นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 828 สิ้นปี ข้าสามารถอยู่ตัวคนเดียวได้
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 828 สิ้นปี ข้าสามารถอยู่ตัวคนเดียวได้
เฟิ่งชิงเฉินเป็นห่วงเกี่ยวกับอาการป่วยของหยุนเซียวมาโดยตลอด นางได้เตรียมอุปกรณ์ไว้ในห้องผ่าตัดตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อหยุนเซียวมาถึง นางก็พาเขาเข้าไปทันที
หยุนเซียวเองก็ต้องเตรียมตัวมา มิเช่นนั้นเขาคงไม่เลือกมาในตอนเช้า เขาวางแผนใช้เวลาหนึ่งวันในจวนเฟิ่ง ให้เฟิ่งชิงเฉินรักษาอาการป่วยของเขา
ไม่ต้องต่อคิว ไม่ต้องลงทะเบียน ไม่ต้องชำระเงิน ไม่ต้องตรวจสอบเพิ่มเติม การตรวจสอบเสร็จสิ้นในหนึ่งชั่วโมง เฟิ่งชิงเฉินสั่งให้คนใช้พาหยุนเซียวออกไปทานอาหาร ส่วนตนเองนั่งรออยู่ในห้องเพื่อรอผลตรวจ
เมื่อมาถึงห้องอาหารหยุนเซียวถึงพบว่าเวลานี้มีเขาแค่คนเดียว ตอนแรกอยากจะรอเฟิ่งชิงเฉินมาทานอาหารด้วยกัน แต่ทงเหยากล่าวออกมาว่าไม่จำเป็น “คุณชายหยุน คุณหนูของข้ากำลังยุ่ง ไม่มีเวลากินเวลานอน ท่านมิต้องรอบนาง มิรู้ว่านางจะออกมาเมื่อใด”
และในตอนที่เฟิ่งชิงเฉินทำงาน นางไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปรบกวน นางใหญ่ที่สุดในจวนเฟิ่ง ไม่มีใครทำอะไรนางได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินเป็นหมอที่ไม่รักตัวเอง
“บ้างานยิ่งนัก” หยุนเซียวส่ายหน้า หยิบชามข้าวและเริ่มทาน หลายเดือนที่ผ่านมาเขาไม่ได้ทานอาหารดี ๆ เลยสักมื้อ เมื่อเห็นอาหารสดใหม่ในจวนเฟิ่ง หยุนเซียวไม่เกรงใจ ทางอาหารสองสามอย่างจนหมดไม่เหลือ
หลังจากทานอาหารเรียบร้อย เขาก็เข้าไปงีบหลับในห้องรับแขกของจวนเฟิ่ง เมื่อหยุนเซียวฟื้นพลังงานได้เพียงพอ เฟิ่งชิงเฉินก็เดินออกมาจากห้องผ่าตัด ถือผลตรวจออกมายื่นให้หยุนเซียวด้วยใบหน้าอันเคร่งขรึม “คุณชายหยุน เจ้าดูแลตัวเองอย่างไรกันแน่ ก็รู้กันอยู่ว่าเจ้าเป็นโรคเกี่ยวกับสมอง แต่เจ้ายังใช้สมองทำงานหนักเกินไป อยากตายนักหรือไง”
เนื้องอกในสมองของหยุนเซียวเป็นเนื้องอกที่ไม่ได้ร้ายแรง มีโอกาสผ่าตัดสำเร็จถึงแปดส่วน แต่ในสภาพปัจจุบันของหยุนเซียว มันไม่เหมาะกับการผ่าตัด เขาจำเป็นต้องใช้เวลาพักรักษาตัวสักช่วงเวลาหนึ่ง
เฟิ่งชิงเฉินคัดลอกผลการตรวจด้วยปากกา หยุนเซียวสามารถอ่านและทำความเข้าใจกับมันได้ เช่นเดียวกัน บนบันทึกผลการตรวจเขียนไว้ว่ามีโอกาสผ่าตัดสำเร็จถึงแปดส่วน ทำให้เขาดีใจเป็นอย่างมาก
เขาจำที่ชุยห้าวถิงพูดได้ เฟิ่งชิงเฉินมีความมั่นใจในอาการป่วยของชุยห้าวถิงเพียงเจ็ดส่วน โอกาสสำเร็จของเขามากกว่าชุยห้าวถิงหนึ่งส่วน นั่นแสดงให้เห็นว่าโอกาสที่เขาจะรักษาหายและมีชีวิตรอดต่อไปนั้นมากกว่า
“ชิงเฉิน โรคของข้าสามารถรักษาให้หายได้หรือไม่?” หยุนเซียวเลื่อนกระดาษเหล่านั้นไปเรื่อย ๆ เส้นเลือดบนหลังมือปูดออกมา นิ้วมือของเขาแข็งทื่อ
อ่า……ภาษาที่ทั้งสองคนใช้ไม่เหมือนกัน ทุกคนไม่ได้กำลังกังวลเรื่องนี้อยู่ เมื่อเห็นใบหน้าอันตื่นตระหนกและตื่นเต้นของหยุนเซียว เฟิ่งชิงเฉินก็พยักหน้าและพูดออกไปอย่างเคร่งขรึมว่า “ใช่ โรคของเจ้าสามารถรักษาได้ แต่ก่อนจะทำการรักษา เจ้าต้องพักผ่อนให้มาก ดูแลตัวเองให้ดี ดีที่สุดอย่างใช้สมองให้มาก ต้องรู้จักคิดให้ดีก่อนใช้ มิเช่นนั้นจะส่งผลเสียอย่างรุนแรง”
“รักษาได้ สามารถรักษาได้ เยี่ยม เยี่ยมมาก” หยุนเซียวตื่นเต้น พูดวกไปวนมาอยู่หลายรอบ นั่งอยู่ไม่สุข ไม่รู้ว่าน้ำตาไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ดีใจพร้อมร้องไห้ พึมพำอยู่เช่นนั้น “รักษาได้”
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เตือนสติเขา นางกอดอกยืนดูคุณชายผู้สง่างามกำลังเสียสติ บางทีท่าทางเสือหยอกไก่ของเฟิ่งชิงเฉินก็น่ารำคาญเกินไป ไม่นานหยุนเซียวก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง กล่าวขอโทษออกมา “ชิงเฉิน ข้าขอโทษ ข้าเสียสติไป เจ้าโปรดวางใจ วิกฤตของตระกูลหยุนได้รับการแก้ไขแล้ว ข้าสามารถพักผ่อนได้สักระยะ ข้าจะไม่ทำงานหนักเกินไปอีก”
การแสดงออกดูสงบ แต่น้ำเสียงกลับตึงเครียด ความกระตือรือร้นของเขาไม่มีท่าทางของคุณชายผู้สง่างามอยู่เลย แม้แต่ช่วงเวลาวิกฤตของตระกูลหยุน หยุนเซียวยังไม่เคยตื่นเต้นเช่นนี้มาก่อน
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ล้อเลียนหยุนเซียว หยุนเซียวเคยแสดงท่าทางเช่นนี้ให้นางเห็นอยู่บ่อยครั้ง “ไม่เป็นไร แต่ดีใจตอนนี้มันยังเร็วเกินไป รอผ่าตัดสำเร็จค่อยดีใจ ตระกูลหยุนของเจ้าคือตระกูลแห่งตำรับยา เรื่องการปรับร่างกาย ตระกูลหยุนของพวกเจ้าเก่งกว่าข้ามาก หากเป็นไปได้ ข้าหวังว่าเจ้าจะดูแลรักษาร่างกายของเจ้าสักครึ่งเดือน หลังจากผ่านไปแล้วครึ่งเดือนให้พาคนที่มีทักษะทางการแพทย์มายังจวนเฟิ่ง”
ขณะพูด เฟิ่งชิงเฉินได้เขียนข้อควรระวังลงบนกระดาษ รวมถึงเวลาดำเนินการและข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ
หากหยุนเซียวอยู่ในตระกูลหยุน เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ทำงานหนัก ทางที่ดีที่สุดคือพาเขามาอยู่จวนเฟิ่ง
ในฐานะคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหยุน นอกจากหยุนเซียวจะตาย หากเขายังมีลมหายใจ เขาจะต้องช่วยตระกูลหยุนคิดและหาทางออก ต้องรู้ก่อนว่าหากไม่มีตระกูลหยุน หยุนเซียวก็คงไม่สามารถมีชีวิตอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้ ดังนั้นเฟิ่งชิงเฉินจึงขอให้หยุนเซียวเดินทางมายังจวนเฟิ่งทันทีที่พักผ่อนและดูแลร่างกายเป็นอันเรียบร้อย
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา อีกครึ่งเดือนจะเป็นวันปีใหม่ ข้าเดินทางมาจวนเฟิ่งจะเป็นการรบกวนเจ้าหรือไม่” ครึ่งเดือนหลังจากนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่พอดี หยุนเซียวพูดออกมาเช่นนี้ก็เพื่ออยากให้เฟิ่งชิงเฉินไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน
แต่หยุนเซียวลืมไปว่า……
“ทั้งจวนเฟิ่งมีข้าเพียงคนเดียว จะปีใหม่หรือปีเก่าสำหรับข้าแล้วมันไม่ต่างอะไรกัน หากเจ้าไม่พูดข้าคงลืมไปแล้ว ในวันขึ้นปีใหม่คงไม่ใช่เรื่องดีหากต้องออกจากบ้าน งั้นเอาเช่นนี้ หลังจากผ่านวันขึ้นปีใหม่ไปแล้วเจ็ดวัน เจ้ารีบเดินทางมายังตระกูลเฟิ่งให้เร็วที่สุด” เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจ ช่วงเวลาในการผ่าตัดของเฟิ่งชิงเฉินได้เปลี่ยนไปแล้ว
หลังจากสรุปรายละเอียดทั้งหมดแล้ว เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รั้งหยุนเซียวเอาไว้ หลังจากเน้นย้ำให้เขาดูแลร่างกายให้ดี นางก็สั่งให้ทงเหยาออกไปส่งเขา ส่วนทำไมนางถึงไม่ออกไปส่งด้วยตัวเอง นั่นก็เป็นเพราะว่าเวลานี้เฟิ่งชิงเฉินกำลังอารมณ์ไม่ดี
ตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ ทุกวันขึ้นปีใหม่ นางใช้เวลาอยู่กับตัวเองตามลำพัง นางทานอาหารส่งท้ายปีเพียงลำพัง และการอวยพรส่งท้ายปี นางก็อวยพรให้กับตัวเอง
ตอนแรกคิดว่าปีนี้จะมีซุนซือสิงอยู่ข้ามปีกับนางในปีนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับซุนซือสิง เขาออกไปจากเมืองไปแล้ว และปีนี้นางก็ต้องอยู่คนเดียวเช่นเคย
หลังจากอยู่คนเดียวมานาน นางก็ชินกับความเหงา แต่ทุกเทศกาลปีใหม่ ความเหงาจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า นางโตขึ้นมาแล้ว แต่นางก็ไม่เคยได้รับรู้ถึงความรู้สึกของการได้ขึ้นปีใหม่พร้อมกับครอบครัวหรือใครหลายคน
เพื่อน ทุกคนต่างมีบ้านเป็นของตัวเอง ต้องข้ามปีไปพร้อมกับครอบครัว มีเพียงนางเท่านั้นที่ต้องอยู่คนเดียวมาโดยตลอด
คำพูดของหยุนเซียวทำให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวที่ฝังอยู่ส่วนลึกในหัวใจของเฟิ่งชิงเฉินผุดขึ้นมา เฟิ่งชิงเฉินมายังห้องโถงบรรพบุรุษ ไล่คนรับใช้ออกไป จากนั้นคุกเข่าลงบนพื้น จ้องมองป้ายวิญญาณของพ่อแม่ ไม่พูดหรือเคลื่อนไหวแต่อย่างใด มองอยู่เช่นนั้นด้วยดวงตาอันว่างเปล่า
ใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ทงเหยาและทงจือเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินยังไม่ออกมา เกรงว่าจะถูกดุ ทั้งสองจึงเดินไปยังห้องโถงบรรพบุรุษ เห็นร่างของเฟิ่งชิงเฉินกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ราวกับถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้
ทงเหยาและทงจืออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวด ก้าวไปข้างหน้าเพื่อเกลี้ยกล่อม “คุณหนู คุณหนูอย่าเสียใจไปเลย คนตายไม่มีวันฟื้นคืนกลับมา นายท่านและฮูหยินเป็นเทวดาเฝ้ามองคุณหนูอยู่บนสวรรค์ พวกท่านไม่ได้ทิ้งให้คุณหนูอยู่อย่างลำพัง”
“ข้าไม่ได้เสียใจ ข้าแค่มาอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อและท่านแม่ของข้าเท่านั้น” ตรงข้ามกับความคิดของทงจือกับทงเหยา เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้มีน้ำตาเพราะความเสียใจ เมื่อได้ยินเสียงของทงจือและทงเหยา เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างนิ่งสงบ ไม่มีลมหายใจอันโดดเดี่ยวหรืออ้างว้างเผยให้เห็นจากร่างกายของนาง
นางไม่ต้องการความเห็นอกเห็นใจ
“ไปกันเถอะ ข้าหิวแล้ว”
อื้ม……ทงเหยาและทงจือผงะ ก้าวไปข้างหน้าเพื่อนำทางตามความเคยชิน ในเวลานั้น พวกนางสงสัยว่าสิ่งที่ตนเองเห็นนั้นผิดไป
แต่พวกนางไม่รู้ ในตอนที่ก้าวออกจากห้องโถงบรรพบุรุษ เฟิ่งชิงเฉินหันกลับไปมองป้ายวิญญาณทั้งสองอีกครั้ง
“พวกท่านไม่ต้องการข้า ข้าเฟิ่งชิงเฉินตัวคนเดียวก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้!”
เฟิ่งชิงเฉินซ่อนอารมณ์ของตนเองไว้เป็นอย่างดี หรืออีกนัยหนึ่ง นางคุ้นเคยกับชีวิตแบบนี้มานานหลายปี นางจะสามารถหลุดพ้นจากความสูญเสียเหล่านี้ได้อีกในไม่ช้า เฟิ่งชิงเฉินทานอาหารเย็นตามปกติ และในตอนที่นางกำลังจะไปอาบน้ำ จู่ ๆ มีคนของพระราชวังมา ท่าทางดูร้อนรนเป็นอย่างมาก แทบจะบุกเข้าไปในจวนของนาง……