โกรธอะไรสายลับผู้นี้เช่นกัน และในชั่วพริบตาหวังจิ่นหลิงก็มีปฏิกิริยาตอบโต้ รอยยิ้มปรากฏออกมาตรงมุมปากของเขา พูดกับสายลับว่า “ฝากไปบอกท่านอ๋องของพวกเจ้า ท่านอ๋องของพวกเจ้าก็ควรจะแต่งงานได้แล้ว หลังจากกลับมายังตงหลิง ข้าจะเขียนจดหมายในนามของราชวงศ์เพื่อขอให้จักรพรรดิเชิญฉู่ฉางฮว๋าจากแคว้นฉู่มายังตงหลิง จักรพรรดิน่าจะทรงมีความสุข ที่ได้ช่วยเหลือในการแต่งงานครั้งนี้”
พูดจบเขาก็ขี่ม้าออกไป ทิ้งสายลับของเสด็จอาเก้าซึ่งอยู่ในสภาพตกใจไว้เบื้องหลัง
เหล่าสายลับมองหน้ากัน พวกเขาต้องบอกกับเสด็จอาเก้าหรือไม่ ในตอนที่เสด็จอาเก้ากำลังวางแผนเรื่องการแต่งงานให้หวังจิ่นหลิง ที่จริงก็เป็นการสร้างปัญหาให้ตัวเอง เนื่องจากอายุของเขาเองก็ไม่น้อยแล้ว……