นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 849 สำเร็จหรือล้มเหลว เอาชีวิตเป็นเดิมพัน
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 849 สำเร็จหรือล้มเหลว เอาชีวิตเป็นเดิมพัน
เฟิ่งชิงเฉินอยู่ในนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้ วิธีการรักษามันจำเป็นที่ต้องใช้วิธีที่จำเพาะเจาะจงต่อโรค นางไม่อยากอยู่เกะกะในนี้อยู่แล้ว จึงตามเขาออกไป
นางรู้ดีว่าเฟิ่งชิงเฉินมีเรื่องสำคัญที่จะคุยกับนาง และเรื่องนั้นเป็นเรื่องของหวังจิ่นหลิง
หยุนเซียวพานางไปที่ใต้ต้นไม้ และมองไปรอบๆว่าปลอดคนแน่ๆแล้ว จึงพูดออกมาเบาๆว่า “เฟิ่งชิงเฉิน หวังจิ่นหลิงมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดกัน”
“เมื่อวานตอนเช้า ทำไมหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินต้องการถามให้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น
หยุนเซียวตอบกลับว่า “ตอนเช้าวันนี้ ตระกูลหวังประกาศตามหาตัวหวังจิ่นหลิงจนวุ่นวายไปหมด”
หรือจะกล่าวได้ว่า หยุนเซียวหายไปจากตระกูลหวังไปสองวันแล้ว ซึ่งดูเหมือนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับหวังจิ่นหลิงจะถูกจัดการโดยคนในตระกูลหวัง และมันมิใช่การกระทำจากฝ่ายเดียว แต่เป็นการร่วมมือจากหลายๆฝ่าย และมั่นใจแล้วว่าหวังจิ่นหลิงจะมิมีทางรอดชีวิตแน่ๆ
“ดูเหมือนว่าอาการสาหัสของหวังจิ่นหลิงจะมีคนในตระกูลหวังเป็นผู้เกี่ยวข้อง เมื่อวานตอนเช้ามีเจ้าหนุ่มคนหนึ่งรีบพาเขามาส่งไว้ที่นี่ และนี่ก็ผ่านไปสองวันแล้วยังหามีใครจากตระกูลหวังมาที่นี่เลยไม่” เฟิ่งชิงเฉินพูด พร้อมนึกถึงเหตุการณ์ที่นางยังกันตัวเจ้าหนุ่มคนนั้นไม่ให้หลุดรอดไป แต่จริงๆพอได้ฟังเรื่องจากปากของหยุนเซียว ก็พอจะคิดได้ว่าจริงๆแล้วมันก็มิจำเป็นเลย
“ข้าก็คิดเช่นนั้น ชิงเฉิน เจ้าต้องเตรียมใจไว้เลย” หยุนเซียวมองไปที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยสีหน้ากังวล จากท่าทีของคนในตระกูลหวังแล้ว หวังจิ่นหลิงคงมีโอกาสรอดได้ยาก
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเจ็บปวดใจมาก “ข้าเป็นหมอ มีหน้าที่ช่วยเหลือและต่อชีวิตมนุษย์ ข้าหามีทางยอมแพ้ไม่”
การมีคนรอบข้างตายบนเตียงผ่าตัด เป็นเรื่องที่นางกลัวที่สุด บางที่การเป็นหมอก็ทำให้รู้อะไรบางอย่าง เช่นกรณีของหวังจิ่นหลิง ทำให้นางรู้จากคำว่าจนปัญญา
“ถ้าเจ้าคิดแบบนี้ก็ดีแล้ว เรื่องมันยังไม่ไปถึงขั้นนั้น ข้าคิดในฐานะองค์ชายคนโตเช่นกัน ข้าก็มิมีทางจะกดดันตัวเองแบบนี้”
การอยู่หรือรอดของหวังจิ่นหลิงนั้นถือเป็นบัญชาสวรรค์ หากหวังจิ่นหลิงต้องตาย เขาก็คงจะโดดเดี่ยวมาก เพราะคนเดียวที่อยู่ในระดับเดียวกับเขามีแค่คนนี้คนเดียวคือหวังจิ่นหลิง
หวังจิ่นหลิงอาจจะตายได้ แต่ต้องมิใช่ตายเพราะเหตุที่มาจากการแย่งชิงอำนาจ และหยุนเซียวก็เชื่อว่าหวังจิ่นหลิงก็คิดเช่นเดียวกันกับเขา
“ถ้าเขาไม่ฟื้น ก็คงทำอะไรมิได้เลย” เฟิ่งชิงเฉินกัดฟันพูดออกมาพร้อมน้ำตาคลอ
ไม่รู้ว่าหวังจิ่นหลิงจะวางแผนอะไรไว้ เขาคงต้องการมีชีวิตอยู่ต่อ เพราะก่อนหน้านี้หวังจิ่นหลิงให้คนมาส่งเขาที่จวนเฟิ่ง ก่อนที่เขาจะอาการทรุดลง เฟิ่งชิงเฉินคงจะเป็นกุญแจสำคัญ แต่เธอเองก็มิสามารถช่วยหวังจิ่นหลิงได้
“เจ้าอย่ากังวลไปเลย รอฟังหมอก่อน ตระกูลหวังคงมิมาหาหวังจิ่นหลิงในตอนนี้ แต่ว่าเจ้าก็ต้องเตรียมการณ์ให้ดี เพราะถ้าคนของตระกูลหวังมาถึงแล้ว เจ้าคงทำอะไรมิง่ายแน่ๆ” อย่างไรเสียตระกูลหวังย่อมต้องออกมาที่นี่แน่นอน
เมื่อถึงเวลานั้นหัวหน้าตระกูลหวังย่อมที่ต้องการศพของหวังจิ่นหลิงกลับไป และคนที่ซวยย่อมเป็นเฟิ่งชิงเฉิน ที่ต้องรับผิดชอบกับการตายของหวังจิ่นหลิง
“ข้ารู้แล้ว เรื่องนี้ข้าต้องไปปรึกษาเสด็จอาเก้าดู” ชีวิตผ่านอะไรมามาก แต่หวังจิ่นหลิงมิควรที่จะต้องมาเกิดอะไรแบบนั้นในวัยเช่นนี้
เสด็จอาเก้าพูดไว้มิผิดเลย คนแบบพวกเขา ความตายเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ยิ่งมีทรัพย์ศฤงคารมากเท่าไร ความอันตรายรอบกายยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
เธอเข้าใจอวี่เหวินหยวนฮั่วแล้วว่า ทำไมจึงมิอยากที่จะกลับบ้าน เพราะบ้านคือแหล่งที่อันตรายสำหรับเขา ยากแม้กระทั่งการจะหลับตานอน
และตระกูลหวังก็คงเช่นเดียวกัน ถ้าหวังจิ่นหลิงกลับไปในสภาพไร้ชีวิตก็คงเป็นโชคดีของเขา แต่ทางกลับกันคนที่กำลังมีชีวิตที่โหดร้ายกำลังเริ่มต้นขึ้น ซึ่งก็คือนางเอง
ตอนนี้ความเจ็บปวดในใจเฟิ่งชิงเฉินบรรเทาลงเล็กน้อย
เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น หยุนเซียวก็ค่อยๆปลอบใจ เขารู้ดีว่าเขาดูคนมิผิด ผู้หญิงคนนี้จิตใจเข้มแข็ง และต้องการช่วยเหลือทุกๆชีวิตให้รอด
หมอจากตระกูลหยุนยังอยู่เงียบๆในห้อง เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าคงจะมิมีผลอะไรออกมาในเวลานี้ เฟิ่งชิงเฉินจึงให้คนไปเชิญเสด็จอาเก้ามาที่จวน
เส้นทางจากจวนของเสด็จมาเก้ามาที่นี่มิไกลนัก สักพักเสด็จอาเก้าก็มาถึง แต่ผลการตรวจของหมอทั้งสองก็ยังมิออกมา เฟิ่งชิงเฉินและหยุนเซียวจึงรู้เลยว่าหมอทั้งสองคงพบปัญหาใหญ่
เฟิ่งชิงเฉินมิได้เอะอะโวยวาย แต่สายตาแดงก่ำ หวังจิ่นหลิงคงจะมิตายใช่ไหม และหากเขาตายนางก็คงมิอาจเผชิญหน้าเสด็จอาเก้า
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มทักทายเสด็จอาเก้า ในใจรู้สึกกระสับกระส่าย แต่การที่มีเสด็จอาเก้าอยู่ที่นี่ ทุกคนก็จะมิมีทางเป็นอะไร
เสด็จอาเก้ายิ้มรับเฟิ่งชิงเฉิน ทั้งสามมิได้เข้าไปรบกวนแพทย์ทั้งสอง ได้แต่นั่งรออยู่ข้างๆห้อง พร้อมกับเล่าเรื่องของตระกูลหวังให้เสด็จอาเก้าฟัง
เสด็จอาเก้าจัดการเรื่องของขซีหลิงเทียนอวี่มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว อย่างไรเสีย เขาย่อมเก็บความลับของเฟิ่งชิงเฉินไว้มิให้ใครรู้เด็ดขาด ว่าคนที่ใส่ขาเทียมให้ซีหลิงเทียนอวี่คือเฟิ่งชิงเฉิน
เรื่องนี้คงเป็นอีกเรื่องที่จัดการยาก นางจึงเชิญเขามาที่จวนเฟิ่ง
โดยปกติแล้ว เสด็จอาเก้าชอบการที่เฟิ่งชิงเฉินมาหาเขา แต่พอได้ยินเรื่องของตระกูลแล้ว เสด็จอาเก้าก็รู้เลยว่า การที่เฟิ่งชิงเฉินมาหาเขาก็เป็นเพราะเรื่องของหวังจิ่นหลิง
เรื่องราวยุ่งเหยิงในตระกูลหวัง ต้องเกี่ยวข้องกับหวังจิ่นหลิงแน่นอน
“อย่ากังวลเลย นี่คือแผนของหวังจิ่นหลิง มิมีทางเกิดเรื่องกับเขา” เสด็จอาเก้ามองขาดกับเรื่องนี้
หวังจิ่นหลิงเป็นคนอ่อนโยนและสุขุม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าใครจะมากลั่นแกล้งได้ง่ายๆ
หวังจิ่นหลิงกำลังเดิมพันด้วยชีวิต เพื่อหลอกล่อคนในตระกูลหวังให้อยู่มิเป็นสุข
หวังจิ่นหลิงเชื่อมั่นในตัวเฟิ่งชิงเฉิน เชื่อว่าตราบใดที่เฟิ่งชิงเฉินยังอยู่ เขาก็มิเป็นอะไรแน่นอน ดังนั้นเขาจึงในแผนนี้ ล่อลวงคนที่แอบซ่อนตัวบงการในตระกูลหวังให้ออกมา
ศัตรูที่แข็งแกร่งไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือการถูกล้อมรอบด้วยศัตรูที่ทรงพลังและการที่มิรู้เลยว่ามาในรูปแบบมิตรหรือศัตรู การที่หวังจิ่นหลิงถูกวางยาพิษในครั้งนั้น แม้จะจับคนหล่านั้นได้ แต่หวังจิ่นหลิงก็รู้ว่าคนเหล่านั้นมิใช่ผู้บงการ
หวังจิ่นหลิงลงโทษพวกคนเหล่านั้นอย่างรุนแรง แต่อีกฝ่ายไม่ยอมลดละ การที่เกิดอุบัติเหตุกับรถม้า ทำให้หวังจิ่นหลิงโกรธมาก ดังนั้นเพื่อหาตัวการร้ายในตระกูลหวัง หวังจิ่นหลิงจึงหาหนทาง จนพบโรคที่เฟิ่งชิงเฉินวินิจฉัยได้ยาก และรักษามิได้……