นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 777 ชั่วร้าย มากับข้าเสียโดยดี
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 777 ชั่วร้าย มากับข้าเสียโดยดี
โจ่วอันไม่ใช่คนที่ยอมใครง่าย ๆ และเขาก็ไม่ใช่คนงี่เง่าหรือไร้สมอง ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินคิดจะแสดงบทบาทของผู้น่าสงสาร ก็ต้องดูช่วงเวลาที่เหมาะสม ไม่อย่างนั้นโจ่วอันคงไม่มีทางยอมจำนน
เสด็จอาเก้ามาที่นี่ก็เพื่อช่วยเฟิ่งชิงเฉินจัดการกับโจ่วอัน แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตรงไปตรงมากับโจ่วอัน เผชิญหน้ากับโจ่วอันซึ่งกำลังโกรธเคือง เสด็จอาเก้าเลิกยุ่งและยั่วยุเขาอีกต่อไป มองไปที่เขาด้วยใบหน้านิ่งสงบ
เฟิ่งชิงเฉินปล่อยให้ชายรูปงามทั้งสองมองหน้ากัน จนกระทั่งมีเหงื่อเย็นไหลออกมาจากหน้าผากของโจ่วอัน นางถึงกล่าวกับเสด็จอาเก้าอย่างอ่อนโยนว่า “อย่าไปเถียงกับโจ่วอันเลย จากความกล้าหาญในการกระโดดหอคอยของเขาในวันนั้น ก็สามารถเห็นได้ว่า หลายปีที่ผ่านมาเขาไม่ได้สร้างของดีอะไรขึ้นมาได้เลย ทำเจ้าต้องใช้ระเบิดเทียนเหล่ยเพื่อทำลายสถานที่เก็บขยะของเขา มันคุ้มอย่างนั้นหรือ?”
ขยะ?
เมื่อได้ยินคำพูดของเฟิ่งชิงเฉิน โจ่วอันแทบกระอักเลือดออกมา อะไรที่เรียกว่าขยะ นั่นคือห้องลับที่เขาใช้เงินและน้ำพักน้ำแรงจำนวนมากในการสร้างมันขึ้นมา มันจะเป็นขยะไปได้อย่างไร
โจ่วอันคิดจะตะโกนอธิบายให้เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจ แต่เสด็จอาเก้ากลับพยักหน้าและกล่าวออกมาด้วยท่าทางเห็นด้วย “ที่พูดมามันก็มีเหตุผล”
โจ่วอันโกรธจนถึงขีดสุด ชี้ไปที่เสด็จอาเก้าและสาปแช่งออกมาว่า “มีเหตุผล? เหตุผลบ้าอะไรกัน ใครบอกว่าสิ่งที่ข้าสร้างขึ้นมานั้นเป็นขยะ ว่าวที่ใช้กระโดดหอคอยของข้าซ่อมแซมเป็นอันเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ข้าจะกระโดดให้พวกเจ้าได้ดู ครั้งนี้จะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน”
แม้โจ่วอันจะกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจ แต่สิ่งที่เผยออกมาให้เห็นในสายตาของเขาบ่งบอกว่าเขานั้นยังไม่มีความมั่นใจดังกล่าว
“สำเร็จ? เจ้าใช้ความสามารถของเจ้ากระโดดลงมา และเอาชีวิตรอดกลับมาได้ แบบนั้นเรียกความสำเร็จอย่างนั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินพูดเชิงล้อเล่น
“แน่นอนว่าไม่ เป้าหมายของข้าคือ ต่อให้คนทั่วไปกระโดดลงมาก็สามารถรอดชีวิตต่อไปได้” เมื่อพูดถึงอุดมคติ แสงจากดวงตาของโจ่วอันก็สามารถทำให้ดวงตาของคนทั่วไปพร่ามัวได้
เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าโจ่วอันกับปรมาจารย์บ้าบอแห่งหุบเขาซวนยีนั้นเหมือนกัน พวกเขาเป็นผู้คิดค้นแนวคิดใหม่ พวกเขาต้องการครอบครองหัวใจผู้คนโดยสิ่งซึ่งพวกเขาสร้างขึ้นมา
“โจ่วอัน ไม่ว่าว่าวของเจ้าจะใหญ่ขึ้นมากอีกสักแค่ไหน มันก็ไม่มีทางทำให้คนทั่วไปกระโดดลงมาโดยที่ยังมีชีวิตรอดต่อไปได้” เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจว่าโจ่วอันต้องการทำอะไร มันน่าจะเหมือนกับร่มชูชีพ
ใช้ว่าวขนาดใหญ่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ในตอนที่โจ่วอันสร้างมันขึ้นมา เขาไม่ได้คำนึงถึงวัสดุและปัญหาของแรงลม
เฟิ่งชิงเฉินเคยเห็นว่าวขนาดใหญ่ที่โจ่วอันสร้างขึ้นมา มันเป็นเพียงว่าวธรรมดา ไม่ได้เลือกวัสดุที่มีน้ำหนักเบาในการสร้าง และไม่ได้คำนึงถึงปัญหาเรื่องแรงลม ดังนั้นความล้มเหลวซึ่งเกิดขึ้นกับโจ่วอันมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“ตอนนี้ไม่ได้ก็ไม่ได้แปลว่าในอนาคตจะทำไม่ได้ มันจะต้องมีสักวันที่ข้าสามารถทำให้คนธรรมดาสร้างบินขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงได้ และตกลงมาโดยที่ยังมีชีวิตอยู่” นี่คือความพากเพียรของพวกคลั่งการวิจัย พวกเขาเชื่อมั่นในความคิดของพวกเขาและทำงานหนักเพื่อพิสูจน์มัน
“ในอนาคต? อนาคตที่ว่ามันอีกสักกี่ปี? เจ้าในตอนนั้นอาจจะผมหงอกและเดินไม่ได้?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้าเชื่อว่าวันนั้นจะมาถึงอีกในไม่ช้า” หัวใจของโจ่วอันเต็มไปด้วยความมั่นใจ เฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องการโจมตีเขา แต่เพื่อแผนการของตนเอง นางจำเป็นต้องพูดออกไปว่า “ก็จริงอยู่ว่ามันคงอีกไม่นาน ความคิดของเจ้า ข้าสามารถช่วยให้มันเป็นจริงได้ในตอนนี้เลย ข้าสามารถทำให้คนธรรมดาสามารถตกลงมาจากที่สูงได้โดยที่ยังมีชีวิตอยู่”
เฟิ่งชิงเฉินจ้องมองไปยังโจ่วอันพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความภูมิใจ รอการตอบสนองของเขา
เป็นอย่างที่เฟิ่งชิงเฉินคิด เมื่อโจ่วอันได้ยินคำพูดของเฟิ่งชิงเฉินก็ถึงกับอ้าปากค้าง แต่กลับส่ายหน้าและพูดออกมาว่า “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่เชื่อ ขนาดข้ายังไม่มีวิธี แล้วเจ้าจะมีวิธีได้อย่างไร”
“เชื่อไม่เชื่อ ลองดูก็รู้เอง พวกเราลองมาเดิมพันกันหน่อยเป็นไง?” เฟิ่งชิงเฉินยิ้มอย่างสดใส แต่ไม่สามารถซ่อนแววเจ้าเล่ห์ในดวงตาของนางได้
“เดิมพัน? เดิมพันอะไร? จะเดิมพันเช่นไร?” โจ่วอันติดกับในทันที
“เดิมพันว่าข้าจะกระโดดลงมาจากหอคอยเหวินเฟิงอย่างปลอดภัย หากข้าเป็นฝ่ายชนะ เจ้าจะต้องคืนปืนให้ข้า หากข้าแพ้ ปืนกระบอกนั้นจะตกเป็นของเจ้า” เฟิ่งชิงเฉินชี้ไปที่เศษชิ้นส่วนปืนที่กระจัดกระจายซึ่งถูกซ่อนไว้ด้านหลังของโจ่วอัน
โจ่วอันก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ ซ่อนเศษชิ้นส่วนปืนเหล่านั้นให้มิดชิดขึ้น “ไม่ได้ การเดิมพันนี้ไม่ยุติธรรม ปืนนี่คือสิ่งตอบแทนที่พวกเจ้ามาอาศัยอยู่ในบ้านของข้า มันควรจะเป็นของข้าอยู่แล้ว”
เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากเถียงกับโจ่วอัน นางพูดออกไปอย่างมั่นใจว่าโจ่วอันจะเป็นฝ่ายแพ้ “เอาเช่นนี้แล้วกัน หากข้าชนะ เจ้าคืนปืนให้ข้า หากข้าแพ้ ข้าจะช่วยซ่อมปืนให้เจ้า”
อย่าคิดว่าซ่อนไว้ด้านหลังแล้วนางจะไม่รู้ว่าโจ่วอันถอดชิ้นส่วนปืนของนางออกมาแล้ว
โจ่วอันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ได้”
“งั้นก็ตกลงกันเช่นนี้ หลังจากอาการบาดเจ็บของข้าหายดีแล้ว พวกเราจะไปที่หอคอยเหวินเฟิงกัน” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมาห้วน ๆ
ดังนั้นก่อนที่อาการบาดเจ็บของเฟิ่งชิงเฉินจะหายดี เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินก็สามารถพักอยู่ในบ้านของโจ่วอันได้อย่างสบายใจ เรื่องจากมีโจ่วอันเป็นผู้คุ้มกัน
เหล่าองครักษ์เสื้อแพรที่เฝ้าอยู่ข้างนอกกระวนกระวายมาก พวกเขาไม่เห็นใครออกมามากกว่าสิบวันแล้วหากพวกเขาไม่เห็นเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินออกมาทุกวัน พวกเขาคงสงสัยว่าสองคนนี้ได้จากไปแล้ว
เห็นศัตรูอยู่ตรงหน้าแต่กลับไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้ นี่มันเรื่องอะไรกัน ไม่รู้ว่าเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินประเมินโจ่วอันสูงไป หรือว่าดูถูกองครักษ์เสื้อแพรอย่างพวกเขากันแน่
คนขององครักษ์เสื้อแพรประมาณการว่าเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินตั้งใจหลบภัยอยู่ในบ้านของโจ่วอัน เฝ้าดูอยู่ด้านนอกมาสิบกว่านั้น ในที่สุดคนขององครักษ์เสื้อแพรก็ลงมือ
ในตอนเช้า จวนของอัครมหาเสนาบดีได้ส่งคนมาเชิญโจ่วอัน กล่าวว่าอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายคิดถึงโจ่วอัน โจ่วอันไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ไม่แม้แต่ฟังคำของอีกฝ่าย โยนอีกฝ่ายออกไปโดยตรง
วันต่อมา คนของจวนองค์หญิงจางได้มาเชื้อเชิญโจ่วอันอีกครั้ง ครั้งนี้โจ่วอันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตามอีกฝ่ายไปยังจวนองค์หญิงจาง เรื่องจากคนที่มาเชิญไม่ใช่ใคร นางคือผู้ที่คอยเลี้ยงดูเขาในวัยเด็ก
เมื่อโจ่วอันออกไปแล้ว แน่นอนว่าองครักษ์เสื้อแพรก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ คนขององครักษ์เสื้อแพรกว่าร้อยคนใช้กระบวนท่าเดียวกัน ล้อมบ้านของโจ่วอันเอาไว้อย่างหนาแน่น แต่……
“รายงานนายท่าน ไม่มีใครอยู่แล้ว”
“รายงานนายท่าน ไม่มีใครอยู่แล้ว”
……
เข้าไปเพื่อจับตัวคนซึ่งอยู่ด้านใน แต่ทั้งหมดกับทำไม่สำเร็จ องครักษ์เสื้อแพรลงทุนมากมายขนาดนี้ แต่กลับไม่พบแม้แต่ยุงตัวเดียว ทำให้ใบหน้าของผู้รับผิดชอบในภารกิจครั้งนี้น่าเกลียดยิ่งกว่ากินขี้เข้าไป
เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินที่ถูกองครักษ์เสื้อแพรจับตามองอย่างใกล้ชิด ตอนนี้พวกเขาอยู่ด้านบนของหอคอยเหวินเฟิงเพื่อรอให้โจ่วอันกลับมา ทั้งสองคนว่างจะเบื่อ ยืนอยู่จุดสูงสุดของหอคอยเหวินเฟิง มองดูทิวทัศน์ของซีหลิง
ลมด้านบนของหอคอยแรงมาก เสด็จอาเก้ากังวลว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเป็นหวัด จึงกอดนางไว้ในอ้อมแขน เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ เป็นเหมือนกับนกตัวน้อยที่เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเสด็จอาเก้า ชื่นชมทิวทัศน์ของซีหลิง และจดจำเค้าโครงของพระราชวังแห่งซีหลิง
ชั่วขณะหนึ่ง เฟิ่งชิงเฉินคิดว่าหากมีอุปกรณ์ซุ่มโจมตีอยู่บนหอคอยเหวินเฟิง มันง่ายมากที่จะจัดการกับอีกฝ่าย แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นได้เพียงแค่ความคิด ขนาด AK-47 นางยังไม่ได้นำติดตัวมาด้วย แล้วนับประสาอะไรกับปืนไรเฟิล
ทั้งสองคนนั่งรอโจ่วอัน ในตอนที่โจ่วอันมาถึงท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว เมื่อโจ่วอันเดินขึ้นมาก็เห็นเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินกำลังนั่งเอาหลังพิงกันอยู่ขอบด้านบนของหอคอย แค่ผลักลงไปเบา ๆ ก็สามารถทำให้ทั้งสองคนตกลงไปได้แล้ว
สองคนนี้ช่างกล้าเสียเหลือเกิน
พวกเขาไม่กลัวองครักษ์เสื้อแพรเลยหรือไง สถานที่แบบนี้ไม่เหมาะกับการตอบโต้เป็นอย่างยิ่ง
“แฮ่ม แฮ่ม……” ผ่านไปนาน โจ่วอันเห็นว่าทั้งสองคนยังคงไม่สนใจเขา โจ่วอันจึงกระแอมออกมา
เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินมองหน้ากันแล้วยิ้ม พวกเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าผู้ที่มาถึงคือโจ่วอัน ที่ไม่ส่งเสียงหรือทักทายก็เพื่อเป็นการทดสอบว่าโจ่วอันสามารถอดทนได้นานแค่ไหน ผลลัพธ์คือ……
โจ่วอันใช้ชีวิตสมกับชื่อเสียงของเขาในฐานะคนบ้าการวิจัย
เวลาใกล้จะหมดลงทุกที เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินไม่คิดจะแกล้งโจ่วอันอีกต่อไป พวกเขาลุกขึ้นและเดินมาหาโจ่วอัน เฟิ่งชิงเฉินยื่นกระเป๋าเล็ก ๆ ในมือของนางให้กับโจ่วอันพร้อมกล่าวว่า “เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้ากล่าวหาว่าข้าโกง พวกเรามาโดยไปด้วยกัน”
เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหนีไปด้วย……