นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 836 น้ำใจ แลกเปลี่ยนเพื่อความแน่นแฟ้น
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 836 น้ำใจ แลกเปลี่ยนเพื่อความแน่นแฟ้น
เด็กผู้หญิงที่ไม่มีแม่ก็ไม่ต่างอะไรกับเศษใบไม้ หากแม่ของแม่นางลิ่วยังอยู่ ต่อให้เป็นแค่นางบำเรอ แม่นางลิ่วก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
เด็กผู้หญิงที่ไม่มีแม่ไม่มีพ่อ หากตนเองไร้ซึ่งกำลัง ก็จะตกเป็นเหยื่อของโลกใบนี้ ถือเป็นพรของเฟิ่งชิงเฉิน นางโชคดีกว่าแม่นางลิ่ว นางมีอำนาจและพลังในการปกป้องตนเอง ไม่อย่างนั้น……
สิ่งที่แม่นางลิ่วเผชิญคงเป็นกระจกสะท้อนเงาของนาง
เมื่อสัมผัสได้ว่าอารมณ์ของเฟิ่งชิงเฉินตกต่ำ เสด็จอาเก้าจึงไม่พูดเรื่องของแม่นางลิ่วอีกต่อไป โศกนาฏกรรมได้เกิดขึ้นและผ่านไปแล้ว พวกเขาไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ และบนโลกใบนี้ก็ยังมีผู้หญิงอีกมากมายที่น่าสงสารกว่าแม่นางลิ่วแห่งจวนซุ่นหนิงโหว
โลกนี้มันไม่ยุติธรรมสำหรับผู้หญิง ทุกอย่างที่เสียเปรียบจะโยนมาให้ผู้หญิงก่อน หากไม่มีอะไรกิน คนที่อดตายก็คือผู้หญิง คนที่ถูกขายก็เป็นผู้หญิงเช่นกัน
เสด็จอาเก้าหยุดความคิดของเฟิ่งชิงเฉิน ถามออกมาว่า “เรื่องนี้เจ้าคิดจะทำเช่นไร? จะตรวจสอบศพหรือไม่? แม้เรื่องของจวนซุ่นหนิงโหวจะถูกตรวจสอบอย่างชัดเจนแล้ว แต่หลายปีที่ผ่านมา พวกเขาทำลายหลักฐานจนเกือบหมด หากเจ้าต้องการหาหลักฐานจากจวนซุ่นหนิงโหว เรื่องนี้น่าจะไม่มีทางเป็นไปได้”
“ชันสูตรศพได้ถึงเป็นกรณีที่ดีที่สุด จวนซุ่นหนิงโหวนำศพไปฝังด้วยความรีบร้อนและตื่นตระหนก ศพของแม่นางลิ่วผู้นั้นจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน แม่นางลิ่วผู้นั้นเลือกซุนซือสิง นางจะเป็นเพราะนางอาจได้ยินถึงนิสัยของข้ามาบ้าง นางถึงขั้นใช้ชีวิตของนางเพื่อแลกกับการเปิดเผยเรื่องนี้ นางจะต้องทุ่มสุดตัวอย่างแน่นอน ข้าคิดว่าในตัวของนางน่าจะมีของที่มีประโยชน์ติดตัวอยู่” ใช้วิธีการเช่นนี้ปกป้องความบริสุทธิ์ของน้องสาวตนเอง คิดใช้ประโยชน์จากตัวตนของซุนซือสิง แม่นางลิ่วผู้นี้ไม่ใช่คนไร้สมองเป็นแน่
แม้ว่านางจะไม่พอใจที่แม่นางลิ่วใช้ประโยชน์จากซุนซือสิง แต่นางก็เข้าใจสามารถเข้าใจสถานการณ์ของแม่นางลิ่วได้ แม่นางลิ่วลำบากกว่านางในตอนแรกหลายเท่า หากนางมีทางเลือกอื่น นางคงไม่ทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้
“ในเมื่อคิดจะลงมือก็ต้องลงมือให้ถึงที่สุด หากปล่อยให้ถึงปีใหม่แล้วค่อยจัดการ เกรงว่าคงส่งผลเสียต่อทุกคน และยิ่งเลื่อนไปถึงปีใหม่ ระยะเวลามันก็นานจนเกินไป ถึงเวลานั้นก็ไม่รู้ว่าความคิดของจักรพรรดิจะเปลี่ยนไปหรือไม่
จักรพรรดิจัดการกับองครักษ์เสื้อโลหิตไปแล้ว มันก็ถึงเวลาของเจ้าที่จะจัดการกับจวนซุ่นหนิงโหว ยิ่งไปกว่านั้นเวลานี้เจ้ามีความดีความชอบในเรื่องของการช่วยเหลือบุตรแห่งมังกร หากเจ้ายื่นเงื่อนไขว่าต้องการชันสูตรศพ คนของตระกูลเซี่ยและเหล่านางสนมในวังจะให้ความช่วยเหลือเจ้าอย่างแน่นอน” เสด็จอาเก้าวิเคราะห์อย่างนิ่งสงบ พูดถึงทุกคนที่เฟิ่งชิงเฉินสามารถใช้ประโยชน์ได้
เข้าไปในวังรอบนี้ แม้แต่หมอหลวงยังช่วยสนมเอกเซี่ยและลูกของนางไว้ไม่ได้ เฟิ่งชิงเฉินกลายเป็นสิ่งที่นางสนมทุกคนต้องการ ในเวลานี้หลายคนปรารถนาเฟิ่งชิงเฉิน พวกนางยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เฟิ่งชิงเฉินมา ขอแค่เรื่องนั้นไม่ทำให้จักรพรรดิต้องเดือดร้อน
“ให้นางสนมเหล่านั้นช่วยอีกแรง เช่นนั้นจักรพรรดิจะไม่คิดว่าข้าดึงพวกนางมาเป็นพวกงั้นหรือ” ข้อเสนอของเสด็จอาเก้านั้นทำให้คนหวั่นไหว แต่มันก็มีอันตรายแอบแฝงอยู่ เฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องการมีปัญหากับจักรพรรดิ
“วิธีการของผู้หญิง จักรพรรดิไม่มีทางสนใจ จักรพรรดิรู้ดีว่าสนมในวังหลังนั้นต้องการอะไรจากเจ้า” ขอแค่เขาไม่ดึงคนมาเป็นพวก จักรพรรดิก็ไม่มีทางหันมาสนใจ สนมพวกนั้นต่างมีความคิดเดียวกัน พวกนางต้องการซื้อตัวของเฟิ่งชิงเฉิน และพวกนางจะทำอย่างสุดความสามารถ
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มอย่างสมเพชตัวเอง “เรื่องแบบนี้ไม่มีทางอยู่ในสายตาของจักรพรรดิ ต่อให้ข้าดึงขุนนางในพระราชวังมาเป็นพวกมันก็ไม่มีผลอะไร แค่จักรพรรดิพูดออกมาคำเดียวก็สามารถเอาชีวิตข้าได้ หลังจากนั้นข้าก็ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น”
“เจ้าเข้าใจเช่นนี้ก็ดี ดังนั้นขอแค่เจ้าไม่ทำอะไรจนเกินเหตุ จักรพรรดิไม่มีทางสนใจว่าเจ้ากำลังทำอะไร จักรพรรดิเป็นคนถือศักดิ์ศรีในตัวเอง และโอหังเป็นอย่างมาก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ปล่อยให้ลูกชายของเขาทะเลาะกันเอง” อำนาจกองทหารของตงหลิง ส่วนใหญ่อยู่ในมือของจักรพรรดิ มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่อยู่ในการควบคุมของเขา แต่เมื่อเทียบกับกองทัพของจักรพรรดิ กองทัพของเขายังอ่อนแอกว่าเล็กน้อย และนี่คือสิ่งเดียวที่เขากลัว
กองทัพ นี่คือเหตุผลว่าทำไมจักรพรรดิจึงแข็งแกร่ง ดังนั้นไม่สำคัญว่าเจ้าจะแข็งแกร่งแค่ไหน หากส่งทหารออกไปเป็นล้านนาย สุดท้ายเผ่าเสวียนเซียวกงก็ถูกทำลาย แต่……
ปกติแล้วคงไม่มีใครทำเรื่องซึ่งไร้เหตุผลเช่นนั้น ดังนั้นจักรพรรดิไม่มีทางใช้กองทหารมาต่อกรกับเสด็จอาเก้า เพราะการลงมือเพียงครั้งเดียวอาจเปิดโอกาสให้ซีหลิง ตงหลิง และหนานหลิงเข้ามาโจมตีได้
ไม่ได้เข้าใจมากเหมือนเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินฟังคำพูดของเสด็จอาเก้าอย่างเชื่อฟัง วิธีการที่เสด็จอาเก้ากล่าว แต่มีจุดหนึ่งที่ทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกไม่พอใจ
“หากเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่าข้าต้องติดค้างน้ำใจคนจำนวนไม่น้อย” เมื่อนึกถึงแววตาที่ร้อนแรงของเหล่านางสนม เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที ความคิดมากมายลอยขึ้นมาในหัวของนาง นางจะต้องช่วยเหลือสนมเหล่านี้มากแค่ไหนถึงชดใช้บุญคุณครั้งนี้หมด
เห็นเฟิ่งชิงเฉินกำลังคิดอย่างจริงจัง เสด็จอาเก้ารู้สึกมีความสุข ยื่นมือออกไปลูบศีรษะของเฟิ่งชิงเฉิน “สิ่งที่เรียกว่าน้ำใจ มีให้กันก็ถือว่าเป็นรสชาติของความสุข มันจะทำให้ทั้งสองฝ่ายสนิทและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อีกอย่างพวกนางก็เป็นคนเสนอตัวมาเอง ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นคนไปขอความช่วยเหลือจากพวกนางก่อน”
เหล่านางสนมพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้เฟิ่งชิงเฉินเป็นหนี้บุญคุณพวกนาง มีเพียงวิธีนี้ถึงทำให้พวกนางวางใจ และมั่นใจมากขึ้นว่าเฟิ่งชิงเฉินจะดูและพวกนางและลูกในท้องเป็นอย่างดี
เฟิ่งชิงเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพบว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง ก่อนหน้านี้ที่นางไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กับใครก็เพราะว่านางเป็นคนทำทุกอย่างชัดเจนจนเกินไป นอกจากคนรู้จัก นางจะไม่ยอมติดหนี้บุญคุณใครทั้งนั้น
อ่า……เมื่อลองคิดดูให้รอบคอบก็พบว่ามันเป็นเช่นนั้น เพราะตนเองเป็นลูกกำพร้า ตั้งแต่เด็กก็เห็นแต่คนที่แสงเป็นคนดี ทัศนคติอันสูงส่ง และสงสารเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
ทุกครั้งที่นางเห็นแววตานั้น นางอยากจะเดินเข้าไปบอกพวกเขาว่า “พวกเราเป็นเด็กกำพร้า พวกเราขอบคุณในความช่วยเหลือของพวกท่าน แต่พวกท่านอย่างมาพวกเราด้วยสายตาเช่นนั้น ไม่ต้องสงสารหรือสมเพชพวกเรา พวกเราต้องการความช่วยเหลือไม่ใช่การบริจาค”
แต่หลังจากที่เติบโตขึ้นมา นางก็ไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณใคร นางต้องการความช่วยเหลือที่เท่าเทียม ไม่ใช่การให้ทานจากมุมมองที่สูงกว่า เนื่องจากความสัมพันธ์เช่นนั้นทำให้นางรู้สึกไม่ดี ทำให้นางรู้สึกว่ายอมรับความช่วยเหลือจากคนเพียงไม่กี่คนจะดีกว่า
“เป็นอะไรไปงั้นหรือ?” เห็นเฟิ่งชิงเฉินเงียบอยู่นาน เสด็จอาเก้าจึงถามออกมา
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่มีอะไร ข้าแค่คิดถึงอดีต พบว่าตนเองคิดว่าตนเองต้อยต่ำและอ่อนไหวเกินไป มักจะสร้างกรอบขึ้นมา ไม่ยอมให้ใครที่ไม่รู้จักเข้าใกล้ และก็ไม่อยากรู้จักกับคนอื่น”
“หลังจากนี้แค่เปลี่ยนมันก็พอแล้ว” เสด็จอาเก้าอยากพูดออกไปว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว แต่เขาก็รู้ดี เขาจะขังเฟิ่งชิงเฉินไว้ในกรอบตลอดไปไม่ได้ ก่อนหน้านี้นางแค่ยังไม่เข้าใจ แต่เวลานี้นางเข้าใจแล้ว ก็เปลี่ยนคำพูดจะดีกว่า นางจะได้รู้ว่าตนเองควรทำอะไรต่อไป และเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นอย่างไร
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า เวลานี้เพิ่งจะรู้สึกตัวว่ามือของเสด็จอาเก้าอยู่บนศีรษะของนาง และทำให้ผมของนางกระเซอะกระเซิง เฟิ่งชิงเฉินยกมือของเสด็จอาเก้าออกด้วยความโกรธ “อย่ามาจับผมของข้า มันกระเซอะกระเซิงหมดแล้ว แบบนี้ข้าจะไปพบเจอผู้อื่นได้อย่างไร”
“ข้าอยู่ที่นี่ เจ้ายังจะไปพบใครอีกงั้นหรือ?” เสด็จอาเก้าดึงมือกลับมาอย่างไม่เต็มใจ คิดถึงสัมผัสอันนุ่มนวลจากผมของเฟิ่งชิงเฉิน เมื่อลูบผมของนางมันทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย และที่สำคัญ ท่าทางที่เฟิ่งชิงเฉินโกรธนั้นดูน่ารักเป็นอย่างมาก
“คนใช้ ในจวนยังมีคนใช้เดินเข้าเดินออกอยู่ถมไป” เฟิ่งชิงเฉินจัดผมของตนเองและเว้นระยะห่างจากเสด็จอาเก้าเพื่อป้องกันไปพร้อมกัน
“หากไม่ได้รับคำสั่ง พวกเขาไม่มีทางปรากฏตัวออกมาสุ่มสี่สุ่มห้า”
หลังจากเสด็จอาเก้าพูดจบก็ได้ยินเสียงของทงจือดังมาจากนอกจวนในระยะไกล “คุณหนู ถึงเวลาอาหารแล้ว”
ใบหน้าของเสด็จอาเก้ามืดมนในทันที
ทงจือรู้ว่าเสด็จอาเก้ากับเฟิ่งชิงเฉินกำลังคุณธุระกัน พวกนางจึงไม่สามารถเข้ามาใกล้ได้ ทำได้เพียงตะโกนเข้ามาจากนอกจวนในระยะไกล สายลับต้องการเตือนเสด็จอาเก้า แต่มันก็สายเกินไปแล้ว
พวกเขาคิดไม่ถึงว่า ทงจือจะตะโกนออกมาอย่างกะทันหันเช่นนี้
ฮ่าฮ่าฮ่า……เสด็จอาเก้าเห็นใบหน้าอันแข็งทื่อของเสด็จอาเก้า กลั้นยิ้มไว้นาน สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ยิ้มออกมาอย่างชัดเจน
ทงจือ เจ้าช่างน่ารักเหลือเกิน
เสด็จอาเก้ารู้สึกหงุดหงิด เห็นเฟิ่งชิงเฉินหัวเราะชอบใจ เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากตะโกนออกไปใส่ทงจือที่อยู่นอกจวน “คนรับใช้ของจวนเฟิ่งต้องได้รับการสั่งสอนเพิ่มอีกสักหน่อย ไม่รู้จักกฎเกณฑ์เลยแม้แต่น้อย”
“ได้ ได้ ได้ ข้าจะกลับไปสั่งสอนนางเอง” ผ่านไปพักใหญ่กว่าเฟิ่งชิงเฉินจะกลั้นขำได้ เช็ดน้ำตาและถามออกมาว่า “เจ้าจะทานอาหารที่นี่หรือไม่?”
“ทำไม ข้าจะทานอาหารที่จวนเฟิ่งสักมื้อไม่ได้หรือไง” หลังจากถูกทงจือขัดจังหวะ เสด็จอาเก้าจึงคิดจะเข้มงวดกับคนรับใช้ของจวนเฟิ่งสักเล็กน้อย เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเขาไม่เห็นเจ้านายอยู่ในสายตา
“แน่นอนว่าได้ ท้องฟ้าก็มืดแล้ว ข้าหิวเหลือเกิน พวกเราไปทานอาหารกันเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางไปศาลต้าหลี่อีก” เฟิ่งชิงเฉินรีบตอบรับทันที ขณะเดียวกันก็เป็นการบอกกับเสด็จอาเก้าว่า พรุ่งนี้นางยุ่ง สามารถอยู่ทานอาหารเย็นได้ แต่ไม่อนุญาตให้ค้างที่นี่
เสด็จอาเก้าแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ เขาพูดออกมาอย่างห่วงใย “หลังจากทานอาหารเสร็จ พวกเรามาพูดเรื่องคดีกัน ข้าได้สั่งให้คนรวบรวมข้อมูลและส่งมาที่นี่แล้ว”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาต้องการอยู่ที่จวนเฟิ่ง และทุกอย่างก็สมเหตุสมผล
อ่า……ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินดูขมขื่น นางรู้ว่าเสด็จอาเก้าไม่ได้คิดจะค้างคืนที่นี่เฉย ๆ
หลังจากพูดจบ เสด็จอาเก้าอารมณ์ดีเป็นพิเศษ รีบเดินออกไปด้านนอก เห็นเฟิ่งชิงเฉินไม่เดินออกมา เขาจึงเตือนนางด้วยความหวังดี
ทั้งสองคนเดินออกมา คนหนึ่งดูมีความสุข อีกคนดูหดหู่ เมื่อผ่านทงจือและคนที่อยู่ด้านนอก เสด็จอาเก้ามองนางด้วยสายตาที่ให้เกียรติ ทำให้ทงจือรู้สึกกลัวเป็นอย่างมาก ยืนอยู่ตรงนั้นไม่กล้าเคลื่อนไหว หลังจากนั้น……
นางรู้สึกไม่สบาย ไม่ปรากฏตัวออกมาให้เฟิ่งชิงเฉินเห็นอีกหลายวัน
หลังจากทานอาหารเสร็จ เสด็จอาเก้าสั่งให้สายลับเดินทางไปยังจวนอ๋องเก้า ให้คนนำหลักฐานมาให้ ขณะเดียวกันก็ให้คนไปหามู่เหลียวที่จวนอ๋องเก้า บอกให้เขาไปบอกหัวหน้าศาลต้าหลี่ว่าพรุ่งนี้เฟิ่งชิงเฉินจะทำการฟ้องจวนซุ่นหนิงโหวต่อไป
หลังจากส่งทุกคนออกไปแล้ว เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินก็มาอยู่ในห้องหนังสือ เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินต้องพูดออกมาในห้องพิจารณาคดีในศาลต้าหลี่ เมื่อหลักฐานถูกเปิดเผย ก็ต้องมาดูกันว่าจวนซุ่นหนิงโหวจะรับมือกับพวกเขาอย่างไร
เสด็จอาเก้าใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงในการพูดทุกอย่างให้ชัดเจนภายในไม่กี่คำ หลังจากนั้น……
ในห้องหนังสือของเฟิ่งชิงเฉิน เห็นเฟิ่งชิงเฉินเก็บรายงานเกี่ยวกับตระกูลลู่แห่งซานตง ดวงตาของเสด็จอาเก้าเป็นประกาย จากนั้นก็พูดคุยกับเฟิ่งชิงเฉินเกี่ยวกับเรื่องตระกูลลู่แห่งซานตงต่อไป
ครั้งนี้ความทะเยอทะยานของเฟิ่งชิงเฉินก็สูงมากเช่นกัน ทั้งสองพูดคุยกันจนลืมเวลา เมื่อพวกเขารู้สึกตัว มันก็เป็นเวลากลางดึก เวลานี้จะให้เสด็จอาเก้าอยู่จวนเฟิ่งต่อไปก็คงไม่ได้……