นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 796 พยาน จวนอ๋องเก้าเป็นพยานได้
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 796 พยาน จวนอ๋องเก้าเป็นพยานได้
ขุนนางนางทั้งสามของศาลต้าหลี่สีหน้าดูไม่ได้ พวกเขาไม่ได้ถูกครอบงำโดยเฟิ่งชิงเฉิน พวกเขาเข้าใจเป็นอย่างดีว่าคำพูดนี้ของเฟิ่งชิงเฉินทำให้พวกเขาต้องแบกรับภาระมากมายแค่ไหน
หัวหน้าฝ่ายคดีอาญาใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเข้าใจคำพูดของเฟิ่งชิงเฉิน ตอนนั้นสีหน้าของเขาน่าเกลียดเป็นอย่างมาก ดวงตาแทบทะลักออกมา เขาดูเหมือนคนตาย หากมีเด็กมาเห็นคงรู้สึกหวาดกลัว
หัวหน้าฝ่ายคดีอาญาโกรธจนตัวสั่น ยกมือขึ้นชี้ไปทางเฟิ่งชิงเฉินอยู่หลายครั้งเหมือนต้องการสาปแช่ง แต่ทุกครั้งที่ยกมือขึ้นเขาก็ต้องเผชิญกับดวงตาอันแสนอาฆาตของเฟิ่งชิงเฉิน
เมื่อเห็นดวงตาแห่งความอาฆาตของเฟิ่งชิงเฉิน ถึงกับยกมือไม่ขึ้น หัวหน้าฝ่ายคดีอาญาพึมพำออกมาว่า “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้า เจ้า……”
หัวหน้าฝ่ายคดีอาญาเก่งเรื่องการทรมานผู้คน แต่เขาไม่เก่งเรื่องการต่อปากต่อคำ เพิ่งจะพูดขึ้นมา ก็ถูกเฟิ่งชิงเฉินขัดคำพูดอย่างไม่เกรงใจ “ข้าทำไมงั้นหรือ ท่านหัวหน้าฝ่ายคดีอาญาผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าคิดว่าข้าเป็นเหมือนองครักษ์เสื้อโลหิตของพวกเจ้าที่ชอบสร้างความวุ่นวายและใส่ร้ายผู้อื่นอย่างไร้เหตุผลงั้นหรือ ไม่ ข้าเฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้น สิ่งที่ข้าพูดออกมาไปเมื่อสักครู่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าสร้างขึ้นมาเอง แต่ทั้งหมดที่ข้าพูดออกไปล้วนเป็นความจริง และข้าได้เห็นมันด้วยตาของข้าเอง
ไม่ใช่แค่ข้าเท่านั้นที่เคยเข้าไปในองครักษ์เสื้อโลหิต แม่ของข้าก็เคยเข้าไปในองครักษ์เสื้อโลหิตด้วยเช่นกัน องครักษ์เสื้อโลหิตของพวกเจ้าน่ารังเกียจเพียงใด ข้าก็เห็นมาไม่น้อย หากให้พูดออกมา สามวันก็คงพูดไม่หมด
องครักษ์เสื้อโลหิตของพวกเจ้าเข้ารับตำแหน่งแต่กลับไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง ไม่เคยคิดจะลงโทษผู้ก่ออาชญากรรมโดยแท้ ร่วมมือกับขุนนางทุจริต กลั่นแกล้งคนดี รังแกประชาชน ไม่ถามถึงเรื่องราวหรือความเป็นมา ลงโทษผู้คนเหมือนผักปลา มันก็ไม่ต่างอะไรกับโจรในเครื่องแบบของตงหลิง อย่างพวกเจ้าเรียกว่ากบฏแผ่นดินยังน้อยไปด้วยซ้ำ!”
เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ พูดด้านมืดขององครักษ์เสื้อโลหิตออกมาอย่างไม่เกรงใจ นางไม่สนใจว่าองครักษ์เสื้อโลหิตจะคิดอย่างไร นางแค่ต้องการทำลายองครักษ์เสื้อโลหิตให้สิ้นซากเท่านั้น
“พูดถูก พูดถูก แม่นางเฟิ่งพูดถูก องครักษ์เสื้อโลหิตชอบรังแกประชาชนอย่างพวกเรา เห็นกันอยู่ว่ามีหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมการทำงานของขุนนาง แต่กลับไม่ควบคุม เอาแต่จับประชาชนอย่างพวกเรา” ที่นั่งด้านข้าง ชายชรารูปร่างเตี้ยในชุดคลุมผู้หนึ่งกล่าวออกมา มันเป็นเสียงที่ฟังดูไม่พอใจองครักษ์เสื้อโลหิตเป็นอย่างมาก
เมื่อมีผู้นำปรากฏตัวออกมา ประชาชนซึ่งเฝ้ามองเหตุการณ์นี้อยู่ก็มีความกล้าขึ้นมาทันตา แต่ละคนตะโกนให้กำลังใจเฟิ่งชิงเฉิน เห็นได้ชัดว่าในสายตาของประชาชน องครักษ์เสื้อโลหิตนั้นน่ารังเกียจแค่ไหน
บรรยากาศเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เพียงแค่คำพูดของคนเพียงคนเดียว ทำให้ประชาชนที่เหลือกล้าแสดงความคิดเห็นออกมา ทุกคนต่างสาปแช่งหัวหน้าฝ่ายคดีอาญาไม่รู้จบ
ตงหลิงจื่อลั่วและองค์ชายรองซึ่งซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดแอบชื่นชมเฟิ่งชิงเฉินที่วางแผนได้อย่างแนบเนียน ไม่เพียงแค่เตรียมข้อความในการกล่าวหา แต่ยังเตรียมพร้อมในด้านที่เหลือไว้ด้วย
มีคนเป็นผู้นำในการโห่ร้องด้านล่าง เพื่อให้ทุกคนยืนอยู่ข้างเฟิ่งชิงเฉิน ตราบใดที่เฟิ่งชิงเฉินแสดงหลักฐานการแก้ตัว ต่อให้องครักษ์เสื้อโลหิตแสดงหลักฐานที่ดีกว่า พิสูจน์สิ่งซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวานว่าเฟิ่งชิงเฉินนำตัวนักโทษออกไปจากเรือนจำก็ไม่มีทางที่ใครจะเชื่อพวกเขา เนื่องจาก……
องครักษ์เสื้อโลหิตเก่งในเรื่องการสร้างหลักฐานเพื่อทำร้ายคนดี หลักฐานที่องครักษ์เสื้อโลหิตนำออกมาไม่ว่าจะเป็นจริงหรือเท็จ ทั้งหมดจะถูกเฟิ่งชิงเฉินกำหนดว่ามันเป็นเท็จ ถึงเวลานั้นต่อให้มีพยานตัวบุคคลมาก็ตาม พวกเขาก็ไม่มีทางทำอะไรเฟิ่งชิงเฉินได้
ลึกล้ำ น่ากลัวเป็นอย่างมาก
หากไม่รู้ว่าเสด็จอาเก้าเข้าไปในพระราชวังเมื่อคืนวาน ตงหลิงจื่อลั่วคงคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้และเมื่อวานคงเป็นฝีมือของเสด็จอาเก้า
ตงหลิงจื่อลั่วแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินซึ่งเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวจะสามารถลงมือได้โหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ความลึกลับในหัวใจ การก้าวเดินของนางเพียงก้าวเดียวสามารถทำให้องครักษ์เสื้อโลหิตถูกย่ำยีและเสียเกียรติเป็นอย่างมาก
ตอนนี้นอกจากจะหาตัวของซุนซือสิงผู้นั้นเจอในจวนของเฟิ่งชิงเฉิน องครักษ์เสื้อโลหิตก็คงไม่มีทางทำอะไรเฟิ่งชิงเฉินได้ ไม่แน่ว่าหากเฟิ่งชิงเฉินบีบคั้นจนตัวตาย นางอาจจะบังคับให้องครักษ์เสื้อโลหิตส่งตัวประกันของนางออกมา
แล้วซุนซือสิงอยู่ที่ไหน?
ตงหลิงจื่อลั่วครุ่นคิด องครักษ์เสื้อโลหิตน่าจะกำลังตามหาคนผู้นี้อยู่ตั้งแต่แรก แต่จะหาเจอหรือไม่นั้น นี่แหละคือปัญหา
มองจากท่าทางอันดุดันของเฟิ่งชิงเฉิน ไม่ต้องคิดตงหลิงจื่อลั่วก็รู้ได้ทันทีว่า เฟิ่งชิงเฉินนำตัวซุนซือสิงไปซ่อนไว้อย่างมิดชิด หากองครักษ์เสื้อโลหิตต้องการตามหาเขา แน่นอนว่าต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก
ห้องพิพากษาเต็มไปด้วยความวุ่นวาย คนนั้นพูดคำ คนนี้พูดคำ เหมือนกับการโต้เถียงกันบนท้องถนน ใบหน้าของหัวหน้าศาลต้าหลี่น่าเกลียดกว่าเดิมมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอคดีแบบนี้ในรอบหลายปี ศาลไม่มีอำนาจในการควบคุม ไม่มีอำนาจในการตัดสินคดี
ในฐานะที่เป็นหัวหน้าศาลต้าหลี่ ขาถูกโจทก์และจำเลยลากออกไปเกี่ยวข้องครั้งแล้วครั้งเล่า เท่านี้ก็บ่งบอกได้แล้วว่าเขาไร้ความสามารถในฐานะหัวหน้าศาลต้าหลี่ หากจักรพรรดิทรงทราบ เขาก็คงได้ลงจากตำแหน่งนี้
“เงียบ ทุกคนเงียบ” หัวหน้าศาลต้าหลี่หยิบค้อนด้านข้างขึ้นมาเคาะอย่างรุนแรงสองครั้ง เสียงที่ดังขึ้นทำให้ความวุ่นวายในห้องพิจารณาคดีสงบลง
คนของศาลและประชาชนภายนอกต่างจับจ้องมายังเขา คิดในใจว่าคนผู้นี้จะตัดสินออกมาเช่นไร?
ถูกจ้องมองด้วยสายตาเหมือนอย่างเคย แต่ครั้งนี้หัวหน้าศาลต้าหลี่กลับรู้สึกว่าตนเองไร้ซึ่งอำนาจ ใบหน้าของเขาดูเฉยเมย ยุติสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่าง และทำการควบคุมการพิจารณาคดีของเฟิ่งชิงเฉินและองครักษ์เสื้อโลหิตต่อไปด้วยตนเอง
“เฟิ่งชิงเฉิน เมื่อวานตอนหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม เจ้าอยู่ที่ไหน?”
มองดูจากท่านทาง ดูเหมือนว่าเขากำลังดึงอำนาจในการควบคุมกลับไปอีกครั้ง เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่ได้อยากจะสร้างปัญหา นางจึงตอบออกไปอย่างให้ความร่วมมือ “ท่านใต้เท้า เมื่อวานข้าอยู่ที่ไหนมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของข้า มันไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นในองครักษ์เสื้อโลหิต แต่องครักษ์เสื้อโลหิตต้องการโยนความผิดให้ข้า ข้าจึงจำเป็นต้องตอบคำถามนี้”
นี่ไม่ใช่การใส่ร้าย แต่มันเป็นการทำร้าย มันอาจจะเหมือนเป็นการโยนความผิดหรือใส่ร้าย แต่แท้จริงแล้วนี่คือหายนะ หัวหน้าฝ่ายคดีอาญากล้าใช้ศีรษะของตนเองเป็นประกันว่าครั้งนี้องครักษ์เสื้อโลหิตของพวกเขาไม่ได้ทำผิดต่อเฟิ่งชิงเฉิน แต่เนื่องจากพวกเขาทำสิ่งเลวร้ายมากเกินไป ตอนนี้จึงไม่มีใครเชื่อพวกเขา
ผู้นำบางคนอยากจะกระโดดออกมาต่อว่าเฟิ่งชิงเฉินในคำพูดไร้สาระของนาง แต่กลับถูกหัวหน้าศาลต้าหลี่ดุด้วยสายตา ผู้นำเหล่านั้นรู้ว่าหัวหน้าศาลต้าหลี่อารมณ์ไม่ดี พวกเขาจึงไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการตัดสินคดี นั่งหุบปากเงียบ รอฟังคำตอบของเฟิ่งชิงเฉิน
เมื่อวานเฟิ่งชิงเฉินอยู่ที่ไหน?
ตงหลิงจื่อลั่วและองค์ชายรองเองก็อยากจะรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะใช้วิธีใดพิสูจน์ว่าเมื่อวานนี้ตนเองไม่ได้อยู่ที่องครักษ์เสื้อโลหิตในตอนที่มีคนบุกเข้าไปชิงตัวของนักโทษในเรือนจำ
พวกเขาคิดถึงเหตุผลนานัปการ แต่เหตุผลเดียวที่พวกเขาไม่คิดว่าเฟิ่งชิงเฉินจะใช้ก็คือ การแอบอ้างชื่อซึ่งทำให้เสื่อมเสีย
เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมา “เมื่อวานนี้ข้าอยู่กับเสด็จอาเก้า”
เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนใจกว้าง ไม่มีความละอายใจ ความความกังวลหรือความไม่สบายใจเลยแม้แต่น้อย ราวกับการที่นางอยู่กับเสด็จอาเก้าทั้งคืนเป็นเรื่องปกติ
“อยู่กับเสด็จอาเก้า?” หัวหน้าศาลต้าหลี่ตัวสั่น หัวหน้าฝ่ายคดีอาญาและจวนซุ่นหนิงโหวเองก็ตัวสั่นเช่นกัน เสด็จอาเก้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้อย่างไร
นำป้ายคำสั่งของเสด็จอาเก้ามาข่มขู่ก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่นี่กลับเอาเสด็จอาเก้าเข้ามาเกี่ยวข้อง เฟิ่งชิงเฉินทำเกินไปจริง ๆ
“ใช่ เมื่อคืนข้าอยู่กับเสด็จอาเก้า หลังจากนั้นเสด็จอาเก้ามีเรื่องทำให้ต้องกลับไปก่อน ข้าเหนื่อยจึงไม่อยากกลับจวน จึงพักอาศัยอยู่ที่จวนอ๋องเก้า เมื่อวานข้าอยู่ที่จวนอ๋องเก้าทั้งคืน ไม่ได้กลับจวนเฟิ่งและไม่ได้ออกไปไหน”
เฟิ่งชิงเฉินจงใจพูดกำกวม เมื่อเห็นความประหลาดใจของทุกคนเฟิ่งชิงเฉินก็ยิ้มออกมาแล้วพูดต่อว่า “ใต้เท้า วันนี้ตอนเช้าท่านก็ไปที่จวนเฟิ่งของข้าไม่ใช่หรือ เหตุผลที่ท่านไม่เจอข้านั่นเป็นเพราะตอนนั้นข้าอยู่ในจวนอ๋องเก้า ยังไม่ได้กลับจวนเฟิ่ง
เมื่อวานนี้ข้าเหนื่อยมาก วันนี้ข้าจึงตื่นสายกว่าปกติ ทำให้ใต้เท้าทุกท่านต้องรอนาน ชิงเฉินผิดไปแล้ว ส่วนเรื่องพยาน ทุกคนในจวนอ๋องเก้า รวมถึงเสด็จอาเก้าเองก็สามารถเป็นพยานให้ข้าได้ หากใต้เท้าไม่เชื่อก็ลองกลับไปถามที่จวนอ๋องเก้าดูได้”
เฟิ่งชิงเฉินพูดอย่างตรงไปตรงมา แต่ในคำพูดเหล่านั้นเต็มไปด้วยความสัมพันธ์ของชายหญิงที่ไม่ถูกต้องตามหลักประเพณี ใบหน้าของหัวหน้าศาลต้าหลี่และผู้พิพากษาด้านข้างอีกสองคนสั่นสะท้าน พวกเขาไม่รู้จะซักถามอย่างไรอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
ทำไมคดีนี้ถึงลึกลับมากขึ้นไปเรื่อย? ถึงตอนนี้พวกเขายังไม่ได้เบาะแสอะไรเลย สุดท้ายแล้วใครคือเหยื่อ และใครกันแน่ที่เป็นผู้ร้าย?