นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 839 เลวทราม ไม่มีใครแย่ไปกว่าใคร
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 839 เลวทราม ไม่มีใครแย่ไปกว่าใคร
ยอมรับ? ยอมรับสิ่งใดกัน?
ทุกคนมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง พวกเขาสอบสวนคุณชายเฉินว่าดูหมิ่นเสด็จอาเก้าหรือไม่มิใช่หรือ? มีพยานและหลักฐานพร้อมครบแล้วจะยอมรับสิ่งใดอีก? คุณชายเฉินถูกทุบตีจนเสียสติหรืออย่างไร เขาตั้งใจจะลากคนอื่นลงน้ำด้วยนะสิ
ทุกคนมองไปที่ซุ่นหนิงโหวด้วยความเห็นอกเห็นใจ การที่มีบุตรชายเช่นนี้ช่างโชคร้ายเสียจริง
หากเป็นยามปกติ พวกเขายังช่วยได้เล็กน้อย แต่บัดนี้ทั้งเสด็จอาเก้า ไท่ฟู่ ไท่เป่าและเจ้ากรมอาญาล้วนอยู่ที่นั่น ดังนั้นพวกเขาจึงช่วยอะไรไม่ได้เลย
หัวหน้าศาลต้าหลี่กำลังจะโอ้อวดความสามารถของเขา แต่คุณชายเฉินไม่เอ่ยถามใครสักน้อย ก็ได้กล่าวออกมาอย่างบ้าคลั่ง แต่สิ่งที่กล่าวออกมานั้นดูไม่เกี่ยวกับการดูหมิ่นเสด็จอาเก้าเลย ทว่าเกี่ยวข้องกับแผนการของจวนซุ่นหนิงโหวที่จะใส่ร้ายซุนซือสิงต่างหาก
คุณหนูลิ่วแห่งจวนซุ่นหนิงโหวแอบมีความสัมพันธ์กับใครบางคน และได้รับการตัดสินจากซุนซือสิงว่านางกำลังตั้งครรภ์คุณหนูลิ่วและชายชู้ของนางจึงเข้ามาล้อมกุมตัวของซุนซือสิงโดยตั้งใจจะฆ่าให้ตาย แต่ถูกคนของจวนซุ่นหนิงโหวเข้ามาขัดขวางไว้
คนในจวนไม่ต้องการให้เกิดเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการเป็นชู้ของคุณหนูลิ่วนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงใช้โอกาสนี้บอกว่าซุนซือสิงข่มขืนคุณหนูลิ่วและทำให้คุณหนูลิ่วฆ่าตัวตาย คุณชายเฉินเอาแต่ร่ำไห้ และเอ่ยขอโทษซุนซือสิงไม่หยุด
ท้ายที่สุดก็ได้กล่าวอย่างเจ็บปวดว่า แม้ว่าอาชญากรรมการข่มขืนสตรีจะร้ายแรง แต่ยังสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ จวนซุ่นหนิงโหวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากคิดแผนร้ายนี้ขึ้น ขอร้องให้ใต้เท้าและเฟิ่งชิงเฉินยกโทษในเรื่องดังกล่าวด้วย เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น พวกเขาก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ความรู้สึกผิดในใจทำให้พวกเขาทรมานมาก และยินดีออกมาขอโทษซุนซือสิง
หากนางไม่รู้ความจริง เฟิ่งชิงเฉินอาจเชื่อในสิ่งที่คุณชายเฉินกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับการคาดเดาของนาง และยังสามารถคลายข้อสงสัยของซือสิงได้ แต่บัดนี้นางมีแต่เกลียดจวนซุ่นหนิงโหวมากยิ่งขึ้น
คนพวกนี้ที่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ใกล้ตายอยู่แล้วยังไม่ยอมรับ คิดว่าทำแบบนี้แล้วจะรอดหรือ? ฝันไปเถอะ! เฟิ่งชิงเฉินเฝ้าดูอย่างเย็นชา ไม่ว่าคุณชายเฉินจะกล่าวอะไร นางก็จะไม่เคลื่อนไหว
หลังจากที่คุณชายเฉินรับคำสารภาพแล้ว ท่านอาจารย์ก็ได้เขียนคำร้องและมอบให้ผู้อาวุโสทั้งสามคนของศาลต้าหลี่ หลังจากที่ผู้อาวุโสทั้งสามตรวจสอบว่าถูกต้องแล้ว พวกเขาก็ส่งต่อให้เสด็จอาเก้าและคนอื่นๆ ทว่าเสด็จอาเก้าไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้น เขาให้คนอื่นๆ ดูแทน
คำรับสารภาพของคุณชายเฉินอธิบายได้อย่างสมบูรณ์ ไม่มีร่องรอยของข้อบกพร่องแม้แต่น้อย ทุกขั้นตอนช่างชัดเจน จุดอ่อนทั้งหมดถูกชะล้างออกไป คำสารภาพก็ตรงไปตรงมาเช่นกัน
นี่ควรเป็นกลยุทธ์สุดท้ายของซุ่นหนิงโหว หากไร้สิ้นทางเลือกอื่นก็แค่สารภาพออกมา วิธีนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยรักษาหน้าของจวนซุ่นหนิงโหวได้เท่านั้น แต่ยังป้องกันไม่ให้เฟิ่งชิงเฉินติดใจเอาความอีกด้วย
การที่คุณหนูในจวนมีความสัมพันธ์กับชายอื่น คงเป็นการดีกว่าที่ลุงหลานมีความสัมพันธ์กัน แต่หากซุ่นหนิงโหวต้องการให้ผ่านไปเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินและเสด็จอาเก้าไม่เห็นด้วยแน่นอน
หลังจากที่ไท่ฟู่ ไท่เป่าและเจ้ากรมอาญาอ่านคำสารภาพแล้ว พวกเขาได้ส่งคำสารภาพคืนให้กับหัวหน้าศาลต้าหลี่ โดยคิดว่าไม่มีสิ่งผิดปกติใด หัวหน้าศาลต้าหลี่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ขณะที่กำลังจะตัดสินคดี เฟิ่งชิงเฉินก้าวไปข้างหน้ากล่าวว่า “ใต้เท้า ข้ามีหลักฐานบางอย่างซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่คุณชายเฉินกล่าวนั้นเป็นเท็จทั้งหมด คุณหนูลิ่วแห่งจวนซุ่นหนิงโหวไม่ได้มีความสัมพันธ์กับชายแปลกหน้า”
หลังจากกล่าวจบ นางก็หยิบหลักฐานที่เสด็จอาเก้ารวบรวมไว้ออกมาและขอให้คนเจ้าหน้าที่นำไปมอบให้
ในตอนแรก หัวหน้าศาลต้าหลี่คิดว่าเฟิ่งชิงเฉินเสียสติไปแล้ว จวนซุ่นหนิงโหวยอมรับสารภาพผิด ซุนซือสิงได้รับการพิสูจน์ว่าบริสุทธิ์ แล้วนางต้องการสิ่งใดอีก? แต่เมื่อเขาเห็นสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินมอบให้ ใบหน้าของหัวหน้าศาลต้าหลี่ก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
“พวกเจ้าก็ดูสิ” หัวหน้าศาลต้าหลี่ส่งสัญญาณให้เส้าชิงทั้งซ้ายขวาออกมาข้างหน้า ทั้งสองทำท่าทีไม่ต่างกับหัวหน้าศาลต้าหลี่ สีหน้าดูย่ำแย่ หนึ่งในพวกเขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไป จึงตะโกนสาปแช่งว่า “ไอ้สารเลว ! ”
เมื่อเห็นดังนี้ ไท่ฟู่ ไท่เป่าและเจ้ากรมอาญาก็มีความสนใจหลักฐานที่เฟิ่งชิงเฉินนำเสนอเช่นกัน เจ้ากรมอาญานั้นยังไม่เท่าไหร่ คดีใดในกรมอาญาที่ไม่เคยได้ยินเล่า ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องคดีข่มขืน การข่มขืนหลานสาวและลูกสะใภ้ก็มีมากมายไป
ในกรณีเช่นนี้ โดยปกติแล้วอาจเป็นหลังจากที่ฝ่ายหญิงเสียชีวิต หรือถูกคนภายนอกพบเท่านั้น มิฉะนั้นโดยพื้นฐานแล้วคงไม่มีใครมายื่นร้องทุกข์เช่นนี้
สตรีนั้นอ่อนแอเกินไป พรหมจรรย์จึงสำคัญมาก โดยทั่วไปเมื่อเจอเรื่องเหล่านี้พวกนางอาจพุ่งชนกำแพงตาย หรือไม่ก็ได้รับความอัปยศอดสู พวกนางไร้สิ้นหนทางอื่น
หลังจากอ่านหลักฐานแล้ว หลายคนก็เริ่มคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับคดีนี้ พวกเขาไม่คาดคิดว่าคดีของซุ่นหนิงโหวจะซับซ้อนและสกปรกเพียงนี้ เส้าชิงฝ่ายซ้ายกล่าวว่าลุงและพี่ชายที่ข่มขืนคุณหนูลิ่วจะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง หัวหน้าศาลต้าหลี่ค่อนข้างน่าเชื่อถือ เขากล่าวอย่างใจเย็นว่า “แค่สมุดบันทึกของคุณหนูลิ่วไม่สามารถพิสูจน์เรื่องนี้ได้ แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นของส่วนตัวของคุณชายรองและคุณชายสามเฉิน แต่ก็ไม่มีสิ่งใดพิเศษนัก หลักฐานเหล่านี้ไม่ดูเบาบางไปหน่อยหรือ?”
“ใต้เท้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว เรื่องนี้ไม่ควรประมาท เพราะอย่างไรก็เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของจวนซุ่นหนิงโหว หากมีอะไรผิดพลาด จวนซุ่นหนิงโหวจะเสียหน้ายิ่งนัก” ณ เวลานี้หากพวกเขาตัดสินคดีผิด แน่นอนว่าจวนซุ่นหนิงโหวไม่มีวันปล่อยพวกเขาไปแน่
ผู้อาวุโสทั้งสามคนของศาลต้าหลี่ค่อนข้างลังเล พวกเขามองไปที่เสด็จอาเก้าและคนอื่น ๆ หากหนึ่งในสี่คนใดบอกว่าจะดำเนินความ พวกเขาก็สามารถดำเนินความได้โดยไม่ต้องลำบากใจ ต่อให้ท้ายที่สุดแล้วตรวจไม่พบสิ่งใด แต่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา
เสด็จอาเก้าทราบดีถึงเล่ห์เหลี่ยมของหัวหน้าศาลต้าหลี่ ครั้งนี้เขาไม่ได้หลบซ่อนและกล่าวว่า “หากหลักฐานไม่เพียงพอ ก็จงไปหาหลักฐานมาเพิ่ม ในเมื่อมีบันทึกของคุณหนูลิ่วเป็นหลักฐาน ดังนั้นก็จงส่งตัวผู้ต้องสงสัยขึ้นศาล”
นี่คือการให้หัวหน้าศาลต้าหลี่สอบสวนได้อย่างเต็มที่ หากมีอะไรเกิดขึ้นเขาจะรับผิดชอบเอง
ด้วยคำกล่าวนี้ของเสด็จอาเก้า หัวหน้าศาลต้าหลี่หวาดกลัวมาก เขาส่งคนไปจับกุมคุณชายรองเฉินและคุณชายสามเฉินทันที เพราะทั้งสองคนนี้มีส่วนร่วมในการข่มขืนคุณหนูลิ่ว
ซุ่นหนิงโหวและคุณชายเฉินเป็นลมสลบไปเมื่อเฟิ่งชิงเฉินนำหลักฐานเหล่านี้ออกมา พวกเขารู้ว่าไพ่ใบสุดท้ายในจวนของซุ่นหนิงโหวหมดสิ้นแล้ว เฟิ่งชิงเฉินโหดร้ายนัก ไม่ให้ทางหนีทีรอดแก่พวกเขาแม้แต่น้อย
ในไม่ช้าคุณชายรองเฉินและคุณชายสามเฉินก็ถูกนำตัวมาขึ้นศาล ท่าทางอันหยิ่งยโสของคนทั้งสองเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกและหวาดกลัวทันทีหลังจากเห็นพี่ชายที่ล้มกองอยู่บนพื้นและเสด็จอาเก้า
“ข้าน้อย ข้าน้อย คา คารวะใต้เท้า” ทั้งสองคุกเข่าลงเสียงดังโครมโดยไม่กล่าวอะไรอีก
ด้วยความคิดที่เป็นอุปาทาน หัวหน้าศาลต้าหลี่จึงไม่มีความประทับใจกับคนสองคนนี้แม้แต่น้อย เขาโยนหลักฐานในมือต่อหน้าทั้งสองและตะโกนเสียงดัง “พวกเจ้ารู้ถึงความผิดหรือไม่!”
ทั้งสองรีบเปิดเพื่อตรวจสอบอย่างจริงจัง ยิ่งมองดู ใบหน้าของพวกเขาก็ซีดเซียวลง ไม่ว่าพวกเขาจะเกเรเพียงไหน พวกเขาก็เข้าใจถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ หากเรื่องนี้ไม่มีแขกอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง มันคงเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่สตรีคนหนึ่งสิ้นใจลง แต่บัดนี้มีคนภายนอกเข้ามาอยู่ด้วย จึงเกี่ยวข้องกับความอับอายของตระกูล จะยอมรับมิเด็ดขาด
“ข้าน้อยถูกใส่ร้าย ข้าน้อยถูกใส่ความ ใต้เท้าขอรับ เราสองคนถูกใส่ความ!” คุณชายรองเฉินอายุเกือบจะสี่สิบปีแล้ว แม้ว่าเขาจะหมกมุ่นอยู่กับสตรีจึงดูเป็นคนเหลาะแหละ แต่บางคราวที่จำเป็น เขาก็ยังมีสมองคิดบ้าง
“ถูกใส่ความหรือ ในเมื่อเจ้าบอกว่าเจ้าถูกใส่ความ แล้วของบนพื้นนี้เป็นของเจ้าหรือไม่?” เป็นเรื่องปกติที่ผู้ต้องสงสัยจะร้องออกมาเพื่อเรียกความอยุติธรรม เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมรับง่ายดายเหมือนคุณชายใหญ่เฉิน แน่นอนว่าหากเขามิได้ถูกเสด็จอาเก้าข่มขู่เสียจนขวัญหาย เขาก็คงมิทำเช่นนั้น
“ท่านใต้เท้า ของเหล่านี้เป็นของส่วนตัวของข้าจริงๆ แต่ข้าไปเที่ยวอยู่บ่อยๆ และข้าก็ได้จองแม่นางคนหนึ่งไว้ที่หอลุนฮวามาหลายปีแล้ว การนำของใช้ส่วนตัวเหล่านี้ออกมาแสดงไม่ใช่เรื่องยากใด เพราะบุรุษเช่นพวกเราไม่ใช่สตรี ที่ไม่อาจให้ผู้อื่นเห็นของส่วนตัวได้” คุณชายรองเฉินถกเถียง และคุณชายสามเฉินก็เห็นด้วย จากนั้นบอกว่าเขาก็เหมือนกัน เขาไม่รู้ว่าของส่วนตัวของตนหายไปกี่ชิ้นบ้าง
“แล้วสิ่งที่เขียนในบันทึกของคุณหนูลิ่ว ทั้งยังความกระวนกระวายใจของพวกเจ้าเล่า? เป็นเรื่องจอมปลอมหรือ?” มีผู้ต้องสงสัยหลายคนปฏิเสธที่จะยอมรับ หัวหน้าศาลต้าหลี่ไม่ได้ใส่ใจ ที่เขากล่าวก่อนหน้านี้ว่าหลักฐานไม่เพียงพอนั้นเป็นเรื่องจริง
ใบหน้าของคุณชายรองเฉินดูหวาดกลัวยิ่ง แต่ดวงตานั้นดูเจ้าเล่ห์ เมื่อหัวหน้าศาลต้าหลี่เอ่ยถาม เขาจึงกลอกตากล่าวว่า “ใต้เท้า สิ่งที่เขียนในบันทึกหาได้มีสิ่งใด เจ้าแค่ต้องถามสาวใช้ส่วนตัวของข้าหรือสตรีที่อยู่ใกล้ข้าก็จะเข้าใจเอง ใต้เท้า ท่านต้องตรวจสอบให้ดี แม้ว่าบัดนี้จวนซุ่นหนิงโหวจะมิได้ยิ่งใหญ่ดั่งก่อนหน้า แต่หากจะซื้อนางบำเรอสักคนสองคนก็พอมีกำลัง เหตุใดจึงต้องเรื่องต่ำช้าทำเช่นนี้”
ทำอย่างไรเขาก็ไม่ยอมรับแน่ บัดนี้ไม่มีหลักฐานของการตาย ไม่มีใครทำอะไรพวกเขาได้ คุณชายรองเฉินและคุณชายสามเฉินมีความหนักแน่นยิ่งนัก เพื่อให้พ้นจากข้อสงสัย คุณชายสามเฉินถึงกับใส่ร้ายผู้ตายว่า
“ใต้เท้า น้องสาวคนที่หกของข้ามีสัมพันธ์กับคนรับใช้ในจวน และถูกพบเข้าโดยหมอซุน นางจึงฆ่าตัวตาย แม้ว่าน้องสาวคนที่หกของข้าจะไม่ใช่คนดีนัก แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังคงเป็นคนในจวนโหวของเรา เราจะใจดำให้นางตายอย่างเสียชื่อเสียงได้อย่างไร พวกเราเองก็ไร้ซึ่งปัญญา จึงได้โยนความผิดนี้ไปให้ซุนซือสิง ใต้เท้า พวกเราผิดไปแล้ว พวกเรายอมรับผิด” คุณชายสามเฉินโง่เขลานัก เขาปัดเรื่องที่ตนฆ่าข่มขืนน้องสาวแท้ๆ กลายเป็นว่าคุณหนูลิ่วแอบมีความสัมพันธ์กับคนอื่น
ทั้งสองฝ่ายยืนยันในความคิดเห็นของตนเอง หลักฐานที่เฟิ่งชิงเฉินนำเสนอยังไม่มากพอ หัวหน้าศาลต้าหลี่ก็ค่อนข้างยากที่จะรับมือ หากว่าจะกำหนดโทษเสียตอนนี้อาจยากไปหน่อย บัดนี้จักรพรรดิยังมิได้ลดตำแหน่งพวกเขา และอีกยังเป็นถึงโหวด้วย
ผู้อาวุโสทั้งสามคนก้มศีรษะลงเริ่มหารือกัน แต่พวกเขาไม่สามารถหาสิ่งใดมาตอบโต้ได้ เพราะผู้ต้องสงสัยไม่ใช่คนธรรมดา หากมีอะไรผิดพลาดไปละก็ พวกเขาคงต้องออกจากการเป็นขุนนางแน่
เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าหากนางต้องการคืนความบริสุทธิ์ให้กับคุณหนูลิ่ว นางต้องก้าวออกไปเสียบัดนี้ เฟิ่งชิงเฉินจึงก้าวไปข้างหน้าและเอ่ยขัดจังหวะของผู้อาวุโสทั้งสามว่า “ใต้เท้า หลักฐานที่แสดงว่าซุ่นหนิงโหวใส่ร้ายซุนซือสิงนั้นครบแล้ว คนในจวนของซุ่นหนิงโหว ชิงเฉินก็ไม่อาจรับได้ ขอใต้เท้าโปรดให้โอกาสชิงเฉิน เพื่อให้ชิงเฉินทวงคืนความบริสุทธิ์แก่คุณหนูลิ่วได้”
คดีของซุนซือสิงนั้นแน่นอนเฟิ่งชิงเฉินได้ไขข้อสงสัยแก่ซุนซือสิงแล้ว แท้จริงแล้วเฟิ่งชิงเฉินไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไปแทรกแซงเรื่องของจวนซุ่นหนิงโหว แต่สิ่งที่นางกล่าวก็สมเหตุสมผลเช่นเดียวกัน ในฐานะที่เฟิ่งชิงเฉินเป็นสตรีด้วยกัน จะเรียกคืนความยุติธรรมให้คุณหนูลิ่วก็สมเหตุสมผล
“เจ้าต้องการทำสิ่งใด?” หัวหน้าศาลต้าหลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและตกลงตามข้อเสนอของเฟิ่งชิงเฉิน
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คดีของจวนซุ่นหนิงโหวก็เป็นเฟิ่งชิงเฉินที่พบ สมเหตุสมผลแล้วที่นางจะเข้ามามีส่วนร่วม……