นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 844 โรคเก่ากำเริบ รสชาติของการรักษาฉุกเฉินยามดึก
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 844 โรคเก่ากำเริบ รสชาติของการรักษาฉุกเฉินยามดึก
คำเตือนของซีหลิงเทียนอวี่ เสด็จอาเก้าไม่เห็นมันอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย หากเขาเห็นองค์หญิงแห่งซีหลิงอยู่ในสายตา เขาก็คงไม่ใช่ตงหลิงจิ่ว เขากล้าที่จะแทรกแซงสถานการณ์ทางการเมืองของซีหลิง คิดว่าเขาจะหวาดกลัวองค์หญิงเพียงคนเดียวงั้นหรือ เขาจะทำอะไรต้องรอให้จักรพรรดิแห่งซีหลิงอนุญาตอย่างงั้นหรือ
ในความมืด เสด็จอาเก้าจับจ้องไปที่แววตาของซีหลิงเทียนอวี่ได้อย่างแม่นยำ พูดออกไปอย่างเยือกเย็น “เทียนอวี่ มีเรื่องมากมายที่เสด็จพอของเจ้าไม่ทรงอนุญาต แต่เจ้ากลับข้าล้วนไม่ทำเช่นนั้น หากเอาแต่รอให้เสด็จพ่อของเจ้าทรงอนุญาต เจ้าก็คงทำได้เพียงแค่นั่งเล่นอยู่บนเก้าอี้
เทียนอวี่ เจ้าเอาแต่สงสัยเสด็จแม่ของเจ้า แต่เจ้าเคยคิดสงสัยเสด็จพ่อของเจ้าบ้างหรือไม่ เวลานั้นเสด็จพ่อของเจ้าเองก็ช่วยเจ้าสืบหาเรื่องอาการป่วยเกี่ยวกับขาของเจ้า ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ พวกเรายังพอตามหาเบาะแสได้บ้าง แต่ทำไมในตอนนั้นเขาถึงไม่พบร่องรอยหลักฐานแต่อย่างใด ในมือของเขากุมอำนาจอยู่มากมาย พวกเจ้าไม่มีทางเทียบได้
หากการคาดเดาของข้าถูกต้อง เสด็จพอของเจ้าเองก็น่าจะรู้เกี่ยวกับเรื่องที่มีคนทำให้ขาของเจ้าได้รับบาดเจ็บ แต่ในฐานะที่เสด็จพ่อของเจ้าเป็นจักรพรรดิ เพื่อความสงบของซีหลิง เขาเลือกที่จะเงียบ และลงมือในสิ่งที่ควรทำ กำจัดหลักฐานทั้งหมด มิเช่นนั้นเหล่าผู้หญิงในวังหลังคงไม่มีความสามารถเก็บกวาดได้หมดจดถึงเพียงนี้
เทียนอวี่ ในตอนที่เจ้าเลือกร่วมมือกับข้า เจ้าเองก็น่าจะเข้าใจ เจ้าอยู่คนละฝั่งกับราชวงศ์ซีหลิง หากเจ้ารู้สึกเสียใจ กลับใจตอนนี้ก็ยังทัน” เสด็จอาเก้าทิ้งประโยคนี้ไว้และเดินจากไป ส่วนซีหลิงเทียนอวี่จะเชื่อหรือไม่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา เขาแค่เตือนเท่านั้น……
คำพูดของเสด็จอาเก้าไม่ได้ไร้จุดหมาย และไม่ได้จงใจจะทำให้ซีหลิงเทียนอวี่เข้าใจผิด แต่เป็นการวิเคราะห์จากเหตุผล เช่นเดียวกับการที่มีหลักฐานอยู่ตรงหน้า ซีหลิงเทียนอวี่ก็ยังไม่เชื่อว่าเสด็จแม่ของเขานั้นบริสุทธิ์
คนอย่างพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะมองหาหลักฐาน แต่ก็มักจะไม่เชื่อในหลักฐานทั้งหมด พวกเขาเองก็เป็นคนที่ทำสิ่งเหล่านี้ และเข้าใจเป็นอย่างดีว่าการลบล้างหลักฐานและการโยนความผิดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจึงคิดว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นมาจากจักรพรรดิแห่งซีหลิง
“เพราะอะไร? เพราะอะไร?” ท่ามกลางความมืดมิด ซีหลิงเทียนอวี่เหมือนกับเด็กที่กำลังหลงทาง กัดริมฝีปากแน่น มองร่างของเสด็จอาเก้าที่กำลังจากไป
ทำไมต้องเปิดบาดแผลของเขาออก ทำไมต้องเตือนเขาเช่นนี้อีกครั้ง ในตอนที่เขาขาพิการ เสด็จพ่อและเสด็จแม่ของเขาทอดทิ้งเขาไปแล้ว
เจ็บปวด……เจ็บปวดไปทั้งหัวใจ เจ็บปวดไปทั้งร่างกาย ขาทั้งสองข้างสั่นเทา ความเจ็บปวดจมไปถึงกระดูกและกดทับในหัวใจของเขา คลื่นแห่งความเจ็บปวดอันรุนแรง ทำให้ซีหลิงเทียนอวี่แทบหายใจไม่ออก
“ตงหลิงจิ่ว เจ้าคนสารเลว” ซีหลิงเทียนอวี่อดไม่ได้ที่จะสาปแช่งออกมา ความจริงบางอย่างทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจ แต่ตงหลิงจิ่วพูดออกมาเช่นนี้มันก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกเจ็บปวด
หากไม่ใช่เพราะตนเองถูกราชวงศ์ซีหลิงทอดทิ้ง เขาจะมาร่วมมือกับเสด็จอาเก้าได้อย่างไร เขาจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องขาของเขาอยู่ทำไม เขาจะสนใจทำไมว่ามันเกี่ยวข้องกับเสด็จแม่ของเขาหรือไม่
เขาถูกเสด็จพ่อทอดทิ้งไปนานแล้ว เขาไม่อยากถูกเสด็จแม่ทอดทิ้งไปด้วย ดังนั้นเขาจึงอยากทำทุกอย่างให้ชัดเจน ว่าเขาไม่ได้ถูกคนในครอบครัวทุกคนทอดทิ้ง แต่เรื่องราวยังไม่ทันชัดเจน เสด็จอาเก้ากลับมาเปิดบาดแผลของมันออกอีกครั้ง
มันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน
ไม่รู้ว่ายืนอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน มันเหน็บหนาวเกินไป ซีหลิงเทียนอวี่พบว่าตอนนี้ตนเองเจ็บปวดไปทั้งร่างกาย เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ โดยเฉพาะขาเทียมทั้งสองข้างของเขา มันเจ็บปวดจนแทบทำให้เขาหายใจไม่ออก
“ขาของข้า……” เสียงร้องแห่งความเจ็บปวด สุดท้ายซีหลิงเทียนอวี่ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาล้มลงกับพื้น และการล้มครั้งนี้ของเขาไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ไม่สามารถลุกขึ้นมายืนได้
สายลับรีบเข้ามาทันที อุ้มซีหลิงเทียนอวี่ที่เหมือนกับก้อนน้ำแข็งขึ้นมา เห็นเลือดที่ไหลออกมาจากขาทั้งสองข้างของซีหลิงเทียนอวี่ สายลับรู้ว่าเวลานี้ ผู้ที่สามารถช่วยเหลือนายท่านของพวกเขาได้มีแค่คนเดียวเท่านั้น
อุ้มร่างของชายผู้นี้ไว้ในอ้อมแขน แม้ว่าสายลับจะฝึกฝนมาดีแค่ไหน แต่พวกเขาก็ไม่สามารถปกปิดร่องรอยของพวกเขาได้ ในตอนที่สายลับอุ้มซีหลิงเทียนอวี่ออกมาหน้าถนน พวกเขาถูกผู้คนจับตามองในทันใด
แม้ว่าสายลับจะไม่สามารถซ่อนตัวได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่สังเกตเห็นคนที่กำลังสะกดรอยตามพวกเขามาในความมืด หลังจากผ่านถนนสามเส้นหลัก สายลับก็ยังสลัดพวกที่สะกดรอยตามพวกเขาไม่หลุด เห็นว่าลมหายใจของซีหลิงเทียนอวี่อ่อนแรงลง สายลับรู้ว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกแล้ว
“แม่นางเฟิ่ง เพื่อความปลอดภัยของนายท่าน ข้าคงต้องขอโทษท่านไว้ล่วงหน้า!”
สายลับไม่คิดหลบซ่อนอีกต่อไป อุ้มซีหลิงเทียนอวี่วิ่งตรงไปยังจวนเฟิ่ง เหล่าพวกที่สะกดรอยตามมาในความมืดก็ไล่ตามมาถึงด้านนอกของจวนเฟิ่ง เห็นสายลับยืนอยู่ด้านหน้าพร้อมกับเคาะประตู “เปิดประตู เปิดประตูเร็วเข้า รับเปิดประตูเร็ว”
องครักษ์เฝ้าประตูของจวนเฟิ่งรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าผู้มาเยือนเป็นใคร หลังจากเคาะประตูสองสามครั้ง ประตูก็ถูกเปิดออก
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” องครักษ์ยืนขวางประตูอย่างองอาจ ราวกับหากเจ้าไม่พูดออกมาให้ชัดเจน ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าเข้าไปเป็นอันขาด
“ต้องขอโทษด้วย ข้ามาขอรบกวนแม่นางเฟิ่ง นายท่านของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส แม่นางเฟิ่งโปรดออกมาให้การช่วยเหลือ” สายลับผู้นี้ถือเป็นคนฉลาด เขาเองก็ไม่กล้าพูดว่าขาของซีหลิงเทียนอวี่ได้รับบาดเจ็บ แต่ถึงกระนั้นเหล่าคนที่แอบอยู่ในความมืดก็พอจะคาดเดาได้
อยู่ดี ๆ ซีหลิงเทียนอวี่จะบาดเจ็บได้อย่างไร และยังบาดเจ็บถึงขั้นต้องให้สายลับอุ้มมา มันจะต้องเป็นอาการเกี่ยวกับขาของเขาอย่างแน่นอน เมื่อนึกถึงว่าทำไมซีหลิงเทียนอวี่จึงสามารถเดินได้อย่างกะทันหัน คนในความมืดก็มั่นใจเป็นอย่างมากว่าการฟื้นฟูของซีหลิงเทียนอวี่นั้นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเฟิ่งชิงเฉิน
สามารถทำให้คนขาพิการมีแขนขางอกออกมาใหม่ได้ คนเช่นนี้เป็นสิ่งล่อใจที่ไม่อาจต้านทานได้สำหรับคนร่ำรวยและผู้มีอำนาจ และเป็นความสามารถที่มิอาจต้านทานความดึงดูดได้
ผู้คนไม่มีความผิด แต่พวกเขาถูกตัดสินว่าซ่อนสิ่งล้ำค่าไว้ พวกเขากำลังพูดถึงเฟิ่งชิงเฉิน หรือพูดอีกอย่างก็คือเสด็จอาเก้ากำลังปิดบังเรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินรักษาอาการป่วยให้กับซีหลิงเทียนอวี่
หากมีความสามารถไม่มากพอ แม้ว่าเจ้าจะได้ครอบครองสมบัติ แต่ไม่มีพลังเพียงพอที่จะปกป้อง มันมีแต่ทำให้ชีวิตของเจ้าตายเร็วขึ้นเท่านั้น เช่นคนอย่างเฟิ่งชิงเฉิน นางกลายเป็นเครื่องมือที่ถูกผู้อื่นขังไว้
น่าเสียดายที่เสด็จอาเก้าจงใจที่จะปกป้องความลับ แต่กลับมาถูกซีหลิงเทียนอวี่เปิดเผยโดยไม่ตั้งใจ สามารถจินตนาการได้เลยว่า หลังจากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป เฟิ่งชิงเฉินจะต้องเผชิญหน้ากับอันตรายเช่นใดบ้าง
น่าเสียดาย เวลานี้เฟิ่งชิงเฉินไม่ทันได้สนใจอะไร เมื่อนางได้ยินคนใช้ของนางเข้ามารายงาน บอกว่าซีหลิงเทียนอวี่มายังจวนเฟิ่งในสภาพบาดเจ็บสาหัส นางก็รีบลุกขึ้นมาจากเตียงทันที
“พาเขาเข้าไปในกระท่อมไม้ รีบจุดไฟเพื่อให้ความร้อน เตรียมน้ำสะอาดเอาไว้ อีกสิบนาทีข้าจะตามไป” เฟิ่งชิงเฉินโบกมือสั่งให้คนรับใช้ที่เข้ามาพยุงนางให้ถอยไป “ไม่ต้อง ข้าเดินเองได้ จุดไฟขึ้นมา ข้าจะออกไปด้านนอก”
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้สวมเสื้อคลุมเพื่ออบอุ่นร่างกาย เนื่องจากเสื้อผ้าหนา ๆ ภายนอกนั้นมันไม่สะดวกในการทำงาน สวมเสื้อชั้นกลาง เสื้อคลุมของหมอ เสื้อคลุมทำงานที่สามารถกันลมได้ หยิบกล่องยาด้านข้างและเดินออกไปยังกระท่อมไม้
ลมหนาวพัดผ่านเข้ามา ทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกหนาวสั่น สาวใช้ซึ่งเป็นสายลับเดินนำไปด้านหน้า คิดจะช่วยเฟิ่งชิงเฉินถือกล่องยา แต่เฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธ รีบเร่งความเร็วในการก้าวเดินไปทางกระท่อมไม้
“ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมานาน ทำให้ข้าเกือบลืมรสชาติของการใช้ห้องฉุกเฉินยามดึก” หัวใจของเฟิ่งชิงเฉินรู้สึกขมขื่น และแอบเตือนตัวเองอย่างลับ ๆ ว่าอย่าลืมอาชีพของตัวเอง
ด้วยการต่อสู้ที่ผ่านมาในทุกวัน ทำให้นางลืมไปแล้วว่านานแค่ไหนที่นางไม่ได้สงบสติอารมณ์และอ่านหนังสือเกี่ยวกับการแพทย์