นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 806 เวลา อย่าดูถูกคำถามของเฟิ่งชิงเฉิน
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 806 เวลา อย่าดูถูกคำถามของเฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินไม่สนว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างไร นางแค่ทำให้สิ่งที่ตนเองต้องการ ทำในสิ่งที่ตนเองคิดว่าถูกต้อง เพื่อจัดการกับจวนซุ่นหนิงโหว ก่อนหน้านี้นางได้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี
หลังจากสมองได้ไตร่ตรองและเรียงลำดับของคำถามซึ่งจะถามออกมาเป็นอันเรียบร้อย เฟิ่งชิงเฉินจึงเริ่มถามออกมา “ทนายฉิง ขอถามว่าคดีนี้เกิดขึ้นตอนกี่โมง?”
“ประมาณเก้าโมงกว่า” ทนายฉิงตอบกลับไป
“เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ไหน ?”
“ในห้องส่วนตัวของคุณหนูลิ่ว”
“ปีนี้คุณหนูลิ่วอายุเท่าไหร่?”
“16 ปี”
“จวนของพวกเจ้า มีตำหนักของคุณหนูอยู่ทั้งหมดกี่หลัง พวกนางได้อยู่ด้วยกันหรือไม่?” เฟิ่งชิงเฉินถามออกไปทั้งที่รู้ โดยพื้นฐานแล้วคุณหนูของตระกูลที่ร่ำรวยจะไม่อาศัยอยู่ด้วยกัน แต่พวกเขาจะอาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน
“ในจวนมีคุณหนูอยู่ทั้งหมดห้าท่าน พวกนางแยกกันอยู่ แต่ว่าอาศัยอยู่ใกล้กันมาก” ทนายฉิงตอบกลับมามากกว่าสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินถาม เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เฟิ่งชิงเฉินถามเพิ่ม แต่เขาไม่รู้ว่ามันคือสิ่งไม่จำเป็น
“คุณหนูในจวนของพวกเจ้า คนรับใช้จัดลำดับการปรนนิบัติอย่างไร?”
“คุณหนูทุกท่านล้วนมีแม่นมอยู่ด้วยหนึ่งคน และหัวหน้าสาวใช้สองคน สาวใช้ธรรมดาแปดคน และสาวใช้ที่ทำงานทั่วไปอีกสิบคน” นี่เป็นข้อมูลทั่วไป ทนายฉิงรับรู้มันเป็นอย่างดี ดูเหมือนว่าเขาเองก็เตรียมตัวมาไม่น้อย
แต่ทนายฉิงกลับลืมไปว่าเขามาที่นี่เพื่อฟ้องร้องเฟิ่งชิงเฉิน ไม่ใช่ถูกเฟิ่งชิงเฉินฟ้องร้อง
“นี่ก็แสดงว่ารอบตัวคุณหนูลิ่วของพวกเจ้ามีคนรับใช้คอยดูแลถึงยี่สิบเอ็ดคนเลยใช่ไหม?” เฟิ่งชิงเฉินคิดว่าตนเองก็ไม่ธรรมดา แต่ทั้งจวนเฟิ่งของนางก็มีคนรับใช้อยู่เพียงยี่สิบคนเท่านั้น
“ใช่” ทนายฉิงยังสังเกตไม่เห็นถึงความผิดปกติ เขาแค่รู้สึกรำคาญ คำถามง่าย ๆ แบบนี้เห็นได้ชัดว่ามันไม่เพียงพอต่อความสามารถของเขา
คำถามที่เฟิ่งชิงเฉินถามออกมาเหล่านี้มันไม่เกี่ยวข้องกับคดี แต่ผู้พิพากษาทั้งสามไม่ได้พูดอะไร แล้วเขาจะไปทำอะไรได้ เขาก็ทำได้เพียงตอบคำถามถามอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น
“คุณหนูลิ่วของพวกเจ้าเป็นที่รักใคร่ในจวนหรือไม่?” ความอยากรู้อยากเห็นของเฟิ่งชิงเฉินในตอนนี้เหมือนกับผู้พิพากษาทั้งสามในเมื่อสักครู่มาก แม้แต่ผู้พิพากษาทั้งสามเองก็ยังสงสัยว่าเฟิ่งชิงเฉินต้องการทำอะไร แต่หลังจากได้รับสายตาแจ้งเตือนของตี๋ตงหมิง พวกเขาก็เพิกเฉยและปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินทำตามความต้องการของนางอย่างเต็มที่
“การชื่นชมความสนุกก็ต้องใช้จิตวิญญาณในการชื่นชม จะเข้าไปรบกวนผู้แสดงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเสด็จอาเก้าคงไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่” ตี๋ตงหมิงพูดในใจ
ไม่มีใครคอยให้การสนับสนุน ทนายฉิงจึงทำได้เพียงตอบคำถามออกมาแต่โดยดี “คุณหนูลิ่วเป็นคนมีพรสวรรค์มาก ฮูหยินชื่นชอบนางเป็นอย่างมาก”
ในความเป็นจริงเขาไม่เคยเห็นคุณหนูลิ่วมาก่อน แต่ก่อนหน้านี้เขาได้พูดคุยกับทางจวนโหวไว้เป็นอย่างดี บอกว่าคุณหนูลิ่วเป็นคนดี แบบนั้นถึงสามารถทำให้คนเชื่อได้ว่าซุนซือสิงเป็นคนข่มขืนนาง
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า บ่งบอกว่าตนเองเข้าใจ เลิกถามเกี่ยวกับเรื่องของคุณหนูลิ่ว แต่หันไปถามเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ สลับกับถามเกี่ยวกับว่าซุนซือสิงเข้าไปในจวนเมื่อไหร่ เข้าไปรักษาผู้ป่วยในจวนตอนไหน และออกมาจากตำหนักของผู้ป่วยตอนไหน รวมถึงออกมาจากจวนซุ่นหนิงโหวตอนไหนด้วย ถูกส่งไปให้กับองครักษ์เสื้อโลหิตเมื่อไหร่ ให้อีกฝ่ายบอกเวลามาอย่างชัดเจน
ชุดคำถามนี้ของเฟิ่งชิงเฉินถูกยิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นถึงด้านที่ดุร้ายและแหลมคมของนาง และในตอนนี้ทนายฉิงถึงตระหนักได้ว่าที่ผ่านมาตนเองประมาทเกินไป
แต่อารมณ์ที่ผ่อนคลายไม่สามารถย้อนกลับมาได้ในชั่วพริบตา ประกอบกับคำถามของเฟิ่งชิงเฉินที่มีความเกี่ยวข้องกับเวลา และบางคำถามก็ไม่มีประโยชน์ ทุกคำถามของนางสามารถตอบออกไปได้โดยไม่ต้องคิดอะไร
และจากคำถามพวกนี้ ทนายฉิงเห็นว่ามันไม่มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด ประกอบกับคำถามที่ไม่เรียงลำดับเวลาของเฟิ่งชิงเฉิน ราวกับคิดได้ก็ถามออกมา คุณหนูลิ่วรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไร หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง เขาสามารถตอบทุกคำถามได้อย่างชัดเจน ทำให้ทนายฉิงแอบรู้สึกดีใจ
เห็นแล้วหรือยัง ด้วยสายอาชีพที่แตกต่างกัน คิดจะหาคำตอบจากปากของเขา บอกเลยว่ายาก
ตอนแรกคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินจะใช้โอกาสในการตั้งคำถามเพื่อโจมตี คิดไม่ถึงเลยว่าเฟิ่งชิงเฉินจะกัดไม่ยอมปล่อย หลังจากยิงชุดคำถามออกมาเรียบร้อย เฟิ่งชิงเฉินเก็บความเฉียบคมของนาง และถามออกมาด้วยความอ่อนโยนว่า “ตอนนั้นมีใครอยู่ในเหตุการณ์บ้าง?”
ทนายฉิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตอบกลับไปอย่างรวดเร็วว่า “ตอนที่เกิดเหตุ มีคุณหนูลิ่ว สาวใช้ แม่นม โดยมีเด็กรับใช้เป็นผู้นำทาง ทุกคนในจวนสามารถเป็นพยานได้”
“ซุนซือสิงเดินทางไปยังตำหนักด้านหลัง ทำไมถึงมีหนุ่มรับใช้เป็นผู้นำทางไป?” เฟิ่งชิงเฉินถามออกมาต่อ
ทนายฉิงเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี เขาตอบกลับไปว่า “คุณหนูลิ่วรู้สึกไม่สบาย อยากให้ซุนซือสิงเข้าไปทำการรักษา หนุ่มรับใช้ได้รับอนุญาตจากพ่อบ้านให้พาซุนซือสิงไปยังตำหนักด้านใน เพื่อเตรียมการรักษาให้คุณหนูลิ่ว แม้ว่าจะเป็นตำหนักภายใน แต่เนื่องจากมีหมอเข้ามา นี่มันก็ไม่ใช่เรื่องไม่เหมาะสมแต่อย่างใด จวนโหวของพวกเราเชื่อในตัวของซุนซือสิง แต่ก็ไม่อยากให้ซุนซือสิงทำเรื่องที่ผิดต่อศีลธรรมหรือผิดต่อพระเจ้า”
สุดท้ายเขาก็ไม่ลืมที่จะใส่ความซุนซือสิง แต่น่าเสียดายที่เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รู้สึกโกรธเลยแม้แต่น้อย “ขอบคุณมาก ข้าถามเสร็จแล้ว”
เฟิ่งชิงเฉินหันไปยิ้มให้ทนายฉิงเพื่อแสดงความขอบคุณ เฟิ่งชิงเฉินถามคำถามเสร็จเรียบร้อย ผู้ช่วยของศาลก็บันทึกคำให้การเป็นอันเรียบร้อย ในขณะเดียวกันทนายซ่งเองก็บันทึกทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเช่นกัน ในบันทึกของเขามีทุกคำถามของเฟิ่งชิงเฉินอยู่ และสิ่งที่วิเศษไปกว่านั้นคือ ทั้งหมดถูกไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ไว้หมดแล้ว……
นี่มันพรสวรรค์
เฟิ่งชิงเฉินอดไม่ได้ที่ชื่นชม ทนายซ่งผู้นี้นอกจากเรื่องที่ไร้ยางอายไม่มากพอ เรื่องอื่นเขาสมบูรณ์แบบไปหมด โดยเฉพาะเรื่องการจดบันทึกในเวลาสำคัญเช่นนี้ เขาสามารถทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เฟิ่งชิงเฉินหันมาพยักหน้าให้ทนายซ่งเพื่อแสดงความชื่นชม จากนั้นหันไปทำความเคารพผู้พิพากษาทั้งสาม เมื่อผู้พิพากษาทั้งสามมองมา เฟิ่งชิงเฉินก็กล่าวออกมาว่า “ใต้เท้า คำถามที่ชิงเฉินถามออกมาเมื่อสักครู่ ใต้เท้าเองก็คงจะได้ยิน ข้างกายของคุณหนูลิ่วแห่งจวนซุ่นหนิงโหวมีผู้รับใช้อยู่มากกว่ายี่สิบคน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากมีซุนซือสิงและคุณหนูลิ่วอยู่ในเหตุการณ์แล้ว อย่างน้อยยังมีคนนอกอีกสามคนอยู่ด้วย หากซุนซือสิงคิดจะลงมือ เขาต้องจัดการกับทั้งสามคนนั้นก่อนถึงจะสามารถลงมือได้
นอกจากนี้ผู้หญิงทั่วไปจะไม่ออกไปยังตำหนักหรือลานด้านหน้า เช่นเดียวกัน ผู้ชายก็ไม่มีทางเข้าในตำหนักด้านใน ต่อให้หมอเทวดาน้อยซุนไปรักษาอาการป่วยของคุณหนูลิ่ว จวนซุ่นหนิงโหวก็ไม่ควรให้เข้าเข้าไปรักษาที่ตำหนักด้านใน เพราะเห็นได้ชัดว่ามันเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก
สุดท้ายเชื่อว่าใต้เท้าทั้งสามคงจะได้ยินที่ทนายฉิงพูดว่า เนื่องจากมีหนุ่มรับใช้ของจวนซุ่นหนิงโหวนำทางเข้าไป ประกอบกับสาวใช้และแม่นมของคุณหนูลิ่ว หากนำตัวของพ่อบ้านแห่งจวนซุ่นหนิงโหวมาสอบสวน ชิงเฉินเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า นี่จะต้องเป็นแผนของจวนซุ่นหนิงโหวที่สร้างขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายหมอเทวดาน้อยซุน”
“บังอาจ แม่นางเฟิ่ง เจ้าไม่มีหลักฐานหรือพยาน เจ้ามีสิทธิ์อะไรมากล่าวหาว่าจวนซุ่นหนิงโหวใส่ร้ายซุนซือสิง เจ้าก็รู้อยู่ว่าจวนซุ่นหนิงโหวของพวกข้าสูญเสียคุณหนูไปหนึ่งท่าน แต่เจ้ายังกลับมาทำให้ชื่อเสียงของจวนซุ่นหนิงโหวต้องเสื่อมเสีย” ชายผู้ซึ่งสวมชุดคลุมสีน้ำตาลผู้หนึ่งก้าวออกมาจากฝูงชน ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและอวดดี แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคุณชายจากตระกูลไหน
เฟิ่งชิงเฉินถามออกไปทั้งที่รู้ “คุณชายผู้นี้เป็นใคร? ดูเหมือนว่าใต้เท้าไม่ได้อนุญาตให้เขาเข้ามาเป็นพยานในศาล”
เฟิ่งชิงเฉินกำลังบอกว่าอีกฝ่ายสร้างความวุ่นวายให้กับการตัดสินของศาล ชายผู้นั้นไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นจึงสารภาพผิดต่อผู้พิพากษาทั้งสาม “ใต้เท้าทั้งสามโปรดยกโทษให้ข้า ข้าคือเฉินอี้แห่งจวนซุ่นหนิงโหว ข้าได้ยินแม่นางเฟิ่งกล่าวหาจวนซุ่นหนิงโหวของข้าโดยไม่มีหลักฐาน มันทำให้ข้ากระวนกระวายใจ ทนไม่ไหวจนต้องออกมาพูด หากมีความผิดประการใด ขอให้ผู้พิพากษาทั้งสามลงโทษข้า”
“ที่แท้ก็เป็นคุณชายของจวนโหว ไม่ทราบว่าคุณชายเฉินออกหน้ามาเพื่อจวนซุ่นหนิงโหวหรือว่าออกหน้ามาเพื่อตนเอง?” หัวหน้าศาลต้าหลี่ไม่เห็นจวนซุ่นหนิงโหวอยู่ในสายตา หัวหน้าศาลต้าหลี่ไม่ได้น่ากลัวเหมือนกับองครักษ์เสื้อโลหิต ประกอบกับมีตี๋ตงหมิงอยู่ด้วย แน่นอนว่าเขาต้องเข้าข้างเฟิ่งชิงเฉิน
เฉินอี้ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เขาพูดออกมาต่อหน้าศาลว่า “ใต้เท้า แน่นอนว่าข้าทำเพื่อจวนซุ่นหนิงโหว ไม่ทราบว่าใต้เท้าจะอนุญาตให้ข้าพูดอะไรสักสองสามประโยคหรือไม่”
จวนซุ่นหนิงโหวส่งคนมาจับตาดูการตัดสินคดี เฉินอี้ก็รออยู่ที่โรงน้ำชาซึ่งอยู่ไม่ไกล เมื่อได้ยินว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังโจมตีจวนซุ่นหนิงโหวก็ทำให้เขานึกถึงองครักษ์เสื้อโลหิตที่พ่ายแพ้ คุณชายเฉินจึงพาตัวหนุ่มรับใช้มาที่นี่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับให้ความช่วยเหลือ
“อนุญาต” แม้หัวหน้าศาลต้าหลี่จะไม่พอใจคนผู้นี้ที่ก้าวเข้ามาในศาลโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่เนื่องจากตี๋ตงหมิงเองก็เข้ามาด้วยกรณีเดียวกัน เขาจึงพูดอะไรมากไม่ได้ ทำได้เพียงปล่อยคุณชายของจวนซุ่นหนิงโหวไปตามน้ำ……