นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 783 แหกคุก ศิษย์คือสมบัติอันล้ำค่าต่ออาจารย์
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 783 แหกคุก ศิษย์คือสมบัติอันล้ำค่าต่ออาจารย์
เมื่อนึกถึงความทรมานที่ซุนซือสิงจะได้รับจากองครักษ์เสื้อโลหิต เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกอยากจะสังหารอีกฝ่ายทันที เกลียดจนอย่าทำลายจวนซุ่นหนิงโหวและผู้ซึ่งอยู่เบื้องหลังให้สิ้นซาก
ในโลกนี้มีคนจำพวกหนึ่งชอบแสร้งทำเหมือนว่าตนเป็นพวกไร้เดียงสา แต่ในความเป็นจริงกลับเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม หลอกใช้ผู้อื่นและสร้างว่าตนเองเป็นผู้ยุติธรรม โดยคิดว่าสิ่งซึ่งตนเองทำลงไป จะมีคนเข้ามาช่วยปกปิด และมันจะไม่มีทางแพร่งพรายออกมา
อย่างที่ทุกคนรู้กันดี สวรรค์เห็นทุกอย่างที่มนุษย์เป็นคนทำ พระเจ้าไม่มีทางปล่อยให้พวกประพฤติชั่วหลุดลอดไปได้แม้แต่คนเดียว ใครก็ตามที่ใช้ชีวิตโดยการใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น ทำตัวเนียน ตอบโต้ออกมาอย่างชาญฉลาด หลังจากตายไปจะต้องตกนรกขุมที่ลงโทษโดยการตัดลิ้น
นรกขุมซึ่งลงโทษด้วยการตัดลิ้น ผู้คุมแดนนรกจะแหกปากของคนผู้นั้น ใช้คีมเหล็กหนีบลิ้น แล้วดึงออกมา แต่มันไม่ได้หลุดออกมาในคราวเดียว มันจะยืดยาวออกมาช้า ๆ จากนั้นใช้เหล็กแทงเข้าไป และสุดท้ายก็ไปอยู่บนต้นงิ้ว
นรกทั้งสิบแปดขุมมีไว้เพื่อทรมานเหล่าคนชั่ว ครั้งนี้เฟิ่งชิงเฉินจะต้องทำให้คนที่ทำร้ายซือสิงเข้าใจ ว่าอะไรสวรรค์กำลังมองการกระทำของมนุษย์อยู่นั้นมันหมายความว่าอย่างไร
หากไม่สอนบทเรียนให้ ไม่สอนให้คนผู้นั้นรับรู้ถึงความเจ็บปวด คนผู้นั้นก็คงไม่รู้จักความกลัว ไม่ช้าก็เร็วจะต้องทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก แถมยังไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายใด ๆ และได้ประโยชน์จากการใส่ร้ายผู้อื่นอยู่ฝ่ายเดียว
ทุกวันนี้มีโสเภณีอยู่มากมายที่ทำชั่วแต่อยากมีหน้ามีตา คุณหนูแห่งจวนซุ่นหนิงโหวอะไรนั่น กล้าใส่ร้ายว่าซือสิงข่มขืนนาง ทำไมถึงไม่ลองคิดกันว่า ด้วยคนรูปร่างและนิสัยแบบนาง จะอยู่ในสายตาของซือสิงได้อย่างไร
แววตาของเฟิ่งชิงเฉินเผยให้เห็นแสนอันชั่วร้าย ไม่นานจั่วอั้นสามารถสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน ร่างกายของจั่วอั้นเย็นเยือก มีความรู้สึกที่เหมือนได้พบหน้าอาจารย์อีกครั้ง
ปล่อยมันไป เขาไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องของเด็กคนนี้ จั่วอั้นเลิกอิจฉาซุนซือสิง พูดอย่างให้เกียรติเฟิ่งชิงเฉินว่า “จะใช้เงินจ้างให้ข้าช่วยเจ้าแหกคุกหรือไม่ แม้ข้าจะชำนาญเรื่องการฆ่า แต่แหกคุกก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ขอแค่เงินที่เจ้าจ่ายมากพอก็ไม่มีปัญหา”
ตอนนี้เขาเองก็อยากจะเห็นหน้าของคุณชายซุน คนที่เฟิ่งชิงเฉินให้ความสำคัญถึงขนาดนี้ อีกอย่างเขาก็อยากรู้ว่าคุณชายซุนที่ถูกขังไว้ในคุกของตงหลิงจะสามารถมีชีวิตรอดออกมาได้หรือไม่
เฟิ่งชิงเฉินหันมามองจั่วอั้นด้วยใบหน้าไม่พอใจ เพื่อเตือนอีกฝ่ายว่าอย่ามายุ่งไม่เข้าเรื่อง ลูบใบหน้า จากนั้นดึงแก้มของตนเอง เฟิ่งชิงเฉินกำลังเตือนสติตัวเองอยู่
“จั่วอั้น ตอนนี้ข้าไม่มีเวลามาคุยกับเจ้า และเรื่องนี้มันก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงขนาดต้องแหกคุก เจ้ารักษาตัวอยู่ในจวนเฟิ่งให้ดี ของที่เจ้าต้องการข้าจะสั่งให้คนหามาให้เร็วที่สุด ตอนนี้ข้าจะไปหาองครักษ์เสื้อโลหิตเพื่อช่วยคนของข้ากลับมา
ชุนฮุ่ย ชิวฮว่า พวกเจ้าช่วยดูแลคุณชายจั่วแทนข้าที จำเอาไว้ว่าคุณชายจั่วคือแขกคนสำคัญของจวนเฟิ่ง เขาเปรียบเสมือนข้าอีกคนหนึ่ง จำเอาไว้ว่าทุกอย่างจะมัวชักช้าไม่ได้ คุณชายจั่วต้องการอะไร ต้องทำให้เขาพอใจที่สุด จะทำอะไรก็ห้ามขวางเขาทั้งนั้น”
แม้จะบอกว่ามาถึงพระราชวังแล้ว นางไม่ต้องกังวลเรื่องมือสังหารจะมาลอบฆ่านาง แต่มีจั่วอั้นอยู่ก็เหมือนกับมียันต์ช่วยชีวิต นางต้องดูแลเขาคนนี้ให้ดีที่สุด
“รับทราบ” แม้ชุนฮุ่ยและชิวฮว่าจะไม่เข้าใจว่าทำไมเฟิ่งชิงเฉินจึงให้ความสำคัญกับชายหนุ่มผู้นี้มากถึงขนาดนี้ แต่พวกนางก็ฉลาดพอที่จะไม่ถาม รับคำสั่งด้วยความเคารพ
จั่วอั้นยักไหล่ จากนั้นกล่าวออกมาด้วยความเย่อหยิ่งว่า “แล้วแต่เจ้า หากต้องการอะไรก็มาหาข้า เห็นแก่มิตรภาพที่คุ้นเคย ข้าจะลดราคาให้บ้าง”
ความสุภาพของเฟิ่งชิงเฉินช่วยบรรเทาความไม่สบายใจของจั่วอั้นในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ในฐานะที่เหมือนกับเจ้าบ้านคนหนึ่ง จั่วอั้นแสดงท่าทางที่ตนเองไม่จำเป็นต้องเกรงใจออกมา
เกือบเที่ยงคืน มันเป็นเวลาที่ไม่เหมาะแก่การออกไปตามล่าผู้คน แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ยิ่งพาตัวของซือสิงกลับมาได้เร็วเท่าไหร่ นั้นถึงสามารถทำให้เฟิ่งชิงเฉินสบายใจได้
เฟิ่งชิงเฉินกลับห้องไปเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็หยิบปิ่นเฟิ่งที่นางจงใจใส่ไว้ในกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะออกมา รวมถึงป้ายคำสั่งซึ่งเสด็จอาเก้ามอบให้ ต้องการไปพาตัวคนของตนเองกลับมา สิ่งซึ่งแสดงถึงอำนาจถือเป็นสิ่งสำคัญ
ปิ่นเฟิ่งเป็นตัวแทนของฮองเฮา ป้ายคำสั่งเป็นตัวแทนของเสด็จอาเก้า ของสองสิ่งนี้เป็นตัวแทนในการเข้าพบกับจักรพรรดิ ดังนั้นเซี่ยหว่านและตงชิงจึงแนะนำให้เฟิ่งชิงเฉินไปเปลี่ยนเป็นชุดเครื่องแบบของพระชายาอ๋องเก้า เฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธออกไป นางสวมชุดของพระชายาก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็นพระชายา แค่มีปิ่นเฟิ่งกับป้ายคำสั่งก็เพียงพอแล้ว
รถม้าจอดรออยู่นอกจวน เฟิ่งชิงเฉินเดินขึ้นรถม้าภายใต้การพยุงของทงจือและทงเหยา เฟิ่งชิงเฉินนั่งด้วยความร้อนรน คนลากม้าไม่ทันรอคำสั่ง ก็ออกเดินทางทันที
เสียงกีบม้าเตะและเพลาหมุนไม่ดังมากนัก แต่ในค่ำคืนอันเงียบสงบ กลับได้ยินเสียงของมันอย่างชัดเจน เฟิ่งชิงเฉินหงุดหงิดเมื่อได้ยินเสียงของมัน ทำให้ความกังวลในใจของนางยิ่งมากขึ้นไปอีก
อยู่กับองครักษ์เสื้อโลหิตมาแล้วสามวัน ไม่รู้ว่าซือสิงจะมีสภาพอย่างไร หากองครักษ์เสื้อโลหิตทรมานซือสิงอย่างต่อเนื่อง แม้ซือสิงจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็คงไม่ต่างอะไรกับคนไร้ประโยชน์
การทรมานขององครักษ์เสื้อโลหิตนั้นถือเป็นการทรมานที่สมบูรณ์แบบ แม้นางจะไม่เคยถูกทรมานมาก่อน แต่เฟิ่งชิงเฉินก็รู้ดีว่าวิธีการทรมานเหล่านั้นนำมาใช้กับผู้คนอย่างไร
ทงจือและทงเหยาไม่กล้าพูดอะไรมาก คุกเข่าลงด้านข้างอย่างระมัดระวัง เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่คนที่ชอบระบายความโกรธกับสิ่งรอบข้าง เห็นท่าทางระมัดระวังของทงจือและทงเหยา นางถอนหายใจออกมา หลับตา ไม่ปล่อยให้ทั้งสองเห็นความไม่สบายใจในดวงตาของนาง
คนลากรถม้าเหมือนกับรู้ว่าเจ้านายของตนกำลังร้อนใจ เขาวิ่งไวกว่าปกติมาก ประกอบกับบนถนนไม่มีใคร รถม้าพุ่งตรงเป็นเส้นทางเดียว จึงทำให้เฟิ่งชิงเฉินมาถึงคุกขององครักษ์เสื้อโลหิตเร็วกว่าปกติสิบห้านาที
เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับคุกแห่งองครักษ์เสื้อโลหิต ลงมาจากรถม้า เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ให้ทงจือและทงเหยาตามลงมา นางเดินเข้าไปในคุกอันยิ่งใหญ่และเยือกเย็นขององครักษ์เสื้อโลหิตเพียงลำพัง
“คุกแห่งองครักษ์เสื้อโลหิต คนนอกไม่มีสิทธิ์เข้า” ห่างจากคุกประมาณร้อยก้าว องครักษ์เสื้อโลหิตก้าวออกมาด้านหน้าเพื่อขวางเฟิ่งชิงเฉินไว้
ทั่วทั้งร่างกายขององครักษ์เสื้อโลหิตปกคลุมไปด้วยสีเลือด รัศมีอันเยือกเย็นแผ่ออกจากร่างกาย ประกอบกับคุกลึกที่อยู่ข้างหลังเขา เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนทำให้น่าขนลุกและสยองขวัญอย่างสุดจะพรรณนา
คนทั่วไปเมื่อได้เห็นองครักษ์เสื้อโลหิตต่างตกใจจนใบหน้าซีดขาว ดวงตาทั้งสองแทบจะทะลักออกมา หากเป็นเด็ก เมื่อได้เห็นองครักษ์เสื้อโลหิต เด็กเหล่านั้นจะร้องไห้ออกมาทันที ทุกคนในพระราชวังตงหลิงต่างรู้จักพวกเขาในนามขององครักษ์เสื้อโลหิตผู้ชั่วร้าย
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฟิ่งชิงเฉินได้เห็นองครักษ์เสื้อโลหิต สำหรับนางแล้วพูดได้ว่าองครักษ์เสื้อโลหิตเป็นคนที่คุ้นเคย แต่สำหรับสองคนที่เฝ้าประตู เห็นได้ชัดว่าไม่รู้จักเฟิ่งชิงเฉิน
แต่ในความเป็นจริงก็ถือว่ารู้จัก แค่พวกเขาไม่กล้าปล่อยให้นางเข้าไป คุกแห่งองครักษ์เสื้อโลหิตไม่ใช่สถานที่ที่ใครก็สามารถเข้าไปได้ เรื่องนี้เฟิ่งชิงเฉินเองก็รู้ดี เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากทำให้องครักษ์ลำบากใจ นางนำป้ายคำสั่งของจวนอ๋องเก้าออกมาทันที “เสด็จอาเก้าทรงรับสั่ง ให้ข้าเข้าไปในคุกองครักษ์เสื้อโลหิตเพื่อพบนักโทษผู้หนึ่ง”
“ตุบ……” องครักษ์เสื้อโลหิตผู้สง่างามและเย่อหยิ่งเมื่อสักครู่คุกเข่าลงทันที กล่าวออกมาว่า “ข้าไม่ทราบว่าเป็นคำสั่งของเสด็จอาเก้า จึงอาจทำให้แม่นางขุ่นเคือง ไม่ทราบว่าแม่นางอยากพบนักโทษคนไหน”
“ข้าอยากพบซุนซือสิง หมอซุนที่ถูกฟ้องโดยจวนซุ่นหนิงโหว” เฟิ่งชิงเฉินไม่อ้อมค้อม พูดออกไปโดยตรง
ทันทีที่องครักษ์ทั้งสองได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของพวกเขาน่าเกลียดขึ้น “แม่นาง นี่มัน……”
“มีอะไร? ไม่ได้อย่างนั้นหรือ?” ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินเคร่งขรึม นางรู้ว่าแม้ไม่มีใครอยู่เบื้องหลังเรื่องราวในครั้งนี้ แต่ก็มีคนได้ประโยชน์จากซือสิง
“เรียนแม่นาง มีคำสั่งจากเบื้องบน นอกจากมีพระราชโองการลงมา ก็ห้ามมิให้ผู้ใดพบกับหมอซุน ขอแม่นางได้โปรดอย่าทำให้พวกข้าลำบากใจ”
องครักษ์ทั้งสองก้มหน้ามองเอวของตนเอง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมหลีกทางให้……