นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 837 ปีนขึ้นเตียง บอกเสด็จอาเก้าไป
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 837 ปีนขึ้นเตียง บอกเสด็จอาเก้าไป
จวนเฟิ่งไม่ได้ใหญ่เหมือนจวนอ๋องเก้า ทั้งสองทำได้แค่กลับไปอาบน้ำที่ห้องตนเอง หลังจากนั้นเสด็จอาเก้าก็เดินกลับมาที่ห้องเฟิ่งชิงเฉินอีกครั้ง
ภายใต้แสงเทียน เฟิ่งชิงเฉินปล่อยผมยาวสลวยเพื่อรอให้ผมแห้ง ทันทีที่เสด็จอาเก้าเข้ามาเห็นฉากนั้น แสงเทียนสีส้มทำให้ร่างกายของดูอ่อนโยนและน่าหลงใหล ทำให้เสด็จอาเก้าอดไม่ได้ที่จะเข้าไปโอบกอดเฟิ่งชิงเฉิน
ฝีเท้าของเสด็จอาเก้าช้าลง เห็นผู้หญิงที่อยู่ภายใต้แสงเทียน หัวใจของเขารู้สึกอ่อนลง
ครอบครัว กลิ่นอายบนร่างกายของเฟิ่งชิงเฉินทำให้เขารู้สึกเหมือนคนในครอบครัว ผู้หญิงของเขานั่งอยู่ภายใต้แสงเทียนและกำลังรอเขากลับบ้าน เห็นเสด็จอาเก้าเข้ามา เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้นและยิ้มให้เขา “กลับมาแล้วหรือ”
“ข้ากลับมาแล้ว”
คำถามที่ดูเรียบง่าย แต่ทำให้เสด็จอาเก้ารู้สึกเจ็บปวดหัวใจ ในที่สุดบ้านของเขาก็ไม่ใช่จวนที่เย็นชาอีกต่อไป เสด็จอาเก้าหยิบผ้าขนหนูซึ่งวางอยู่ตรงด้านข้างขึ้นมา เช็ดผมให้เฟิ่งชิงเฉิน รอจนผมของนางแห้ง เสด็จอาเก้าก็ไม่เกรงใจ อุ้มนางขึ้นไปบนเตียง “คืนนี้ พวกเราเข้านอนกันเถิด”
ครอบครัว มีภรรยา มีลูก เวลานี้สิ่งที่เขายังขาดอยู่ก็คือลูก……
หลังจากผ่านไปไม่นาน เสียง อื่อ ๆ อ้า ๆ ก็ดังขึ้นมาจากด้านในของห้อง เสด็จอาเก้าไม่ใช่สัตว์กินพืช เขาจะนอนกอดเฟิ่งชิงเฉินนิ่ง ๆ อยู่ใต้ผ้าห่มได้อย่างไร
หลังจากเสียงเหล่านี้ดังขึ้น ใช้เวลาประมาณต้มน้ำเดือด และทั้งคืนก็มีแค่ครั้งเดียว สายลับและสาวใช้ซึ่งเป็นสายลับทั้งสองคนตกใจเป็นอย่างมาก เจ้านายของพวกเขาไม่ไหวเลย เมื่อลองคำนวณจากเวลา ทั้งหมดมันเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวเอง……
เช้าวันรุ่งขึ้น เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก ร่างกายของนางเต็มไปด้วยพลัง หลังจากทานอาหารเช้าเป็นที่เรียบร้อย นางก็เดินทางไปยังศาลต้าหลี่ สำหรับเสด็จอาเก้า วันนี้อาจไม่ใช้วันที่ดีของเขา เนื่องจากต้องเดินทางเข้าไปในราชสำนักตั้งแต่เช้า
แม้สายลับจะนำเสื้อผ้ามาให้เสด็จอาเก้า พวกเขาเองก็ต้องตื่นมาตั้งแต่เช้า หลังจากอาบน้ำเสร็จก็เดินทางไปยังราชสำนัก ส่วนอาหารเช้า? ขอโทษ คนรับใช้จวนเฟิ่งไม่ชินกับการเตรียมอาหารในตอนเช้าตรู่ เมื่อวานก็ไม่มีใครสั่ง ดังนั้นจึงทำได้เพียงปล่อยให้เสด็จอาเก้าเข้าวังไปทั้งท้องหิวแบบนั้น
มีเสด็จอาเก้าคอยเปิดทางให้ วันนี้เรื่องทุกอย่างของเฟิ่งชิงเฉินเป็นไปอย่างราบรื่น เดินทางมาถึงพร้อมกับจวนซุ่นหนิงโหว และคนที่จวนซุ่นหนิงโหวส่งมาก็ยังคงเป็นทนายฉิงและคุณชายเฉิน
ก่อนหน้านี้ได้พูดคุยกับหัวหน้าศาลต้าหลี่เอาไว้แล้ว และทักทายคนจากจวนซุ่นหนิงโหว ดังนั้นการพิพากษาคดีในวันนี้จึงไม่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้ามา ระหว่างทั้งสองฝ่ายมีทางเดินขนาดใหญ่ขวางอยู่ ราวกับแม่น้ำที่ไหลผ่านทั้งสองฝ่าย แบ่งแยกกันอย่างชัดเจน เผชิญหน้ากับท่าทางอันเย่อหยิ่งของจวนซุ่นหนิงโหว เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้พูดอะไรมาก นางกัดฟันและกล่าวออกมาว่า “ขอใต้เท้าโปรดอนุญาตให้ทำการชันสูตรศพเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของซุนซือสิง”
“ความตายเป็นเรื่องสำคัญ เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าหมายความว่าอย่างไร ซุนซือสิงสังหารน้องลิ่วของข้า และเวลานี้นางก็จากไปแล้ว แต่เจ้ากลับทำให้นางไม่สบายใจ พวกเจ้าอาจารย์และศิษย์ มันจะไม่มากเกินไปหรือ” คุณชายเฉินตะโกนออกมา
ตอนแรกคิดว่า หลายวันที่ผ่านมาเฟิ่งชิงเฉินไม่เคลื่อนไหว อาจเป็นเพราะนางหวาดกลัวจวนซุ่นหนิงโหว คิดไม่ถึงว่าทันทีที่เข้ามาในศาล นางก็หันมีดใส่จวนซุ่นหนิงโหวทันที ทำให้ซุ่นหนิงโหวโกรธเป็นอย่างมาก สรุปได้ว่าเฟิ่งชิงเฉินสนใจแค่ขุนนางในพระราชวัง ไม่เห็นจวนซุ่นหนิงโหวอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
“คุณชายเฉิน แม่นางลิ่วจากไปอย่างไร ข้าคิดว่าท่านน่าจะรู้ดีกว่าข้า คนตายไม่ถึงสามวันแต่กลับรีบนำศพไปฝัง นี่ช่างเป็นกฎเกณฑ์อันยิ่งใหญ่ของจวนซุ่นหนิงโหวเสียจริง” เรื่องการชันสูตรศพนั้นจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงแค่ช่วยซุนซือสิง แต่ยังเป็นการทำเพื่อแม่นางลิ่วที่เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยน้องสาวของนาง
สีหน้าของคุณชายเฉินบูดบึ้ง มองไปที่เฟิ่งชิงเฉินอย่าดุร้าย “เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เฟิ่งชิงเฉิน เวลาหิวมันอาจจะกินอะไรเข้าไปก็ได้ แต่เวลาพูด มันไม่สามารถพูดออกมาสุ่มสี่สุ่มห้าได้ อย่าคิดว่าปีนขึ้นไปบนเตียงของเสด็จอาเก้าแล้ว จวนซุ่นหนิงโหวของพวกเราจะกลัวเจ้า”
บูม……
เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา ทั้งห้องพิจารณาคดีถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ ตั้งแต่หัวหน้าศาลต้าหลี่ไปถึงเจ้าหน้าที่ทุกคนต่างมองมายังคุณชายเฉินและคนของจวนซุ่นหนิงโหวอย่างพร้อมเพรียงกัน และแอบยกนิ้วให้อย่างลับ ๆ
น่าตกใจเหลือเกิน ถึงขนาดกล้านินทาเรื่องส่วนตัวของเสด็จอาเก้าในที่สาธารณะ นับถือ ข้าขอนับถือ โชคดีที่การพิจารณาคดีในวันนี้ไม่ได้ปล่อยให้คนนอกเข้ามา ไม่อย่างนั้นพวกเขาเองก็อาจจะซวยไปด้วย
ถูกมองเช่นนั้น คุณชายเฉินรู้สึกขนลุก รูม่านตาของเขาลึกลงไปเล็กน้อย แต่ก็ยังพูดออกมาอย่างเย่อหยิ่ง “มองอะไรของพวกเจ้า ข้าพูดอะไรผิดหรือไง เจ้าก็ถวายตัวให้เสด็จอาเก้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเจ้าที่เป็นเด็กกำพร้าเพียงคนเดียวจะมีชีวิตที่ดีขนาดนี้ได้อย่างไร แล้วยังเลี้ยงคนรับใช้อีกมากมาย พวกเจ้าอย่าลืม ก่อนหน้านี้นางมีชีวิตไม่ต่างอะไรกับสุนัขตัวหนึ่ง เสื้อผ้าที่สวมใส่ทั้งเก่าทั้งเหม็น แม้แต่ชีวิตยังเอาไม่รอด แต่กลับมีชีวิตที่ดีในชั่วพริบตา หากไม่ใช่เพราะเสด็จอาเก้าแล้วมันเป็นเพราะใคร”
คุณชายเฉินยิ่งพูดก็ยิ่งคิดว่าตนเองมีเหตุผล ยิ่งพูดยิ่งมั่นใจ ไม่มีความกังวลหรือรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย
เอ่อ เรื่องนี้……หัวหน้าศาลต้าหลี่และผู้ช่วยทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาต่างมองหน้ากัน ตามองจมูก ผ่านจมูกไปที่หัวใจ บ่งบอกว่าตนเองไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
จริงอยู่ที่คุณชายเฉินพูดมาก็มีเหตุผล แต่เรื่องพวกนี้มันเกี่ยวอะไรกับพวกเขา สามารถขึ้นไปบนเตียงของเสด็จอาเก้าได้นั้นก็ถือเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง มีคนมากมายที่อยากเป็นที่สองต่อจากเฟิ่งชิงเฉิน ขอแค่ได้เข้าไปใกล้เสด็จอาเก้าก็สามารถทำให้พวกนางสบายไปทั้งชีวิต
เห็นคนในศาลต้าหลี่เงียบไม่พูดอะไร เห็นเฟิ่งชิงเฉินแค่ยิ้มออกมาแต่ไม่ได้ส่งเสียง คุณชายเฉินคิดว่าตนเองทำสำเร็จ ยิ่งพูดยิ่งฟังไม่ได้ เขาคิดว่าเขาเป็นคนฉลาด เขาแค่พูดว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนไม่ดี แต่เขาไม่ได้พูดว่าเสด็จอาเก้าหลงใหลในเพศหญิงอย่างไร
“คุณชาย คุณชาย……” ทนายฉิงพูดออกมาด้วยใบหน้าอันขมขื่น ใช้แรงดึงคุณชายเฉินกลับมา แต่คุณชายเฉินคิดว่าคำพูดของเขานั้นกำลังส่งผลสำเร็จ เขาจะถอยกลับมาได้อย่างไร
หัวหน้าศาลต้าหลี่เห็นว่าคุณชายเฉินยิ่งพูดยิ่งไร้ประโยชน์ กำลังจะสั่งให้คนไปหยุดเขาไว้ แต่ยังไม่ทันพูดออกมา อาจารย์ของเขาก็เดินเข้ามากระซิบข้างหูของหัวหน้าศาลต้าหลี่
สีหน้าของหัวหน้าศาลต้าหลี่ยังเปลี่ยนแปลง แต่ดวงตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย พยักหน้า นั่งอยู่นิ่ง ๆ ด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยอำนาจ และมองไปยังผู้คนที่อยู่ในห้องพิจารณาคดี
การกระทำนี้ ทนายฉิงที่บอกให้คุณชายเฉินหยุดนั้นสังเกตเห็น แต่คุณชายเฉินที่กำลังสาปแช่งออกมานั้นไม่สังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อย และเฟิ่งชิงเฉินก็รับรู้ถึงมันได้เช่นกัน คิดถึงตอนที่คุยกับเสด็จอาเก้าเมื่อวาน เรื่องนี้เขาจะเป็นคนจัดการเอง เฟิ่งชิงเฉินพอคาดเดาอะไรบางอย่างได้ ดังนั้นวันนี้นางจึงไม่พูดอะไร กัดฟันยืนกรานว่าต้องชันสูตรศพให้ได้
คุณชายเฉินเห็นว่าทุกคนกำลังตกตะลึงในคำพูดของเขา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความพอใจ มองไปที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยความดูถูก ราวกับว่านางเป็นสิ่งสกปรก และพูดออกมาอย่างเหยียดหยาม “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร พูดให้ดูดีคือเจ้ามีความสัมพันธ์กับเสด็จอาเก้า แต่ในความเป็นจริงเจ้าแตกต่างอะไรกับนางบำเรอที่อยู่ในหอนางโรม เจ้าก็แค่มีสถานะที่สูงกว่าพวกนางเล็กน้อย และมีบุญคุณกับผู้มีอำนาจ หากไม่มีเสด็จอาเก้า เจ้าคิดว่าเจ้าจะทำอะไรได้ คนอย่างเจ้า กล้ามาฟ้องจวนซุ่นหนิงโหวอย่างข้า และยังกล้ามาขอชันสูตรศพ เจ้าฝันไปหรือเปล่า จวนซุ่นหนิงโหวของข้าไม่ถูกใครรังแกง่ายถึงขนาดนั้น”
คุณชายเฉินคิดว่าคำพูดของตนเองนั้นงดงามเป็นอย่างมาก ดูจากสถานการณ์แล้ว คำพูดของนางทำให้เฟิ่งชิงเฉินถึงกับพูดไม่ออก
เมื่อคุณชายเฉินพูดจบ ห้องพิจารณาคดีก็เต็มไปด้วยความเงียบงัน บรรยากาศแปลกประหลาด วันนี้เป็นวันที่อากาศหนาว แต่ไม่รู้ว่าทำไมหัวหน้าศาลต้าหลี่ถึงเหงื่อออก เมื่อเห็นคุณชายเฉินพูดจบ หัวหน้าศาลต้าหลี่ก็เช็ดเหงื่อพร้อมกล่าวออกมาว่า “แม่นางเฟิ่ง เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่?”
เขาต้องผดุงความยุติธรรม ทุกอย่างต้องดำเนินไปอย่างถูกต้อง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่อาจรักษาตำแหน่งไว้ได้……
“เรียนใต้เท้า ชิงเฉินไม่มีอะไรจะพูด นี่คือการพิจารณาคดีระหว่างแม่นางลิ่วกับซุนซือสิง ชิงเฉินไม่อยากพูดอะไรที่ไม่เกี่ยวกับคดี ส่วนคำพูดที่คุณชายเฉินพูดออกมาในห้องพิจารณาคดีในวันนี้ ชิงเฉินได้จดจำเอาไว้แล้ว หลังจากกลับจวนไปจะรายงานให้เสด็จอาเก้าทราบอย่างแน่นอน ส่วนเสด็จอาเก้าจะจัดการอย่างไร เรื่องนี้ชิงเฉินไม่อาจรู้ได้” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ถ่อมตัวหรือเอาแต่ใจ นางไม่ได้รับผลกระทบจากคำพูดของคุณชายเฉินเลย……
คำพูดแบบนี้ นางฟังมามากจนชินกับมันไปเสียแล้ว ต่อให้เป็นคำพูดที่รุนแรงกว่านี้นางก็เคยได้ยิน……