นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 811 ข้าแพ้แล้ว เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจผิด
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 811 ข้าแพ้แล้ว เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจผิด
เผชิญหน้ากับเฟิ่งชิงเฉินที่เต็มไปด้วยความคับข้องใจ เขาจะไปทำอะไรได้? เขายังสามารถโกรธเฟิ่งชิงเฉินได้อีกหรือไม่? เขายังสามารถโทษเฟิ่งชิงเฉินที่ทำเรื่องอย่างหยิ่งผยองได้อีกหรือไม่?
ทำไม่ได้ ดังนั้น……
เฟิ่งชิงเฉิน ข้าแพ้เจ้าแล้ว!
ความเยือกเย็นบนร่างกายของเสด็จอาเก้าหายไปทันที เดินมาจากอีกฝั่งหนึ่งของห้องหนังสือ ยื่นมือออกไปดึงเฟิ่งชิงเฉินไว้ในอ้อมกอด ในขณะเดียวกันก็ใช้แรงจากฝ่ามือ ทำให้ลมพัดประตูห้องหนังสือให้ปิดลง
เฮ้อ……หนาวเหน็บมาตั้งนาน สุดท้ายเมื่อการแสดงจะเริ่มขึ้น พวกเขากลับมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น สายลับรู้สึกเจ็บปวด เก็บสายตาที่เฝ้ารอของพวกเขากลับมา ตรวจสอบไปรอบด้านอย่างละเอียดว่าไม่มีใครบุกเข้ามา
มองไปยังมือทั้งสองข้างที่อยู่บนอกของเขา เฟิ่งชิงเฉินที่ไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้ เสด็จอาเก้าถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เขาพ่ายแพ้ให้กับเฟิ่งชิงเฉินผู้นี้จริง ๆ เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่กลับถูกมองว่าเป็นคนไม่ดีไปเสียอย่างนั้น
ช่างมันเถอะ เป็นเพราะความต้องการของเขามากเกินไป แม้จะบอกว่าเรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินบุกเข้าไปในคุกจะเป็นเรื่องที่หุนหันพลันแล่นเกินไป แต่ทุกอย่างก็จบลงได้ด้วยดี และเป็นเพราะความโชคดีของนางที่ทำให้ไม่เกิดเรื่องยุ่งเหยิงขึ้นภายหลัง
ช่างมัน ช่างมันไปแล้วกัน เฟิ่งชิงเฉินทำได้ดีมากแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากใครได้สักเท่าไหร่ เฟิ่งชิงเฉินสามารถทำได้ถึงเพียงนี้ มันก็เกินความคาดหมายของเขามากแล้ว ทุกอย่างเป็นเพราะเขารุนแรงเกินไป
“เอาละ พอได้แล้ว เก็บท่าทางของสาวน้อยผู้อ่อนแอนั้นไปได้แล้ว ข้ายังไม่ได้ว่าอะไรเจ้าสักคำ เจ้าจะทำท่าทางแบบนั้นออกมาให้ใครตกใจ” เสด็จอาเก้าลูบศีรษะของเฟิ่งชิงเฉิน ปลอบโยนเฟิ่งชิงเฉินอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
ทำให้ใครตกใจ? แน่นอนว่าเป็นเจ้า
เฟิ่งชิงเฉินแนบใบหน้าของนางไว้บนหน้าอกของเสด็จอาเก้า ขยับใบหน้าเล็กน้อย นางแอบเกลียดตนเองอยู่ในใจที่ไม่ได้ร้องไห้และมีน้ำมูกออกมา ไม่อย่างนั้นนางคงสะใจมากกว่านี้
เฟิ่งชิงเฉินอยู่ในอ้อมกอดของเสด็จอาเก้า กล่าวออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “วันนี้ข้าทั้งกลัวทั้งกังวล ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลับมาได้ ทันทีที่เข้ามา เจ้าก็จะมาดุด่าว่ากล่าวข้า”
“ข้าไปดุหรือทำร้ายเจ้าตอนไหน” เสด็จอาเก้ารู้สึกว่าตนเองถูกใส่ร้าย ดังนั้นเขาจึงตอบออกไปแบบนั้น ซึ่งก็ยังเป็นประโยคปลอบใจเฟิ่งชิงเฉิน
“ยังจะบอกว่าไม่ เมื่อสักครู่เจ้าดุข้า สายตาของเจ้าเยือกเย็นเสียขนาดนั้น ราวกับข้าไปทำอะไรผิดร้ายแรงจนไม่สามารถให้อภัยได้ มันทำให้ข้าตกใจแทบแย่” เฟิ่งชิงเฉินไม่ต่อต้านการกอดของเสด็จอาเก้าอีกต่อไป มือของนางให้ความร่วมมือ เลื่อนลงมาอยู่ตรงเอวของเสด็จอาเก้า
ผอม ตัวเล็ก แต่ทรงพลัง มันรู้สึกดีกับมือเป็นอย่างมาก เฟิ่งชิงเฉินนำมือของนางโอบไปรอบเอวของเสด็จอาเก้า เพลิดเพลินไปกับความอบอุ่นบนร่างกายของเสด็จอาเก้า ซึ่งทำให้นางรู้สึกปลอดภัย
ที่จริงวันนี้นางรู้สึกกลัวมาก หัวใจของนางก็หล่นวูบเมื่อได้กอดเสด็จอาเก้า มีเพียงเสด็จอาเก้าเท่านั้นที่นางสามารถแสดงออกถึงด้านที่อ่อนแอของนางออกมาได้
“ข้าทำให้เจ้าตกใจ? น่าจะเป็นเจ้าที่ทำให้ข้าตกใจมากกว่า วันนี้ช่างเป็นวันที่งดงามเหลือเกิน” ในห้องพิจารณาคดี ต่อสู้กับองครักษ์เสื้อโลหิตและจวนซุ่นหนิงโหวไปพร้อมกัน เรื่องแบบนี้หากเป็นคนอื่น อยู่ไปทั้งชีวิตก็ไม่มีทางเกิดขึ้น
“เป็นวันที่งดงามตรงไหน วันนี้ข้ากลัวแทบตาย องครักษ์เสื้อโลหิตไม่ใช่หน่วยธรรมดา เมื่อวานที่ข้าบุกเข้าไปชิงตัวนักโทษก็เพราะเวลามันกระชั้นชิด ไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อม ข้ากลัวว่าตนเองจะร่องรอยไว้เพื่อเป็นหลักฐานให้กับองครักษ์เสื้อโลหิต ในห้องพิจารณาคดี ข้ารู้สึกกังวลใจมาโดยตลอด ไม่กล้าผ่อนคลาย โชคดีที่ท้ายที่สุดข้าได้ออกมาอย่างปลอดภัย”
แม้เฟิ่งชิงเฉินจะแสดงออกมาอย่างมั่นใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วนางรู้สึกละอายใจเล็กน้อย นี่คือผลที่ตามมาหลังจากการทำเรื่องที่ผิด ต่อให้ทำดีเพื่อชดเชยมากแค่ไหน สุดท้ายมันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องที่นางบุกเข้าไปชิงตัวนักโทษออกมาได้
“เจ้าเองก็รู้จักกลัวอย่างนั้นหรือ ขนาดข้ายังไม่รู้ว่าเจ้ามีความกล้าถึงขนาดนี้ กล้าถึงขั้นบุกเข้าไปในเรือนจำขององครักษ์เสื้อโลหิตเพื่อชิงตัวนักโทษ แค่เจ้ากลับเข้ามาในเมื่อ เจ้าก็ทำเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที” ตอนอยู่ในพระราชวัง ได้ยินมาว่าเฟิ่งชิงเฉินพาคนบุกเข้าไปในเรือนจำองครักษ์เสื้อโลหิต ขนาดคนที่เยือกเย็นอย่างเขายังเกือบบีบแก้วชาในมือแตก
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงซุนซือสิง แต่เจ้าเคยคิดมาก่อนหรือไม่ว่า องครักษ์เสื้อโลหิตเป็นหน่วยขึ้นตรงของจักรพรรดิ เจ้าตบหน้าองครักษ์เสื้อโลหิตก็เหมือนไปตบหน้าจักรพรรดิ เจ้าไม่กล้าจักรพรรดิมาสร้างปัญหาให้เจ้าหรือไง” เสด็จอาเก้านึกถึงใบหน้าอันแสนเจ้าเล่ห์ของจักรพรรดิ เขารู้สึกว่าขมับของเขากระตุกขึ้นอีกครั้ง
น้องก้าวของเขาเปลี่ยนไปอย่างมากในช่วงเวลาไม่นานที่ผ่านมา ฝู่หลินเป็นคนมีฝีมืออย่างที่คิด ใช้เวลาไม่นานก็ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากจักรพรรดิ กลายเป็นเสนาบดีคนสนิท เติบโตมาจากก้อนดินแต่สามารถเติบใหญ่ได้ถึงขนาดนี้ เขาประเมินฝู่หลินต่ำไปจริง ๆ
“ข้ารู้แล้ว แต่ข้าเห็นว่าจักรพรรดิไม่ค่อยเชื่อใจลู่เส้าหลินสักเท่าไหร่ ดังนั้นข้าจึงรวบรวมความกล้าเพื่อจะลอง อีกอย่างข้ายังมีเจ้าอยู่ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางปล่อยให้ข้าเป็นอะไรไปอย่างแน่นอน” ต่อให้เรื่องทุกอย่างล้มเหลว นางก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ข้างกายของเสด็จอาเก้าได้ แต่ชีวิตที่เหลือคงอยู่อย่างน่าอนาถ
“ถึงตอนนั้นข้าก็คงไม่สามารถปกป้องเจ้าได้” เสด็จอาเก้าพอใจกับความเชื่อใจของเฟิ่งชิงเฉินเป็นอย่างมาก แต่ด้วยประโยคครึ่งแรกของเฟิ่งชิงเฉิน ทำให้เขาไม่มีเวลาสั่งสอนเฟิ่งชิงเฉิน
เสด็จอาเก้ากอดเฟิ่งชิงเฉินอีกครั้ง และทำให้นางยืนเผชิญหน้ากับตนเองดี ๆ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าลู่เส้าหลินสูญเสียความเชื่อใจจากจักรพรรดิ?”
เขาคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินทำไปโดยไม่คิดอะไร ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความโชคดี แต่ที่แท้เฟิ่งชิงเฉินก็สามารถเดาใจของจักรพรรดิได้
เฟิ่งชิงเฉินฉลาดมาก หรือว่านางเกิดมาพร้อมกับความคิดทางการเมือง? ต้องรู้ก่อนว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาเฟิ่งชิงเฉินไม่เคยเฝ้าจักรพรรดิ และนางที่เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวก็ไม่มีโอกาสที่จะไปใกล้ชิดกับขุนนางในพระราชวัง งั้นนางรู้ได้อย่างไรว่าจักรพรรดิกำลังคิดอะไรอยู่?
เมื่อเข้าเรื่องอย่างเป็นทางการ เฟิ่งชิงเฉินก็เลิกแสดงท่าทางงอแงและอ่อนแอเหมือนเด็ก นางพูดออกมาอย่างจริงจังว่า “ก็แค่เดา ก่อนหน้านี้ข้าเคยถูกจับเข้าไปในตี๋ตงหมิง ข้ากังวลเกี่ยวกับเรื่องตี๋ตงหมิงเป็นอย่างมาก แม้ว่าข้าจะออกไปนอกเมือง แต่ข้าก็ไม่ลืมเน้นย้ำคนในจวนว่าให้ระวังองครักษ์เสื้อโลหิตไว้เป็นพิเศษ
ประกอบกับข้าได้ตรวจสอบการทำงานขององครักษ์เสื้อโลหิตโดยละเอียดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สามปีแล้วที่องครักษ์เสื้อโลหิตไม่ได้มีผลงานอันน่าพึงพอใจ ทั้งหมดเป็นแค่คดีเล็กน้อยระหว่างขึ้นนางกับขุนนาง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการบรรเทาภัยพิบัติหิมะ และการปรากฏตัวของคนจากตระกูลชุย องครักษ์เสื้อโลหิตไม่ได้ทำผลงานแต่อย่างใด เรื่องตระกูลชุยกับการบรรเทาภัยพิบัติ เรื่องพวกนี้เจ้าเป็นคนเปิดเผยให้แก่จักรพรรดิ ทำให้องครักษ์เสื้อโลหิตสูญเสียผลงานชิ้นใหญ่
องครักษ์เสื้อโลหิตเป็นหน่วยงานข่าวกรองของจักรพรรดิ แม้ว่าเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน แต่ระบบข่าวกรองของพวกเขาก็ไม่ควรอ่อนแอถึงขนาดนี้ ตระกูลชุยมีบทบาทในเมืองหลวงมากเป็นเวลานาน ชุยห้าวถิงและคุณชายหยวนซีต่างมีท่าทางมั่นใจและปราศจากความกลัว ถึงขั้นมองข้ามการร่วมมือกันของเจ้ากับจักรพรรดิ ในตอนนั้นข้าสงสัยว่ามีคนของพวกเขาอยู่ในพระราชวัง ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่รับรู้พลังของเจ้าได้ชัดเจนถึงเพียงนี้ ถึงขั้นไม่สนใจการร่วมมือของเจ้ากับจักรพรรดิ
ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิองค์นี้หรือจักรพรรดิองค์ก่อน ในแง่ของการรวบรวมข้อมูลนั้นไม่สามารถเทียบได้กับตระกูลที่อยู่มาหลายร้อยปีเหมือนพวกเขา พวกเขามีรากฝั่งลึก ไม่ใช่แค่ประเทศนี้เท่านั้น พวกเขาน่าจะมีคนไปแฝงตัวอยู่ในสี่ประเทศเป็นอย่างดี
ในตอนที่ชุยห้าวถิงพักฟื้นอยู่ในจวนของข้า ข้าลองถามเขาดู เขาเข้าใจจักรพรรดิตงหลิงและขุนนางในพระราชวังเป็นอย่างดี และเขาก็ไม่เห็นจักรพรรดิอยู่ในสายตา นี่พิสูจน์ได้ว่าเขาไม่เพียงเข้าใจสถานการณ์ของตงหลิงอย่างหมดจด แต่เข้ายังเข้าใจในตัวของจักรพรรดิเป็นอย่างดี เข้าใจแม้กระทั่งเรื่องที่เจ้ากับจักรพรรดิแอบทำสงครามกันอย่างลับ ๆ
ตระกูลชุยหลบอาศัยอยู่อย่างสันโดษมานานหลายปี ไม่มีทายาทคนใดออกมายังโลกภายนอก หรือรับหน้าที่ขุนนาง แล้วทำไมพวกเขาถึงเข้าใจการเคลื่อนไหวในพระราชวังเป็นอย่างดี เข้าใจจักรพรรดิ และรู้เรื่องการแย่งชิงอำนาจที่คนนอกไม่มีทางรู้? แบบนั้นก็มีอยู่อย่างเดียวคือพวกเขาต้องมีสายลับแฝงตัวเข้ามา และคนผู้นั้นต้องไม่ใช่คนธรรมดา เนื่องจากคนธรรมดานั้นอยู่ห่างไกลจากจักรพรรดิมากเกินไป”
นี่เป็นเพียงการคาดเดาของเฟิ่งชิงเฉิน ทุกอย่างไม่ชัดเจน การบุกไปช่วยซุนซือสิงจากองครักษ์เสื้อโลหิต เฟิ่งชิงเฉินก็ยังคงเสี่ยงอันตรายเพื่อเข้าไป
เฟิ่งชิงเฉินพูดอย่างชัดเจนและมีเหตุผล แต่เสด็จอาเก้าก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “แน่นอนว่าตระกูลชุยต้องมีสายลับอยู่ในพระราชวัง ในพระราชวังมีสายลับอยู่มากมาย แต่เจ้ากลับใช้ข้อมูลเพียงเท่านี้ในการตัดสินว่าคนผู้นั้นคือลู่เส้าหลิน? จากนั้นก็พาคนไปบุกองครักษ์เสื้อโลหิตเพื่อชิงตัวนักโทษ?”
หากเป็นเช่นนี้จริง เขาคงอยากจับเฟิ่งชิงเฉินกดลงกับโต๊ะ และตีนางอย่างรุนแรง
นี่มันชุ่ยเกินไป!