นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 795 ไร้ยางอาย เฟิ่งชิงเฉินไร้ยางอายยิ่งกว่าองครักษ์เสื้อสีโลหิตอีก
- Home
- นางสนมแพทย์อัจฉริยะ
- บทที่ 795 ไร้ยางอาย เฟิ่งชิงเฉินไร้ยางอายยิ่งกว่าองครักษ์เสื้อสีโลหิตอีก
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 795 ไร้ยางอาย เฟิ่งชิงเฉินไร้ยางอายยิ่งกว่าองครักษ์เสื้อสีโลหิตอีก
ตราประทับของเสด็จอาเก้าเทียบเท่ากับเสด็จอาเก้ามาด้วยตนเอง ศาลต้าหลี่กล้าดีอย่างไรที่ให้เฟิ่งชิงเฉินคุกเข่า
แน่นอนว่า สิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินกระทำนั้นไม่มากเกินไป นางมองหัวหน้ากองคดีอาชญากรรมอย่างเหยียดหยาม เจ้าหน้าที่ศาล รวมถึงขุนนางสายขวากระซิบกันเบา ๆ ว่า เฟิ่งชิงเฉินจะไม่ได้ชนะเพียงแค่ยกแรก แต่นางจะชนะในยกต่อ ๆ ไปด้วย
พวกเขาทั้งสองโกรธจนแทบจะกระอักเลือด แต่พวกเขาไม่อาจบังคับให้เฟิ่งชิงเฉินคุกเข่าลงได้ แต่ก็ไม่อยากให้เฟิ่งชิงเฉินมีท่างพึงพอใจ พวกเขาเหมือนนัดกันไว้แล้ว และพร้อมที่จะหันหลังกลับ
ศาลต้าหลี่พิจารณาตราประทับ และให้คนส่งคืนเฟิ่งชิงเฉิน เจ้าหน้าถือตราประทำเสด็จอาเก้าอย่าระมัดระวัง ในแววตาของเฟิ่งชิงเฉินเต็มไปด้วยความพอใจ จากนั้นนางก็นำตราประทับใส่ลงในกระเป๋าและถาม “ใต้ท้าว ข้าได้ยินว่าท่านส่งคนไปที่จวนเฟิ่งเพื่อเชิญข้ามาที่ศาล ไม่รู้ว่าเชิญมาด้วยเรื่องอะไร ข้าเฟิ่งชิงเฉินเป็นโจทก์ ใต้ท้าวให้คนไปนำตัวข้ามา จะไม่เกินไปหน่อยหรือ”
เฟิ่งชิงเฉินไม่ยอมรับความผิดที่องครักษ์เสื้อสีโลหิต และสิ่งที่จวนซุ่นหนิงก่อขึ้น และในขณะเดียวกันคำพูดของนางได้เตือศาลต้าหลี่แล้ว
ศาลต้าหลี่กระแอมเสียงเตือนเฟิ่งชิงเฉินให้ระวังเพราะนี่คือศาล เขาคือผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินคดี เฟิ่งชิงเฉินยิ้ม ก้มศีรษะเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่านางจะไม่ล้ำเส้น
บรรยากาศในห้องพิจารณาคดีกลับมาเป็นปกติ ศาลต้าหลี่ก็กลับมาเป็นปกติเช่นกัน และเริ่มได้พิจารณาคดี และคนแรกที่เขาถามก็คือเฟิ่งชิงเฉิน
เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของศาล ศาลต้าหลี่จึงถือค้อนไว้ในมือ และก่อนที่จะถามคำถาม เขาตั้งใจทุบค้อน จากนั้นจึงพูดด้วยใบหน้าที่เที่ยงธรรม “เฟิ่งชิงเฉิน องครักษ์เสื้อสีโลหิตบอกว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาเจ้าบุกรุกคุกเพื่อนำตัวซุนซื่อสิงออกไป มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือไม่ ?”
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางจึงส่ายหัวและปฏิเสธ “ไม่มีเรื่องเช่นนี้อย่างแน่นอน”
เฟิ่งชิงเฉินดูสงบราวกับว่านางไม่ได้ทำอะไรเลย
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย ไม่ได้ละเมิดกฎหมายอย่างแน่นอน นางคิดว่ากฎหมายเป็นแค่เรื่องไร้สาระ ถ้ากฎหมายควบคุมนางได้จริง ๆ นางคงตายไปนานแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินไม่ยอมรับว่านางบุกเข้าไปในคุกเพื่อชิงตัวผู้ต้องหาเมื่อคืนนี้ แล้วเมื่อคืนนี้นางอยู่ที่ไหน?
คำถามนี้ไม่ได้มีแต่ศาลต้าหลี่เท่านั้นที่อยากรู้ ตงหลิงจื่อลั่วและองค์ชายรองก็อยากรู้เช่นกัน
“เฟิ่งชิงเฉินเมื่อคืนไม่อยู่ที่จวน เจ้าไปไหน ? ทำไมวันนี้ไม่อยู่ที่จวน ? ” ศาลต้าหลี่กล่าวแล้วมองไปที่เฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินดูเขินอาย และนิ่งเงียบเป็นเวลานาน ราวกับว่านางไม่ต้องการตอบ
มีปัญหา
หัวใจของทุกคนเต้นราวกับฟ้าร้อง พวกเขามองไปที่เฟิ่งชิงเฉินทีละคน ศาลต้าหลี่รออย่างใจจดใจจ่อ กระตุ้นเธอครั้งแล้วครั้งเล่า เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ใต้ท้าว คำถามนี้ข้าต้องตอบหรือ ? ”
“แน่นอน……”
ก่อนที่ศาลต้าหลี่จะพูดจบ เขาก็ถูกหัวหน้ากองคดีอาชญกรรมแทรกขึ้น “เฟิ่งชิงเฉิน หยุดเสแสร้งที่นี่ เจ้าตอบคำถามนี้ไม่ได้เลยหรือ ? เมื่อคืนเจ้าพาคนรับใช้ไปชิงตัวที่จวนองครักษ์เสื้อสีโลหิต กำแพงคุกที่นั่นมีรอยแตกนั่นเป็นหลักฐานชั้นเยี่ยม”
หัวหน้ากองคดีอาชญากรรมชี้จุดด้วยความสั่นเทา
แต่กลับกลายเป็นว่าเฟิ่งชิงเฉินไร้ยางอายเกินกว่าที่นางจะปฏิเสธที่จะยอมรับว่าเขาทำสิ่งเลวร้าย และยังเทน้ำสกปรกใส่องครักษ์เสื้อสีโลหิต
ตั้งแต่ก่อตั้งองครักษ์เสื้อสีโลหิตมา พวกเขารังแก และราดน้ำสกปรกใส่ผู้คนเสมอ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาถูกรังแกและสาดน้ำสกปรก และองครักษ์เสื้อสีโลหิตรับไม่ได้
องครักษ์เสื้อสีโลหิตเป็นปรมาจารย์ในการเปลี่ยนขาวเป็นดำ และทำให้สิ่งต่าง ๆ กลายเป็นสิ่งผิด ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้มีคดีเท็จ และไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นกี่คดี พวกเขาสร้างข้อกล่าวหาอย่างไม่ยุติธรรม ใส่ร้ายคนที่พวกเขาต้องการใส่ร้าย และพูดอย่างไร้ยางอายเกี่ยวกับหลักฐานเท็จ……
เฟิ่งชิงเฉินไร้ยางอายยิ่งกว่าพวกเขา นางทะลวงเข้าไปในคุกและชิงนักโทษอย่างชัดเจน แต่ยังสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่านางไม่ได้ทำ
เฟิ่งชิงเฉินหน้าไม่แดงเลยแม้แต่น้อย พูดถึงความชั่วร้าย เฟิ่งชิงเฉินก็ไร้ยางอายและน่าเกลียดชัง
หัวหน้ากองคดีอาชญากรรมโกรธและเกลียดชังเฟิ่งชิงเฉินมาก นี่เป็นครั้งแรกที่คดีชององครักษ์เสื้อสีโลหิตถูกยกขึ้นมา
หากเขาสูญเสียองครักษ์เสื้อสีโลหิตไปจะเป็นอย่างไร ? ใต้ท้าวลู่กล่าวว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น องครักษ์เสื้อสีโลหิตจะต้องไม่ได้รับความเสียหาย ไม่ว่าวิธีการจะไร้ยางอายเพียงใด ก็ไม่สำคัญ กล่าวคือ องครักษ์เสื้อสีโลหิตจะแพ้ไม่ได้
องครักษ์เสื้อสีโลหิตแพ้ไม่ได้ และเฟิ่งชิงเฉินก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนางไม่มีวันยอมรับข้อกล่าวหาขององครักษ์เสื้อสีโลหิต
หัวหน้ากองคดีอาชญากรรม และเฟิ่งชิงเฉินพบกันในลักษณะนี้ และนิ้วที่ชี้ไปที่เฟิ่งชิงเฉิน นิ้วเขาสั่นมากขึ้นเรื่อย ๆ และกำลังจะชี้ไปที่จมูกของเฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินทำท่าทางขยะแขยง .ผัวะ..นางตบเสียงดัง เฟิ่งชิงเฉินมองนิ้วที่ชี้มาอย่างไม่เกรงกลัว “ข้าเกลียดคนที่ชี้นิ้วเป็นที่สุด ถ้ามีอีกครั้งข้าจะตัดนิ้วท่าน”
นี่ไม่ใช่เพราะเฟิ่งชิงเฉินจงใจทำให้ผู้คนหวาดกลัว แต่ความจริงคือนางเกลียดการถูกชี้นิ้ว ตอนเด็ก ๆ นางมักจะถูกชี้นิ้ว และดุว่าว่านางเป็นลูกนอกสมรส ที่ไม่มีใครต้องการ และเป็นเด็กป่าเถื่อน
และหัวหน้ากองผู้นี้ละเมิดข้อห้ามนี้ไป
“เจ้าจะทำร้ายข้าหรือ ? ” หัวหน้ากองคดีอาชญากรรมมองไปที่รอยแดงบนหลังมือของเขา และไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เฟิ่งชิงเฉินจะทำร้ายเขาต่อหน้าเขาต่อหน้าคนอื่น
“ข้าตีท่านแล้วอย่างไรกัน ท่านคิดว่านี่คือองครักษ์เสื้อสีโลหิตหรือ? ท่านได้รับอนุญาตให้รังแกประชาชน ? ใต้ท้าว หยุดใช้กลอุบายได้แล้ว มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่าน นี่คือศาลต้าหลี่ โปรดให้ความเคารพ
หัวหน้ากอง ไม่ใช่องครักษ์เสื้อสีโลหิตที่จะสารภาพผิดอย่างเชื่อฟัง แม้ว่าจะไม่ได้ก่ออาชญากรรม หากระบุว่าเป็นอาชญากรรมก็สามารถตัดสินโดยไม่รับพิจารณาคดี
“หัวหน้ากอง ไม่ว่าข้าจะก่ออาชญากรรมในศาลต้าหลี่ แต่มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำพูดของท่าน ถ้าข้าละเมิดกฎหมาย ข้ายอมรับไปแล้ว แต่ข้าไม่ได้ละเมิดศาลต้าหลี่จะไม่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล และจะไม่กล่าวหาคนดีอย่างองครักษ์เสื้อสีโลหิตอย่างผิด ๆ” เฟิ่งชองเฉินทิ้งท้ายไว้ ซึ่งทำให้หัวหน้ากองคดีอาชญากรรมตกตะลึง เขาไม่เข้าใจความหมายของเฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจสิ่งที่หัวหน้ากองกระทำ นางรู้ว่าสิ่งที่นางพูดไม่เพียงเหยียบย่ำองครักษ์เสื้อสีโลหิต แต่ยังยกย่องศาลต้าหลี่
ไม่ว่าศาลต้าหลี่จะเห็นด้วยกับคำพูดของนางหรือไม่ ? อย่างน้อยศาลต้าหลี่ก็ต้องแสดงท่าทียุติธรรมภายใต้คำพูดเหล่านี้ และไม่ยอมให้ใครมากัดนาง และไม่อาจมอบนางให้แก่องครักษ์เสื้อสีโลหิตได้…